วันที่ 7 มกราคมที่ผ่าน Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้งและซีอีโอเฟซบุ๊ก โพสต์ข้อความผ่านบัญชีเฟซบุ๊กของตนเองถึงเหตุการณ์น่าตกใจในช่วง 24 ชั่วโมงก่อนหน้านั้น โดยเฉพาะเรื่องที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แสดงให้เห็นชัดเจนว่ามีเจตนาที่จะใช้ช่วงเวลาที่เหลือในตำแหน่งเพื่อทำลายกระบวนการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติและชอบด้วยกฎหมายแก่ โจ ไบเดน ผู้ชนะการเลือกตั้ง มาร์กกล่าวต่อว่าแทนที่ทรัมป์ที่จะใช้ เฟซบุ๊กพื่อประณามหรือเอาผิดผู้สนับสนุนเขาที่สร้างความวุ่นวายที่อาคารรัฐสภา กลับพูดแสดงความเห็นว่า
“ผมรู้สึกถึงความเจ็บปวดของคุณ ผมรู้ว่าคุณกำลังเจ็บปวด การเลือกตั้งถูกขโมยไปจากเรา”
เฟซบุ๊กได้ลบข้อความเหล่านี้ทิ้งหลังจากนั้น เพราะเห็นว่าผลของข้อความ รวมถึงจุดประสงค์เหล่านั้นนอกจากจะกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้น ยังเป็นการปลุกกระแสให้ข้อมูลผิดๆ (Fake News) เกี่ยวกับผลการเลือกตั้งให้แพร่กระจายออกไปอีกด้วย
ความปั่นป่วนเกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้นไม่นาน เพราะถึงแม้ว่าการตัดสินใจของมาร์กนั้นจะมีน้ำหนักเหตุผลรองรับมากแค่ไหน (Twitter เองก็ตัดสินใจเหมือนกัน รวมถึง Amazon ที่ตัดสินใจปิดบริการโฮสติ้งของแอพพลิเคชั่น Parler ที่ส่วนใหญ่ผู้ใช้งานคือฝั่งขวาจัดผู้ติดตามทรัมป์) ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นด้วยกับการตัดสินใจครั้งนี้ ฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกล่าวหาว่าเขานั้นไม่ต่างอะไรกับผู้นำคอมมิวนิสต์ที่ลิดรอนสิทธิเสรีภา Free Speech ของบุคคลคนหนึ่งไป (Free Speech ซึ่งจากคำอธิบายของเว็บไซต์ iLaw อธิบายไว้ว่ามันคือ “เสรีภาพของบุคคลที่จะแสดงออกซึ่งความคิดเห็นใด ๆ ของตนโดยไม่ถูกตรวจพิจารณาก่อน (censorship) ถูกปิดกั้น (bar) และ/หรือถูกจำกัด (restriction) ด้วยวิธีการอื่นใด”)
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากการแบนโดนัลด์ ทรัมป์ก็คือผู้ติดตามของเขาก็เริ่มออกมาโวยวายและสาปส่งโซเชียลมีเดียกระแสหลักแล้วพยายามชักชวนกันให้ไปใช้บริการของโซเชียลมีเดียกระแสรองเป็นเว็บไซต์และบริการขนาดเล็กแบบ ‘alternative technology’ ที่สัญญาว่าจะ ‘ปล่อยผ่าน’ หรือ ‘เปิดกว้าง’ ในการแสดงความคิดโดยไม่มีการเซนเซอร์หรือจับจ้องโดยกลุ่มเจ้าของพื้นที่ความเห็นทางการเมืองคนละฝั่งกัน (หรือแม้แต่ฝ่ายกฎหมายเองก็ตาม)
