คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมสหรัฐอเมริกาถึงเป็นประเทศที่คล้าย ‘ต้องสาป’ ให้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ๆ เรื่องการเหยียดผิวมาตลอด – แม้กระทั่งในปัจจุบัน
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และซับซ้อนเกินกว่าจะชี้นิ้วบอกไปยังจุดใดจุดหนึ่งในประวัติศาสตร์ได้ว่าตรงไหนคือจุดเริ่มต้น แต่ปรากฏการณ์ Black Lives Matter ก็ทำให้ผมนึกถึงบทความของ อดัม เซอร์เวอร์ (Adam Serwer) ใน The Atlantic ที่เขาเขียนเอาไว้ตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว
บทความนี้มีชื่อว่า White Nationalism’s Deep American Roots ซึ่งจริงๆ แล้วพูดถึงเหตุกราดยิงในซินนาก็อก หรือโบสถ์ของชาวยิวในพิตสเบิร์กปี ค.ศ.2018 ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดก่อนหน้าวันครบรอบ 80 ปี ของ Kristallnacht (หรือ The Night of Broken Glass) ในเยอรมนี เมื่อนาซีเยอรมันบุกบังคับพลเรือนชาวยิวไปเข้าค่ายกักกัน และสุดท้ายก็เสียชีวิตหลายล้านคน
บทความที่ว่านี้ พาเราย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์อเมริกัน และพูดถึงคนที่น่าจะเป็น ‘คนสำคัญ’ ที่สุดคนหนึ่งของการปลูกฝังรากความคิดเหยียดผิวเหยียดเชื้อชาติให้กับอเมริกา—และที่สำคัญ ให้กับ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler)
คนคนนั้นก็คือ แมดิสัน แกรนต์ (Madison Grant) ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือที่ออกวางจำหน่ายในปี ค.ศ.1916 ชื่อ The Passing of the Great Race หรือ ‘การผ่านพ้นไปของเผ่าพันธุ์อันยิ่งใหญ่’
ในหนังสือเล่มนั้นของแกรนต์พยายามเสนอ ‘อย่างเป็นวิทยาศาสตร์’ ว่าชนเผ่า ‘นอร์ดิก’ (Nordic) ซึ่งเป็นผู้ก่อร่างสร้างชาติอเมริกาขึ้นมานั้น กำลังอยู่ในสภาวะที่เสื่อมสลาย เป็นเพราะสังคมสมัยใหม่มีคนเชื้อชาติอื่นๆ เข้ามาผสมกับคน ‘พันธุ์แท้’ มากเกินไป
หนังสือเล่มนี้อาจฟังดูเหลวไหลในปัจจุบัน แต่ย้อนกลับไปต้นศตวรรษที่แล้ว มันกลายเป็นหนังสือที่เป็น ‘ตัวเร่ง’ ให้เหล่านักกฎหมายสาย ‘เนทิวิสต์’(คือ Nativist ไม่ใช่ ‘เนติวิทย์’ นะครับ) ซึ่งเป็นนักกฎหมายในสภาคองเกรสที่อยากจะปกป้องคุ้มครองคนที่เป็น Native หรือคนอเมริกันพันธุ์แท้ ผ่านกฎหมายเพื่อสนับสนุนนโยบายจำกัดการอพยพเข้าเมือง หรือ Restrictionist Immigration Policy หลายฉบับ
หนังสือเล่มนี้ยังเกี่ยวพันกับคืน Kristallnacht อันโหดเหี้ยมด้วย เพราะมันกลายเป็น ‘ไบเบิล’ ให้กับความคิดของจอมเผด็จการอย่าง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ตัวฮิตเลอร์เองถึงขั้นเขียนจดหมายกลับมาบอกกับแกรนต์เลยว่า เขาใช้หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในขุมพลังความคิด และฮิตเลอร์เคยให้สัมภาษณ์กับนิวยอร์กไทมส์ ด้วยว่า—อเมริกานี่แหละ คือผู้สอนเขาว่าไม่ควรเปิดประตูต้อนรับคนเชื้อชาติต่างๆ อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน
ที่จริงแล้ว แนวคิดของแกรนต์เรื่อง ‘วิทยาศาสตร์แห่งเชื้อชาติ’ หรือ Race Science นี้ไม่ได้ใหม่มากนัก ในปี ค.ศ.1853 เคยมีนักเขียนฝรั่งเศสชื่อ Joseph Arthur de Gobineau ได้ให้นิยามเผ่าพันธุ์ ‘อารยัน’ เอาไว้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่ great, noble, and fruitful in the works of man on this earth หรือยิ่งใหญ่ สูงส่ง และรุ่งเรืองเฟื่องฟูที่สุดในหมู่มนุษย์บนผืนโลก และต่อมาในปี ค.ศ.1899 ก็มีนักเศรษฐศาสตร์คนหนึ่งชื่อ วิลเลียม ริพลีย์ (William Z. Ripley) ได้แบ่งคนยุโรปออกเป็นสามเชื้อชาติ (สาม races) โดยเชื้อชาติแรกคือ Teutons หมายถึงคนยุโรปเหนือ (หรือชนเผ่า Germanic) ที่จะมีลักษณะ brave, beautiful และ blond คือกล้าหาญ งดงาม และผมสีทอง เชื้อชาติที่สองคือ Alpines คือคนแถบเทือกเขาแอลป์ จะมีรูปร่าง stocky คือร่างล่ำๆ บึกๆ หน่อย และเชื้อชาติที่สามคือ Mediterraneans คือแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีลักษณะเด่นคือ swarthy ได้แก่ผิวคล้ำๆ ดำๆ เห็นได้เลยว่า สองกลุ่มหลังนี่ ไม่มีคำขยายประเภท brave หรือ beautiful เข้ามาด้วย จึงมีนัยยกย่องคนกลุ่มแรกว่าเหนือกว่าคนสองกลุ่มหลัง เพราะฉะนั้น
