“Unforgettable, that’s what you are.
Unforgettable, though near or far.”
— Unforgettable, Nat King Cole
ด้วยพรสวรรค์ทางด้านดนตรี เด็กชายชาวแอฟริกันอเมริกันจากอลาบามา รัฐทางใต้ของสหรัฐอเมริกา เดินทางห่างจากบ้านเกิดเพื่อไปเป็นศิลปิน เขาคือหนึ่งในนักเปียโนสายแจ๊สผู้มีฝีมือเป็นอันดับต้นๆ แต่กลับโด่งดังในฐานะนักร้อง ชายคนนี้คือ Nat King Cole นักร้องที่ไม่ว่าใครก็ต่างหลงใหลในน้ำเสียง
เป็นเรื่องยากจะปฏิเสธว่าการร้องเพลงของ แนท คิง โคล (Nat King Cole) มีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร แนทมีจังหวะจะโคนเป็นของตัวเอง ไม่มีท่าทีรีบร้อนที่จะถ่ายทอดถ้อยคำ หลายครั้งแนทเว้นช่องว่างระหว่างท่อนร้อง ให้เราได้หยุดฟังเสียงเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นในบทเพลง และเหมือนจะบอกเรากลายๆ ว่า ตั้งใจฟังผมร้องให้ดีๆ ละ แต่ถ้าเมื่อไหร่เข้าสู่เพลงจังหวะรวดเร็ว แนทจะพาเราเดินไล่โน้ตไปตามท่วงทำนองอย่างสนุกสนาน มีนักร้องเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้แบบเขา
แนท คิง โคล ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 1919 ณ เมืองมอนต์กอเมอรี รัฐอลาบามาทางตอนใต้ของอเมริกา หลังจากนั้นก็ครอบครัวย้ายกันไปอยู่ที่ชิคาโกในตอนยังเขาอายุได้ 4 ขวบ แนทมีครูดนตรีคนแรกคือแม่ของเขาเอง มีออร์แกนเป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ได้ลองเล่น และไปลงเรียนเปียโนจริงจังตอนอายุ 12 โดยจะเน้นไปในทางแจ๊ส กอสเปล และคลาสสิกเป็นหลัก
จริงๆ แล้วการเป็นนักร้องไม่ใช่ตัวเลือกแรกของแนท เขาถนัดเล่นเปียโนมากกว่า และฝีมือก็ไม่ใช่เล่นๆ ซะด้วย ผู้คนในวงการดนตรีหลายคนนับถือเขาในฐานะนักเปียโนสายแจ๊สเบอร์ต้นๆ ถึงขนาดที่แม้แต่นักเปียโนระดับตำนานอย่างอาร์ต เทตัม (Art Tatum) ยังออกปากชม ออสการ์ ปีเตอร์สัน (Oscar Peterson) เองก็บอกว่าเขาเรียนรู้รูปแบบการเล่นเปียโนมาจากแนท
ความโดดเด่นทางด้านการร้องเพลงเข้ามาแทนที่พรสวรรค์ทางการเล่นเปียโนในปี 1937 สมัยที่แนทยังเล่นให้ King Cole Trio วงดนตรีบรรเลงที่ประกอบไปด้วยเบส กีตาร์ และเปียโน ตำนานการมาเป็นนักร้องของแนทเริ่มในค่ำคืนขณะที่ทั้งสามคนทำการแสดงอยู่ที่ Sewanee Inn ไนต์คลับแห่งหนึ่งลาสเวกัส แขกสายจ่ายหนักและกำลังเมาได้ที่ขอให้วงดนตรีร้องเพลงเพลงหนึ่ง แนทดูจะไม่เต็มใจเท่าไหร่ แถมเพลงที่ก็ไม่รู้จัก สุดท้ายเขาจึงร้องเพลง ‘Sweet Lorraine’ พอทุกคนได้ยินน้ำเสียงอันไพเราะ แนทก็ถูกขอให้ร้องเพลงตั้งแต่นั้นมา
“I’ve just found joy.
I’m as happy as a baby boy.”