โดยที่ผ่านมานั้นแอพพลิเคชั่นทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากคือ “MeWe” จากที่มีผู้ใช้ราวๆ 12 ล้านคนเมื่อตอนปลายปี ค.ศ.2020 เพียงไม่กี่อาทิตย์ต่อมาหลังจากความโกลาหลที่อาคารรัฐสภาตอนนี้มีผู้ใช้งานกว่า 16 ล้านคนแล้ว โดย Mark Weinstein CEO ของ MeWe บอกว่านี่คือหลักฐานสนับสนุนให้เห็นแล้วว่าทำไมเขาถึงก่อตั้ง MeWe ให้เป็นโซเชียลมีเดียทางเลือกที่มากกว่าแค่ Facebook โดยจุดขายหลักของ MeWe คือเรื่องความเป็นส่วนตัว ไม่มีการใช้ข้อมูลของลูกค้าเพื่อทำการตลาด ขายโฆษณา หรือแม้แต่ขายให้กับบริษัทอื่นๆ Weinstein เขียนไว้บนเว็บไซต์ Medium ว่า
“รูปแบบธุรกิจที่มีเกียรติของ MeWe คือการทำให้
สมาชิกทุกคนนั้นได้รับความเคารพและได้รับบริการ
ที่ไม่ใช่เอาข้อมูลเพื่อไว้แบ่งกันหรือขายต่อ”
แต่บนความเปิดกว้างและอิสรภาพสิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ใช่เรื่องสวยงามเสมอไป
“ผมเป็นคนอเมริกันที่เบื่อหน่ายและรังเกียจพวกทรยศหักหลังอย่างพวกคุณ” บัญชีหนึ่งบน MeWe ชื่อ Chuck Testa เขียนเอาโพสต์เอาไว้ประมาณสองวันหลังจากเหตุการวุ่นวายวันนั้น เขาระบายต่อในกลุ่ม ‘Stop the Steal’ (กลุ่มสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ที่เชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ถูกโกง) ที่มีสมาชิกเกือบ 3 พันคนว่า “คิดว่าเราจะนิ่งเฉยไม่สู้กลับอย่างงั้นเหรอ มันไม่มีที่สำหรับคนอย่างพวกนาย คนอย่างพวกนายต้องถูกลบล้างให้หมดสิ้น” ซึ่งก็มีคนมาคอมเมนท์พูดคุยกันต่อถึงวิธีจัดการอีกฝั่งด้วยความรุนแรงต่างๆ มากมาย
ถ้าใครติดตาม MeWe อยู่นั้นพอจะทราบดีว่าโซเชียลมีเดียแห่งนี้ไม่ได้เกิดมาด้วยสาเหตุของเรื่องการเมือง เพียงแต่ว่าช่วงหลังนั้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเมืองกำลังหาพื้นที่แห่งใหม่ในการรวมตัวพูดคุยและมุมหนึ่งปลุกระดมอย่าง Stop the Steal หรือ QAnon กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วเพราะแพลตฟอร์มใหญ่ๆ นั้นเริ่มทำการกวาดล้างโพสต์ที่เกี่ยวข้อง สนับสนุน หรือมีโอกาสก่อให้เกิดความรุนแรงทางการเมืองตามมาภายหลัง ซึ่งคนกลุ่มนี้มักจะโพสต์บน MeWe ในทำนองที่ว่าตัวเองเป็น ‘เหยื่อ’ ของการถูกกระทำ ถูกปิดกั้นและตัดสินอย่างไม่ยุติธรรมจากแพลตฟอร์มใหญ่อย่าง Facebook, Instagram หรือ Twitter ที่ควรเป็นพื้นที่อิสระสำหรับแสดงความคิดเห็น
ยิ่งตอนนี้เมื่อ Parler หรือ Gab ที่เป็นโซเชียลมีเดียทางเลือกคู่แข่งนั้นถูกปลดออกจากทั้ง App Store และ Play Store แถมยังถูกถอดออกจากบริการโฮสติ้งเพราะถือว่าสนับสนุน Hate Speech หรือการพูดยุยงที่มีเจตนาสร้างความเกลียดชังกับอีกฝ่าย เลยกลายเป็นว่า MeWe ยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้นและกลายเป็นพื้นที่ใหม่ของกลุ่มขวาจัดเหล่านี้ ซึ่งบางคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มติดอาวุธและกลุ่มทฤษฎีสมคบคิด
