บทความชิ้นนี้เปิดเผยเนื้อหาส่วนสำคัญของภาพยนตร์
บทความชิ้นนี้เปิดเผยเนื้อหาส่วนสำคัญของภาพยนตร์
บทความชิ้นนี้เปิดเผยเนื้อหาส่วนสำคัญของภาพยนตร์
บทความชิ้นนี้เปิดเผยเนื้อหาส่วนสำคัญของภาพยนตร์
เริ่มต้นจากศพไม่มีหัว กลายเป็นคดีฆาตกรฆ่าต่อเนื่องสะเทือนขวัญผู้คน เพราะศพที่พบจะไม่มีหัวและถูกสลักตัวเลขไว้ที่สันมือ จนกระทั่งครอบครัวธรรมดาครอบครัวหนึ่งไปเที่ยววันหยุดในช่วงฤดูหนาว ฆาตกรตามพวกเขาไปและสังหารโหดพ่อแม่ ขณะพี่ชายคนโตซ่อนน้องชายไว้ในกระเป๋าเดินทางและถูกฆาตกรทารุณอย่างเหี้ยมโหดต่อหน้าน้องชาย ที่ต่อมากลายเป็นพยานคนสำคัญ
เริ่มต้นจากการค้นพบยีนไซโคพาธ ยีนที่เป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่าคนคนนี้มีโอกาสเป็นฆาตกรฆ่าต่อเนื่อง พลิกไอเดียจากการ profiling พฤติกรรมของคนผู้น่าสงสัยเป็นการตรวจที่ชั่วตวงวัดได้ทันที คนที่มียีนนี้มีสองแบบถ้าไม่เป็นไอ้โรคจิตนักฆ่า ก็เป็นอัจฉริยะ คนเหล่านี้ฉลาดแต่ไร้อารมณ์ มองเห็นผู้อื่นเป็นเพียงเครื่องทดลอง ไม่รู้สึกสำนึกเสียใจและเห็นการฆ่าเป็นเรื่องสนุก เริ่มจากตรงนี้ทำให้เชื่อได้ว่าถ้าเราสามารถตรวจพบยีนนี้ในทารกแรกเกิดเราสามารถทำแท้งเพื่อป้องกันการเกิดของไซโคพาธได้ สังคมจะสงบสุขและปราศจากฆาตกรฆ่าต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ข้อเสนอนี้ถูกปัดตกไปในชั้นของรัฐสภา
ผู้ค้นพบยีนนี้เป็นคุณหมอชาวเกาหลี ดร.แดเนียล ลี ซึ่งเขามีเพื่อนสนิทคือศัลยแพทย์ชื่อดัง ฮันซอจุน อดีตคนรักของน้องสาวที่ตายไป ตอนนี้คุณหมอฮันแต่งงานใหม่ ภรรยากำลังท้องแก่ ดร.แดเนียล แวะกลับเกาหลีเลยไปเยี่ยมหา ก่อนจะมารู้ว่า ฮันซอจุนที่แท้คือนักล่าหัว!
ทุกวันนี้แม้จะถูกพิพากษาประหารชีวิต ฮันซอจุนยังสบายดีอยู่ในคุก ในขณะที่อีกตัวละครหนึ่ง โกมูชี เติบโตขึ้นเป็นนายตำรวจ ตัดขาดจากพี่ชายที่ถูกฮันซอจุนทรมานจนพิการและกลายเป็นบาทหลวง ยกโทษให้ฆาตกร โกมูชีเก็บความคลั่งแค้นไว้ในใจ หวังว่าสักวันจะฆ่าใครสักคนเพื่อเข้าไปในคุกและสังหารฮันซอจุนด้วยมือของตนเอง
แล้วก็มีคดีฆาตกรรมฆ่าต่อเนื่องเกิดขึ้นอีก เริ่มจากคดีที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกันแต่เกี่ยวข้องกันอย่างยิ่ง ชายคนหนึ่งถูกมัดติดกับเก้าอี้ในสนามมวยที่เขาเป็นผู้ดูแล จุดไฟเผาทั้งเป็น ศพมีสภาพไหม้เกรียม แต่มีนิ้วข้างหนึ่งชี้ไปยังทิศทางของไม้กางเขนและมีไบเบิ้ลอยู่ในจุดเกิดเหตุ มีผู้หญิงโดนฆ่าหมกไว้ในท่อระบายน้ำ หรือสาวยูทูปเบอร์นักกินถูกฆ่าหมกไร่องุ่น มีข้าวของจากคดีก่อนหน้าปะปนอยู่ในคดีใหม่ๆ มีเหตุให้เชื่อได้ว่าทุกคดีล้วนจัดวางศพในตำแหน่งที่หันไปยังโบสถ์หรือไม้กางเขน