— Sweet Lorraine, Nat King Cole
การร้องเพลงกลายมาเป็นอีกหนึ่งพรสวรรค์ที่มีโดยไม่ได้ตั้งตัว แนทมีน้ำเสียงอันงดงามและกังวานในระดับที่พอดิบพอดี รวมถึงจังหวะร้อง—เอกลักษณ์เฉพาะตัวที่มักทำอยู่บ่อยๆ คือเขาจะร้อง หยุดร้อง และร้องต่อในท่วงทำนองของตัวเอง “ผมเริ่มต้นจากการเป็นนักเปียโนแจ๊ส แต่ในเวลาเดียวกันผมก็เริ่มที่จะร้องเพลง ผมร้องในแบบที่ผมรู้สึก และมันก็ออกมาเป็นแบบนั้น” คือตอนที่แนทพูดถึงการร้องของตัวเอง
เสียงร้องของแนทดูจะเป็นธรรมชาติเอามากๆ และลักษณะการร้องก็เหมือนเราพูดให้กันฟังปกติ ไม่ได้ดูลำบากอะไร มาเรีย โคล (Maria Cole) ภรรยาของแนท เสริมในส่วนนี้ไว้ว่า “สามีของฉันไม่เคยออกเสียงผิดเลยสักคำ ไม่เคย ฉันรู้ได้จากความสัมพันธ์ที่เรามีให้ด้วยกัน มันไม่ได้มาจากไหนหรอก”
แต่การเล่นเปียโนยังเป็นสิ่งที่แนทผูกพันอยู่เสมอ มีครั้งหนึ่งเขาบอกกับผู้ชมทางโทรทัศน์ว่า
“บางครั้งผมถูกห้ามไม่ให้เล่นเปียโน แน่นอนว่าเดี๋ยวนี้ผมไม่ได้เล่นให้คนเห็นมากแล้ว อย่างที่ผมบอก คนส่วนใหญ่มาดูแนท คิง โคล เพื่อจะฟังเขาร้องเพลง ผมเดาเอาว่าพวกเขารู้จักแค่แนท คิง โคลที่เป็นนักร้อง แต่ก็มีแฟนๆ จำได้ว่าผมเป็นเด็กแจ๊ส และผมก็ต้องเจอกับคำถามอยู่ตลอดว่า คุณจะเล่นเปียโนเยอะมั้ย จะร้องเพลงแค่ไหน …แต่ก็ไม่รู้สินะ ผมชอบมัน”
การทำอาชีพในวงการดนตรีไม่ใช่เรื่องง่าย และมันยิ่งยากขึ้นไปอีกเมื่อแนทเป็นแอฟริกันอเมริกัน สหรัฐอเมริกาในสมัยนั้นเป็นยุคที่มีการเหยียดสีผิวอย่างชัดเจน เป็นยุคที่เต็มไปด้วยเส้นขีดแบ่งระหว่างคนขาวและคนดำ ตั้งแต่ห้องน้ำไปจนถึงที่โดยสารบนรถเมล์ ถึงแม้จะพิสูจน์ตัวเองด้วยผลงานแค่ไหน แนทก็ยังเป็นหนึ่งในคนผิวสีที่ถูกเลือกปฏิบัติ ช่วงที่แนทไปเล่นให้กับโรงแรมในลาสเวกัส ศิลปินคนอื่นๆ มีสิทธิที่จะได้เข้าพักในโรงแรม แต่เขากลับไม่ได้รับความสะดวกสบายแบบนั้น และต้องไปพักที่โรงแรมสำหรับคนดำ (Black hotels) ทั้งๆ ที่เขาเองก็สร้างเม็ดเงินมากมายให้เจ้าของโรงแรมหรู
กำแพงทางสีผิว (color barrier) นับเป็นเรื่องหนักหนาทีเดียว แต่แนทก็เป็นคนแรกๆ ที่พยายามทำลายกำแพงในแบบของเขา ในช่วงที่รัฐทางใต้ยังมีกฎหมายห้ามไม่ให้คนดำครอบครองทรัพย์สิน แต่รัฐอื่นในอเมริกายังไม่มีกำหนดไว้ โคลเป็นครอบครัวคนดำครอบครัวแรกที่ย้ายเข้าไปอยู่ในย่าน Hancock Park ย่านคนขาวของเมืองลอสแอนเจลิส แน่นอนว่าไม่มีใครเต็มใจรับครอบครัวของแนทมาเป็นเพื่อนบ้าน และคนในย่านก็มักจะมาก่อกวนครอบครัวโคลอยู่บ่อยๆ สนามหญ้าหน้าบ้านถูกเผาเป็นคำด่า หมาของแนทตายเพราะโดนวางยาเบื่อ การย้ายเข้ามาอยู่ของแนทสร้างความไม่พอใจให้เพื่อนบ้านถึงขั้นมีการประท้วงขับไล่ให้ออกจากพื้นที่ จอร์จ เบนสัน มือกีตาร์มากฝีมือพูดถึงเหตุการณ์นี้ว่า
“ทุกคนที่ประท้วงการย้ายเข้ามาของแนท จริงๆ แล้วพวกเขาประท้วงด้วยเหตุผลอื่น พวกเขากลัวว่ามูลค่าที่ดินจะตก… ทุกคนมีอัลบั้มของแนทอยู่ในบ้าน แต่พวกเขาก็เซ็นคำร้องให้ไล่แนทออกอยู่ดี”
“Pretend you’re happy when you’re blue.
It isn’t very hard to do.”