แต่ผู้สร้าง MeWe ไม่เคยมีเจตนารมณ์ที่จะสร้างพื้นที่ให้กลุ่มที่สนับสนุนความรุนแรงแบบนี้เลยตั้งแต่แรก เพราะถ้าอ่านเงื่อนไขและข้อตกลงการให้บริการของบริษัทจะเห็นเลยว่าแอพพลิเคชั่นนี้ไม่อนุญาตให้มีการ “สะกดรอยตาม, คุกคาม, กลั่นแกล้ง, ข่มขู่ หรือ ทำร้ายผู้ใช้งานคนอื่น” ซึ่ง MeWe ก็มีสิทธิ์ที่จะปิดบัญชีใครก็ตามที่ไม่ทำตามกฎตรงนี้ ซึ่ง Weinstein บอกว่าตอนนี้เขากำลังจ้างพนักงานที่ตรวจสอบคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มให้เยอะขึ้นกว่าเดิมจากที่มียังไม่ถึงหนึ่งร้อยคนในเวลานี้
ซึ่งถ้าเราย้อนดูประวัติของ MeWe นั้นต้องกลับไปก่อนที่ Mark Zuckerberg จะสร้าง TheFacebook ที่ Harvard ถึง 5 ปีเลยทีเดียว ซึ่งตอนนั้น Mark Weinstein ได้สร้างเว็บไซต์โซเชียลมีเดียที่ชื่อว่า SuperGroups.com ในปี ค.ศ.1998 ก่อนที่จะถูกขายออกไปช่วงต้นของยุค 2000’s ต่อมาไอเดียของ SuperGroups ก็กลายเป็นรากฐานให้กับ MeWe จนปล่อยออกมาในปี 2016 โดยการเป็น ‘Anti-Facebook’ อย่างเต็มตัว และโฟกัสที่ ‘ความเป็นส่วนตัว’ เป็นอันดับหนึ่ง
เมื่อวางตัวไว้แบบนี้จึงไม่แปลกใจที่ MeWe จึงกลายเป็น
โซเชียลมีเดียที่ได้รับความสนใจจากคนหลากหลายกลุ่ม
ทั้งอนุรักษ์นิยม เสรีนิยม ก็มาอยู่ร่วมกัน รวมไปถึงกลุ่มคนที่ทานวีแกน, กลุ่มเพศทางเลือก, กลุ่มคนรักสุขภาพ คนรักหมา รักแมว เดินป่า ฯลฯ เรียกได้ว่ามีทุกกลุ่มเหมือนกับที่ Facebook มีนั้นแหละครับ
แต่ขณะเดียวกัน MeWe ก็ดึงดูดกลุ่มคนอื่นๆ ที่มีความเชื่อที่แตกต่างและถูกปิดกั้นบนแพลตฟอร์มหลักเพราะสนับสนุนเรื่องความรุนแรงให้ข้อมูลผิดๆ เกี่ยวกับเรื่องทางการแพทย์ หรือ Fake News ที่ก่อให้เกิดความแตกแยกอย่าง “Antifa Exterminators,” “Oath Keepers USA,” และ “Stop Mandatory Vaccination OFFICIAL.”
ล่าสุดในกลุ่มสนับสนุนโดนัล ทรัมป์และต่อต้านโจ ไบเดน “Joe Biden Is Not My President” ซึ่งเมื่อเว็บไซต์ OneZero เข้าไปตรวจดูการสนทนากันระหว่างสมาชิกเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่รัฐสภาและการยิงคนอื่นที่ต่อต้านว่า
“พูดตรงๆ เลยนะ วันนั้นที่จะยิงคนให้ตายคงเป็นวันที่น่ากลัวมาก ไม่ค่อยอยากให้ถึงวันนั้นเลย” Justin Alexander กล่าว
Derek Howell สมาชิกอีกคนตอบ “ไม่อยากให้เกิดขึ้นเหมือนกัน, แต่ก็ทำใจแล้วหล่ะ มันคงถึงเวลาแล้ว”
โดยสมาชิกคนต่อมาชื่อ Carrie Brownell เขียนต่อ “ฉันจบชีวิตหมาที่บ้านของตัวเองได้ ถ้าฉันสามารถยิงปืนใส่สิ่งที่ฉันรักได้ ฉันคิดว่าคงทำได้กับคนที่ฉันเกลียดหรือข่มขู่ฉันก็คงง่ายกว่ามาก”