และยังมีคดีของผู้คุมในคุกที่ถูกแทงยับ เอาร่างยัดไว้ในกล่องที่เป็นอุปกรณ์แสดงมายากลให้นักโทษดู เหตุเกิดในเรือนจำที่ฮันซอจุนอยู่ และเหยื่อคือ นาชีกุก เพื่อนสนิทของ จองบารึม ตำรวจท้องที่ที่มีงานอดิเรกเป็นการแสดงมายากลเล็กๆ น้อยๆ นี้
จองบารึมเป็นตำรวจท้องที่ผู้แสนดีออกตวจตราความเรียบร้อยและคอยช่วยเหลือชาวบ้านในงานนั่นนี่ เขาเป็นคนสุภาพเรียบร้อยใส่ใจผู้อื่น เขาคอยดูแลเด็กสาวโอบงอี ที่เคยมีประวัติเป็นเหยื่อของไอ้โรคจิต เขาสนิทสนมกับยายของเธอที่เลี้ยงหลานโดยลำพังทั้งที่อายุมากแล้ว เขาคอยดูแลทั้งยายหลาน แต่แล้ววันหนึ่งคุณยายก็กลายเป็นเหยื่อของฆาตกรโรคจิตไปอีกราย เขาเองเกือบจะจับฆาตกรได้แต่ก็พลาดไป
เขาขอมีส่วนร่วมกับการสืบสวนของโกมูชี แม้จะช่วยอะไรได้ไม่มาก แต่เขาก็อยู่เสมอ นอกจากนั้นยังมี พีดีชเว ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ข่าวสืบสวนที่เป็นทั้งผู้ช่วยให้ข้อมูลและขโมยข้อมูลไปออกอากาศ จากหลักฐานและสัญชาตญาณทำให้คดีชี้ไปยัง ซองโยฮัน หมอหนุ่มที่ทำงานในโรงพยาบาลใกล้เรือนจำ และดูเหมือนว่า ซองโยฮันก็เริ่มระแคะระคายว่ามีตำรวจสายสืบบ้าเลือดกับตำรวจท้องที่หงอๆ กำลังสาวมาถึงเขา เขาจึงโต้กลับนำไปสู่เหตุการณ์ชวนช็อกและในทำให้ทั้งจองบารึมและซองโยฮันต้องผเชิญหน้ากันและตายกันไปข้างหนึ่ง
แต่เรื่องทั้งหมดเพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้นเอง!
ที่เขียนไปก่อนหน้าเป็นเพียงส่วนต้นของเรื่องราวที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง ตัวละครที่มากมายอย่างยิ่ง และจำนวนศพที่มากมายยิ่งไปอีก ราวกับว่าเมืองเต็มไปด้วยฆาตกรโรคจิตและเหยื่อ ท่ามกลางการนองเลือด การสืบสวนเชื่องช้าของตำรวจ และการทำเกินหน้าที่ของสื่อมวลชน ฆาตกรรายใหม่ๆ และความคลั่งวิทยาศาสตร์ของเหล่าแพทย์ ในเกมแมวจับหนูที่มีชีวิตของชาวบ้านเป็นเดิมพัน เราค่อยๆ พบว่าทุกคนเป็นหนูทดลองตัวหนึ่ง ทุกตัวละครเป็นหนูทดลองของเกมการเมือง และในขณะที่ผู้ชมก็เป็นหนูทดลองที่วิ่งอยู่ในเขาวงกตของเรื่องเล่าในการกำกับของคนเขียนบทและผู้กำกับ
ซีรีส์เกาหลียาวยี่สิบตอน (ที่มีความยาวตอนละ 1- 1.5 ชม.) เรื่องนี้อาจถูกจดจำในฐานะของซีรีส์ที่มีเรื่องเล่าซับซ้อนที่สุดเรื่องหนึ่ง ด้วยการเล่าแบบบอกไม่หมด อาศัยการตัดต่อแบบตัดข้ามข้อมูลบางส่วน เพื่อชักนำให้ผู้ชมไขว้เขวไปตามทิศทางที่ต้องการเล่า ก่อนจะย้อนมาให้รายละเอียดเพิ่มใน Episode ต่อไปและเล่าใหม่ไปอีกทิศทาง ทำให้ผู้ชมไม่อาจคาดเดา ทั้งเพราะมีข้อมูลไม่มากพอ และเพราะถูกคนทำลากจูงไปทางอื่นโดยพยายามส่งคำใบ้ผ่านฉากที่ไม่เข้าพวกสองสามฉาก แล้วเก็บเกี่ยวมาใช้ผลประโยชน์ต่อไป