— Pretend, Nat King Cole
แนทยังเป็นศิลปินคนดำคนแรกที่มีรายการทีวีเป็นของตัวเองชื่อ The Nat ‘King’ Cole Show เป็นรายการสั้น 15 นาที เริ่มฉายทางช่อง NBC ของสหรัฐอเมริกา ในปี 1946 ตัวแนททำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการหลัก และมีแขกรับเชิญเป็นศิลปินที่จะมาเล่นดนตรีและร้องเพลงร่วมไปกับเขา ตัวรายการนับว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมากก็จริง แต่สุดท้ายต้องปิดตัวลงเพราะไม่มีสปอนเซอร์ในประเทศมาสนับสนุน แนทพูดทิ้งท้ายหลังยกเลิกรายการไว้ว่า “Madison Avenue is afraid of the dark.” (ท้องถนนเมดิสันกลัวความมืด)—Madison Avenue คือถนนที่เป็นที่ตั้งของบริษัทโฆษณาหลายเจ้าในนิวยอร์ก
The Nat ‘King’ Cole Show นับเป็นหมุดหมายสำคัญในวงการสื่อรายการทีวี ถึงแม้ว่าจะถูกยกเลิกไปในตอนท้าย แต่แนทก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาทำได้ เป็นก้าวแรกที่ทำให้ศิลปินคนดำรุ่นต่อๆ มารู้ว่า คนดำสามารถมีพื้นที่ตรงนี้ได้ และมันคือความเท่าเทียม
เหตุการณ์รุนแรงที่สุดที่แนทต้องเจอในฐานะนักร้องผิวสี คือ การถูกจู่โจมกลางเวทีขณะขึ้นแสดงที่เมืองเบอร์มิงแฮม รัฐอลาบามา บ้านเกิดของเขาเอง ในวันที่ 12 เมษายน 1956 ขณะที่แนทกำลังขึ้นแสดงกับวงดนตรีของเทด ฮีท (Ted Heath’s band) จู่ๆ ก็มีชาวผิวขาวสี่คนมารุมทำร้าย และลากเขาไปกลางฮอล ยังดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาห้ามไว้ได้ทัน เหตุการณ์นี้เป็นไปได้ว่ามีการวางแผนเอาไว้แล้วเพราะยังมีคนผิวขาวในพื้นที่อีกกว่า 100 คนที่พร้อมจะโจมตีแนท ทัวร์ครั้งนี้จึงเป็นอันต้องยกเลิกไป ตัวแนทเองได้รับบาดเจ็บที่หัว ข้อเท้า และหลัง
แนทไม่เคยมีท่าทีตอบกลับรุนแรงเมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์จากกลุ่มคนเหยียดสีผิว เขาไม่เคยให้ความเห็นหรือแสดงออกทางการเมืองใดๆ แนทเป็นคนนอบน้อมโดยธรรมชาติ และพยายามต่อสู้ด้วยสิ่งที่ตัวเองถนัด—เสียงร้องและเสียงเพลง ไม่ว่าผู้ฟังจะมาจากไหนหรือมีผิวสีอะไร ไม่มีใครปฏิเสธความสามารถทางดนตรีที่เขามีได้ เขาปฏิบัติกับผู้ฝังอย่างเท่าเทียม
“The greatest thing you’ll ever learn
is just to love and be loved in return”
— Nature Boy, Nat King Cole
ตลอดชีวิตการเป็นศิลปินนักร้อง แนทมักจะสูบบุหรี่อยู่ตลอดเวลา คนรอบตัวเห็นตรงกันว่าเขาสูบบุหรี่จัดจนน่าเป็นห่วง และพยายามเตือนถึงอันตรายของมัน แต่ในที่สุดข่าวร้ายก็มาถึง แนทเริ่มซูบผอมและล้มป่วย ในช่วงบั้นปลาย แนทยังพยายามทำเพลงอย่างต่อเนื่อง อัลบั้ม ‘L-O-V-E’ คืออัลบั้มสุดท้ายที่ปล่อยได้ไม่นานก่อนที่เขาจะเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอด ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 1965 ด้วยวัยเพียง 45 ปี
แนท คิง โคล มีหลายผลงานเพลงที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของผู้คนมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้ง ‘Straighten Up and Fly Right’ ‘Nature Boy’ ‘Unforgettable’ ‘L-O-V-E’ หรือถ้าถึงช่วงสิ้นปี เราก็มักจะได้ยินร้านรวงต่างๆ เปิดเพลง ‘The Christmas Song’ คลอให้เข้ากับบรรยากาศในวันคริสต์มาสเป็นประจำทุกปี
“L is for the way you look at me
O is for the only one I see
V is very, very extraordinary
E is even more than anyone that you adore can”
— L-O-V-E, Nat King Cole
จากนักเปียโนแจ๊ส สู่นักร้องเพลงป๊อปคลาสสิก น้ำเสียงและพรสวรรค์ของแนท คิง โคล ยังคงเป็นอมตะอยู่เสมอ และเป็นเสียงที่ยากจะลืมเมื่อได้ฟังแม้สักครั้งเดียว
หากยังมีชีวิตอยู่ วันนี้เขาจะมีอายุครบ 100 ปีพอดี ขอบคุณสำหรับบทเพลงอันมีค่าที่คุณได้ทิ้งไว้ และสุขสันต์วันเกิด…แนท คิง โคล
อ้างอิงข้อมูลจาก
Nat King Cole: Afraid of the Dark (documentary), directed by Jon Brewer
Nat King Cole: the reluctant vocalist
Nat ‘King’ Cole attacked on stage – archive, 1956
Cover Photo by William P. Gottlieb, collection at the Library of Congress