ซึ่งหลังจากที่ OneZero ปล่อยบทความออกไป MeWe ก็ทำการลบกรุ๊ปและบุคคลที่เกี่ยวข้องออกไปทั้งหมด ซึ่งในการสัมภาษณ์ Weinstein เองก็ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนว่าคอนเทนต์ที่อยู่ในโซนสีเทานั้นจะถูกจัดการยังไง คนที่เป็นคนดูแลจะเป็นคนตัดสินเองว่านั้นเป็น hate speech รึเปล่า ถ้ามีผู้ใช้งานรายงานใครเข้ามาก็อาจจะคาดโทษเอาไว้ก่อน เมื่อถึงสามครั้งเมื่อไหร่ถึงจะลบผู้ใช้งานคนนั้นจริงๆ
“ความท้าทายของแพลตฟอร์มขนาดเล็ก
คือการควบคุมเรื่องคอนเทนต์”
J.M. Berger นักวิจัยแและวิเคราะห์กลุ่มหัวรุนแรงในอเมริกากล่าวเกี่ยวกับปัญหาของโซเชียลมีเดียที่เกิดขึ้นในเวลานี้ “สิ่งที่น่าจะชัดเจนแล้วในเวลานี้ก็คือการสร้างโซเชียลมีเดียหรือแพลตฟอร์มนั้นต้องมีการเตรียมงบไว้สำหรับการตรวจสอบคอนเทนท์ในโมเดลของธุรกิจด้วย”
โดยเขากล่าวต่อว่าการปลดออกหรือปิดกั้นไม่ให้เข้าถึงแพลตฟอร์มนั้นก็เป็นเพียงวิธีหนึ่งที่ป้องกันไม่ให้เกิดการรวมตัวหรือยั่วยุ แต่นั้นก็ไม่ใช่ทางแก้แบบ 100% การปิดกั้นกลุ่มหัวรุนแรงไม่ให้เข้าถึงผู้คนหลายล้านคนเป็นเรื่องที่ดี แต่สุดท้ายคนกลุ่มนี้ก็จะพยายามหาพื้นที่อื่นเพื่อรวมตัวกันอยู่ดี ซึ่งนั้นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ MeWe ในตอนนี้
ทางออกที่ดีที่สุด (ในเวลานี้) ที่มีการแนะนำจากหลายๆ แห่งบอกคือการแชร์ข้อมูลและทรัพยากรระหว่างแพลตฟอร์มหรือโซเชียลมีเดียต่างๆ ทางแพลตฟอร์มใหญ่อย่าง Facebook หรือ Twitter อาจจะยื่นมือเข้ามาช่วยโซเชียลมีเดียขนาดเล็กในการตรวจสอบคอนเทนต์และบัญชีเหล่านี้ ถ้าถูกถอดออกจากที่หนึ่งด้วยสาเหตุรุนแรงก็อาจจะแบนบนที่อื่นๆ ด้วย เพราะเมื่อกลุ่มคนเหล่านี้เริ่มถูกปลดออกจากแพลตฟอร์มใหญ่ ก็จะกลายเป็นปัญหาของแพลตฟอร์มเล็กๆ ที่กำลังเติบโตและยังไม่มีทรัพยากรที่ดูแลได้ทั่วถึงนัก
ซึ่งแน่นอนว่าสุดท้ายแล้วก็คงต้องดูอีกว่าแพลตฟอร์มอย่าง MeWe (และโซเชียลมีเดียทางเลือกอื่นๆ) ที่ออกตัวว่าเป็น Anti-Facebook และไม่เห็นด้วยกับแนวคิดและนโยบายของแพลตฟอร์มใหญ่จะยอมร่วมมือรึเปล่า เพราะถ้าเกิดว่าไม่เห็นด้วยหรือต่างคนต่างทำ ปัญหาที่เกิดขึ้นจากที่หนึ่งก็จะกลายเป็นปัญหาของอีกที่หนึ่งอยู่ดี เหมือนการเล่นเกมส์ทุบตัวตุ่นที่ทุบหลุมหนึ่งก็ไปโผล่อีกหลุมหนึ่งวนไปวนมาอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ กลายเป็นว่าแทนที่ MeWe จะได้เติบเป็นโซเชียลมีเดียอย่างที่ตัวเองต้องการ กลับต้องคอยรับมือกับเรื่อง Free Speech/Hate Speech ความแตกแยกทางการเมือง ความรุนแรง และ Fake News ที่นับวันยิ่งเลวร้ายมากขึ้นอย่างไม่จบไม่สิ้น
อ้างอิงข้อมูลจาก