แต่เอาเข้าจริงซีรีส์เรื่องนี้กลับมีความน่าสนใจมากกว่านั้น และลูกไม้ของการชี้นำผู้ชมไปผิดทางเพื่อจะกลับมาสู่อีกทางหนึ่งก็เหมาะเจาะกันกับข้อเสนอหลักที่หนังต้องการเล่า
แม้วาเรื่องจะเปิดตัวด้วยข้อเสนอเกี่ยวกับ ‘ยีนไซโคพาธ’ แต่ในช่วงต้นของหนังผู้ชมถูกชักจูงให้สนใจกับคดีว่าใครคือนักล่าหัว และในเวลาต่อมา ก็ถูกเบี่ยงเบนมาสนใจว่าใครคือฆาตกรก่อนที่จะเริ่มต้นเล่าเรื่องหลักจริงๆ นั่นคือชีวิตหลังจากจองบารึมเข้ารับการผ่าตัดลึกลับและได้สมองของซองโยฮันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่วของสมองตนเอง ความทรงจำเริ่มสับสนว่าอันไหนคือความทรงจำของตนและอันไหคนคือของที่ยืมมา ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของความทรงจำ ก่อนจะมีคดีใหม่เกิดขึ้นอีก และเราได้เห็นรูปแบบของการจับผิดตัว ก่อนที่การจับผิดตัวฆ่าผิดคนจะเกิดขึ้นจริงเมื่อหนังเฉลยปมว่าใครกันแน่ที่เป็นฆาตกรตัวจริงและเปิดเผยประเด็นหลักของหนังว่า ทั้งหมดที่เล่าไปนั้นจะเป็นเพียงการทดลองชนิดหนึ่งในเรื่องที่ใหญ่กว่านั้นซึ่งแน่นอนนำมาสู่หัวข้อที่หนังนำเสนอไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง
คือเรื่องของการทำหน้าที่แทนพระเจ้าในการตัดสิน
ว่าใครสมควรมีชีวิตอยู่และใครที่สมควรตาย
หนึ่งในข้อโต้แย้งที่มีมายาวนานของมนุษยชาติคือข้อโต้แย้งที่ว่าด้วย ธรรมชาติ (Nature) กับ การเลี้ยงดู (Nurture) ฝั่งหนึ่งเชื่อว่ามนุษย์นั้นจะเป็นอย่างไรถูกกำหนดไว้แล้วโดยธรรมชาติ โดยพระเจ้า โดยพรมลิขิต โดยพรสววรค์ หรือให้ใหม่กว่านั้นก็คือโดยพันธุกรรม โดย DNA ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งเชื่อว่า มนุษย์เกิดมาเป็นผ้าขาว การเลี้ยงดู ของพ่อแม่ ลมฟ้าอากาศ การขัดเกลาทางสังคม หรือสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ หรือพรแสวงต่างหากที่จะก่อรูปตัวตนของเขาขึ้นมา
ข้อถกเถียงอันยาวนานนี้เคยให้ผลทางปฏิบัติอย่างสุดโต่งมาแล้วทั้งสองขั้ว ในฝั่ง nature เคยมอบดอกผลอันน่าสะพรึงภายใต้โครงการ Nazi Eugenics ในสมัยสงครมโลกครั้งที่สองที่มีทั้งการจับเอาบรรดา คนพิการ ผู้ป่วยทางจิต ผู้ป่วยโรคลมชัก ไปขัง ไปทำหมันและฆ่า ในอีกทางก็ทำการคัดเลือกสายพันธุ์ของชาวนอร์ดิก และอารยันที่เชื่อว่าเป็นสายพันธุ์ที่ดีของมนุษย์(ในสายตานาซี) ให้จับคู่ผสมพันธุ์ออกลูกหลานที่เป็นายพันธุ์ที่แข็งแกร่งและสมบูรณ์เพื่อให้เป็นประชากรนาซีชั้นหนึ่ง และเช่นกัน เราต้องไม่ลืมว่าวิธีคิดเช่นนี้และทฤษฎีการคัดเลือกตามธรรมชาติของ ชารลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) นั้น แม้จะโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการล่าอาณานิคมและการเหยียดเชื้อชาติที่ยังคงมีมรดกตกทอดจนถึงปัจจุบัน