แม้ในหมู่คนผิวขาวเอง ก็จะเห็นได้ว่ามี
การ ‘เหยียด’ กันเองอย่างซับซ้อนมานานแล้ว
และแนวคิดพวกนี้เองที่แกรนต์นำมาใช้เป็นหลักในงานเขียนของเขา
แกรนต์บอกว่า การที่คนจากเมดิเตอร์เรเนียนและยุโรปตะวันออก (เขายังไม่ได้พูดถึงคนจากเอเชียและแอฟริกาด้วยซ้ำ) อพยพเข้ามาในอเมริกา จะทำให้ความเข้มข้นของสายเลือดนอร์ดิก อันเป็นสายเลือดที่สร้างความยิ่งใหญ่ให้อเมริกานั้น ค่อยๆ เจือจางลง
วิธีคิดของแกรนต์ก็คือ—ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ใจดีของคนอเมริกันนอร์ดิกนั้น ทำให้อเมริกากลายเป็น ‘ที่ลี้ภัยของผู้ถูกกดขี่’ จากที่อื่นๆ ที่หนีภัยจากบ้านเกิดแห่แหนกันเข้ามา ทำให้เกิด ‘หล่มลึกทางเชื้อชาติ’ หรือ racial abyss ขึ้น แล้วที่สุด สิ่งที่เรียกว่า melting pot หรือเบ้าหลอมคนเชื้อชาติต่างๆ ก็จะร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนถึง ‘จุดเดือด’ ดังนั้น วิธีแก้ก็คือ ต้องมีการแยกกันระหว่างคนเชื้อชาติต่างๆ
แกรนต์ผสมผสานแนวคิดยกย่องเชื้อชาตินอร์ดิกเข้ากับการปลุกความกลัว ซึ่งก็ได้ผล เพราะขนาดประธานาธิบดีวาเรน ฮาร์ดิง (Warren G. Harding) และคาลวิน คูลลิดจ์ (Calvin Coolidge) ก็ยังยกย่องชมเชยแนวคิดของแกรนต์ นั่นทำให้ในปี ค.ศ.1917 สภาคองเกรสผ่านกฎหมายห้ามการอพยพเข้าทั้งจากเอเชียและตะวันออกกลาง แล้วต่อมาก็เกิดกฎหมาย Immigration Act ปี ค.ศ.1924 ขึ้นมา เป้าหมายลึกๆ ก็เพื่อตอบสนองแนวคิดที่เรียกว่า Eugenics หรือการ ‘ปรับปรุง’ สายพันธุ์มนุษย์ ผ่านการผสมพันธุ์ (หรือการแต่งงาน) คือไม่ให้คนสายพันธุ์เดียวกัน (ที่เหนือกว่า) ต้องไปปะปนผสมกับคนสายพันธุ์อื่นที่ด้อยคุณภาพกว่า
แกรนต์เสนอเอาไว้ (โดยคิดว่าเป็นวิทยาศาสตร์) ว่า การผสมระหว่างคนขาวกับคนอินเดียน (ในที่นี้คืออินเดียนแดง) ก็จะได้ออกมาเป็นคนอินเดียนแดง การผสมระหว่างคนขาวกับคนดำ จะได้ออกมาเป็นคนดำ ถ้าผสมระหว่างคนขาวกับคนฮินดู ก็จะได้คนฮินดู หรือถ้าระหว่างคนขาวกับยิวก็จะได้ยิว ดังนั้น วิธีที่จะทำให้ได้สายพันธุ์ ‘บริสุทธิ์’ ที่สุด ก็ต้องเป็นคนขาวกับคนขาวเท่านั้น การแต่งงานต่างเผ่าพันธุ์สีผิวเป็นเรื่องที่ทำให้เผ่าพันธุ์นอร์ดิกแปดเปื้อน
ดังนั้น การกีดกันคนเชื้อชาติเผ่าพันธุ์อื่นออกไป จึงเป็นเรื่องที่ ‘จำเป็น’ ต้องทำ
บทความนี้บอกว่า ทุกวันนี้คนอเมริกันลืมเมดิสัน แกรนต์ ไปแล้ว แต่ ‘แนวคิด’ แบบแกรนต์ยังคงอยู่ และแพร่หลายอย่างมากในหมู่ชาตินิยมผิวขาว (white nationalist) ทั้งหลาย เช่นเมื่อไม่นานมานี้ ริชาร์ด สเปนเซอร์ (Richard B. Spencer) ซึ่งเป็นนักชาตินิยมผิวขาวคนหนึ่ง เคยเขียนไว้ว่า—ผลลัพธ์อย่างหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านทางประชากรที่กำลังเกิดขึ้น ก็คือการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ (miscegenate) ซึ่งทำให้อเมริกาไม่ได้เป็น white america เหมือนที่เคยเป็นมาก่อน อันเป็นแนวคิดเดียวกันกับที่แกรนต์เสนอไว้เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว
ปัญหาเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติในอเมริกา จึงเป็นเรื่องที่ฝังรากลึก เมื่อรวมเข้ากับแนวคิดแบบ white supremacy หลากหลายแบบ และแนวนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ทำให้ปมปัญหานี้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
เป็นรากลึกเหล่านี้นี่เอง ที่ทำให้ปัญหาเรื่องสีผิวในอเมริกาไม่เคยหมดไป มันหวนกลับมาปะทุใหม่เรื่อยๆ ราวกับคนผู้คนไม่เคยได้เรียนรู้อะไรเลย