ในอีกฟากฝั่งการเชื่อมั่นใน Nurture ก็เคยสร้างความทุกข์ระทมใหญ่หลวงให้กับบรรดาเด็กที่เกิดมามีสองเพศ (intersexion) เพราะด้วยข้อจำกัดความรู้ทางการแพทย์และ อคติที่มีต่อการรักเพศเดียวกัน ผลักดันให้พ่อแม่ที่มีลูกสองเพศต้องเลือกเพศให้กับลูกผ่านการผ่าตัดและกินฮอร์โมนเด็กหลายคนเติบโตมาพบว่าเพศที่พ่อแม่เลือกให้ไม่ตรงกับเพศสภาพของตน ความเชื่อว่าการเลี้ยงดูจะสามารถเอาชนะธรรมชาติได้ ทำให้ใครหลายคนต้องสูญเสียความสุขทางเพศ ถูกตัดอวัยวะเพศ หรือแม้แต่มีชีวิตอย่าทุกข์ทรมานอันเป็นผลสิบเนื่องจากยาและฮอร์โมนที่ใช้ในการแปลงเพศ
และในหนังเรื่องนี้ เราอาจบอกว่าการทำหน้าที่แทนพระเจ้าเริ่มจากการฆ่าต่อเนื่องของนักล่าหัวที่พยายามจะเอาชนะความคิดเกี่ยวกับ Nature ของดร.แดเนียลที่เชื่อว่าการเป็นไอ้โรคจิตเป็นสิ่งที่อยู่ในพันธุกรรมของมนุษย์ เป็นสิ่งที่ถูกลิขิตมาตั้งแต่เกิดเป็นสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติ ในขณะที่ฮันซอจุนพยายามทดลอง ‘ผ่าตัดเปลี่ยนสมองคน’ การล่าของเขาจึงเป็นทั้งความเพลิดเพลินใจในฐานะนักล่า ไซโคพาธ และในฐานะของหมอที่พยายามท้าทาย Nature ด้วยการทำให้เชื่อว่า ธรรมชาตินั้นสามารเอาชนะได้ เราสามารถเอาสมองของฆาตกรโรคจิตใส่ในคนธรรมดา แล้วเขากลายเป็นฆาตกรโรคจิตได้ และทำในทางตรงกันข้ามก็ได้เช่นกัน
การณ์กลายเป็นว่าคนที่สมาทาน Nurture กลับเป็นคนที่เชื่อใน Natue ที่สุดอย่าง ชเวดองชิน นักการเมืองหญิงที่พยายามพิสูจน์ทฤษฑียีนไซโคพาธ เธอและองค์กร OZ ของเธอเฝ้าติดตามเด็กสองคนที่มียีนนี้ นั่นก็คือ ซองโยฮัน และ จองบารึมอย่างเงียบๆ เธอรู้ว่าแม่สองคนสลับลูกกันเพื่อให้มั่นใจว่าในอนาคตหากเด็กออกอาการของไซโคพาธต่างฝ่ายจะสามารถมีกำลังในการฆ่าลูกของอีกฝ่ายโดยไม่สำนึกเสียใจ แต่เด็กสองคนแค่โตมาเป็นเด็กแปลกๆ ไม่ได้เป็นไซโคพาธอย่างที่เธอคาด ขนาดที่ว่าครอบครัวของคนหนึ่งถูกฆ่ายกครัว เด็กก็ยังเติบโตมาอย่างปกติ จนในที่สุดชเวดองชินต้องตัดสินใจกระตุ้นสัญชาตญาณไซโคพาธด้วยการมอบที่อยู่ของชายที่เป็นคนฆ่าแม่ของบารึม เขาจึงเริ่มปลดปล่อยสัญชาตญาณการฆ่าออกมา กล่าวให้ถูกต้อง ดูเหมือนการเลี้ยงดูจะมีชัยเหนือธรรมชาติ และการกระตุ้นของเธอคือรูปแบบหนึ่งของ Nurture ที่ทำเพื่อจะพิสูจน์ความถูกต้องของ Nature นั่นเอง
กล่าวถึงที่สุดเราจึงบอกได้ว่า ข้อถกเถียงระหว่าง nature vs. nurture
จึงไม่ได้เป็นเพียงคู่ตรงข้ามที่ขัดแย้งกันหากมีความเป็นการเมืองอย่างยิ่ง
และพึ่งพิงกันอย่างยิ่งขึ้นกับว่าฝ่ายใดจะเลือกวาทกรรมแบบใดมาอ้าง
เรื่องน่าสนใจคือหากพระเจ้ายืนหนึ่งในตำแหน่งของ Nature และมนุษย์อยู่ในตำแหน่งของ Nurture ตอนจบของหนังได้ขยายขอบเขตของการถกเถียงออกไปอย่างน่าสนใจ ถ้าเราตั้งต้นว่ายีนไซโคพาธเป็นสิ่งที่พระเจ้ามอบให้มา และบารึมเคยร้องขอต่อพระเจ้าให้ช่วยเขาจากสิ่งนี้แต่ได้รับการปฏิเสธด้วยความเงียบงัน การฆ่าของเขาในเวลาต่อมาจึงเป็นการฆ่าเพื่อต่อต้านศาสนาและพระเจ้า ทั้งการจัดท่าทางให้ชี้ไปยังไม้กางเขน ไปจนถึงการเลือกฆ่าผู้ที่ไม่ยอมอ่อนข้อต่อบาปเจ็ดประการ หากในอีกทางการฆ่าของเขาก็ถูกกระตุ้นจากการเลี้ยงดูและทดลองโดยองค์กรลับที่ต้องการให้เขาเป็นฆาตกรให้ได้เพื่อพิสูจน์ว่าเกิดเป็นฆาตกรก็ต้องเป็นฆาตกรจนแล้วจนรอด มองในแง่นี้ การผ่าตัดสมองของฮันซอจุนเลยกลายเป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุดทั้งต่อ Nature และ Nurture
เราอาจบอกได้ว่าถึงที่สุดในตอนท้ายนั้นพระเจ้าชนะ ไม่ใช่เพราะเรื่องของยีนไซโคพาธถูกพิสูจน์ แต่เพราะจองบารึมเหลือแต่พระเจ้าเท่านั้นที่เป็นเพื่อน ที่ให้อภัยบาปของเขา ขณะที่โลกที่เหลือไม่เป็นไปตามนั้น มนุษย์เปื้อนบาปทุกคนยินดีที่จะให้เขาตายในฐานะฆาตกรโรคจิต มากกว่าเหยื่อของการทดลอง เราบอกได้ไหมว่านี่คือการพิสูจน์ว่า Nature (ยีนไซโคพาธ และพระเจ้า) อยู่เหนือ Nurture
หากในอีกด้านหนึ่งกฏหมายทำแท้งเด็กทารกที่มียีนไซโคพาธก็ผ่านสภา (สมเป็นเกาหลีใต้จริงๆ) ในแง่นี้มนุษย์ก็เลือกเอาชนะพระเจ้าโดยการทำตัวเป็นพระเจ้าเสียเองด้วยการกำหนดว่าเด็กคนไหนที่สามารถเกิดได้ มนุษย์ใช้ nature มาตอบสนอง nurture ของสังคมเช่นเดียวกันกับที่เชวดองชินทำในทางตรงกันข้าม พระเจ้าจึงอาจไม่ได้เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด
ที่ยิ่งกว่านั้นคือหนังทำให้ ทุกคนเป็นฆาตกรโรคจิตอย่างเสมอหน้ากันหมด โกมูชีฆ่าซองโยฮันจากความเข้าใจผิด โอบงอีช่วยปกปิดความลับของจองบารึมเพราะความรัก พีดีชเวก็ช่วยปกปิดเพราะอดีตของตนเอง ทุกคนตัดสินตามความรู้ความเข้าใจที่ตนมี ต่างคนต่างเป็นหนูที่วิ่งในเขาวงกตของนักการเมือง ที่อยู่ในเขาวงกตของพระเจ้า ผู้ชมก็เป็นหนูทดลองในเขาวงกตของการตัดต่อที่กลับดีเป็นร้าย ฆาตกรโรคจิตฆ่าเด็กในตอนหนึ่งเป็นเพียงไอ้บ้าฆ่าแมวในตอนถัดไป หมอนักฆ่ากลายเป็นเหยื่อที่น่าสงสาร ด้วยข้อมูลที่จำกัด เราทุกคนล้วนมือเปื้อนเลือด หลังจากมือเปื้อนเลือดเราแค่ต้องให้ใครสักคนที่จะโยนความผิดให้ เพื่อให้เราได้มีชีวิตต่อไปข้างหน้าได้