‘Welcome to The White Lous’
หลังจาก The White Lotus ปล่อยมาให้รับชมไปแล้วในตอนแรกก็กลายเป็นไวรัลบนโลกอินเทอร์เน็ต มีผู้ชมจากทั่วโลกพูดถึงกันอย่างไม่ขาดปาก ซึ่งซีซั่นล่าสุดที่กำลังลงจอฉายให้เราได้รับชมกันอยู่นี้ดำเนินมาถึงซีซั่น 3 แล้ว
กระแสความนิยมของซีรีส์เรื่องนี้เริ่มมาตั้งแต่เริ่มฉายซีซั่น 1 ครั้งแรกในปี 2021 เรื่อยมาจนถึงในซีซั่น 2 ในปี 2022 พร้อมการการันตีคุณภาพและความบันเทิงเต็มรูปแบบ จาก 8 จาก 10 คะแนนของผู้ชมทั่วไปในเว็บไซต์ IMDB ตลอดจนคะแนนจากเหล่านักวิจารณ์ในเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ที่สูงถึง 92% แถม The White Lotus ทั้ง 2 ซีซั่นยังเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมี่มากถึง 43 รางวัล และสามารถกวาดรางวัลไปครองได้ไปถึง 15 รางวัล
แน่นอนว่าความสนุกและเนื้อหาสุดเข้มข้นจะเป็นส่วนสำคัญทำให้ The White Lotus ได้รับความนิยม แต่อีกปัจจัยหลักที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ได้รับเสียงตอบรับดีจากแฟนๆ ทั่วโลก คือการนำเสนอประเด็นเสียดสีสังคม จิกกัดคนรวย และตีแผ่การถูกกดขี่ได้อย่างเฉียบคมและน่าติดตาม
เมื่อโลกยังคงมีความไม่เท่าเทียมก็ย่อมมีผู้ได้เปรียบและเสียเปรียบ ตัวละครหลายๆ ตัวในซีรีส์ The White Lotus จึงเป็นเครื่องสะท้อนความเหลื่อมล้ำชั้นดีระหว่างผู้มีอำนาจกับผู้ที่ด้อยกว่า ใครบ้างถูกกดทับจากโครงสร้างทางอำนาจนี้ แล้วพวกเขาต้องเผชิญกับอะไรเมื่อต้องกลายมาเป็นหมากตัวหนึ่งในเกมแห่งความไม่เท่าเทียม?
*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของ The White Lotus*
แม้ซีรีส์จะดำเนินมาแล้วกว่า 3 ซีซั่น แต่ธีมหลักและใจความสำคัญของเรื่องราวทั้งหมดยังคงอยู่ภายใต้กรอบเดียวกัน คือซีรีส์พูดถึงเหล่าคนรวย มหาเศรษฐี และผู้มีอำนาจมากหน้าหลายตาที่เดินทางมาพักผ่อนช่วงหน้าร้อน ณ White Lotus โรงแรมชั้นยอดที่พร้อมให้บริการลูกค้าทุกท่านแบบเต็มระดับ
ย้อนกลับในช่วงต้น ตัวซีรีส์จะเปิดมาด้วยฉากการตายของใครสักคนอันเป็นปริศนาที่จะค่อยๆ คลี่คลายทีละเล็กทีละน้อยผ่านเรื่องราวดราม่า และปัญหาชวนวายป่วงของบรรดาแขกเหรื่อในโรงแรม โดยมีผู้จัดการโรงแรมและพนักงานโรงแรมอีกหนึ่งกลุ่มตัวละครสำคัญ เป็นฝ่ายต้องรับแรงกระแทกจากเหล่าคนรวยทั้งหลายนี้ จนกว่าเวลาจะล่วงเลยไปครบสัปดาห์
เมื่อพนักงานต้องถูกกดทับด้วยระบบการบริการ
“การบริการให้แขกทุกท่านได้รับความพึงพอใจมากที่สุด คือหน้าที่ของพนักงานทุกคน”
เชื่อว่าโรงแรมหลายๆ แห่ง หรืองานบริการอีกไม่น้อยคงจะมีการปลูกฝังแนวคิดทำนองนี้ให้แก่พนักงาน เพื่อให้พวกเขาพร้อมและเต็มที่กับการบริการ โดยยึดเอาความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญ แต่ถ้าความพอใจดันไม่มีสิ้นสุด พนักงานจะรับมืออย่างไรล่ะ?
เหมือนกับอาร์มอน (รับบทโดยเมอร์เรย์ บาร์ตเลต์ (Murray Bartlett)) ผู้จัดการโรงแรม White Lotus ณ ฮาวาย ในซีซั่นแรก เขาต้องเผชิญกับปัญหาชวนปวดหัวร้อยแปดจากบรรดาแขกที่เข้ามาพัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเชน (รับบทโดยเจค เลซี (Jake Lacy)) หนุ่มมหาเศรษฐีผู้ตั้งใจมาฮันนีมูนกับภรรยา เขาต้องการเปลี่ยนห้องพักเนื่องจากเชื่อว่าแม่ของเขาไม่ได้จองห้องไซซ์นี้มา นั่นจึงทำให้ตลอดการฮันนีมูนในครั้งนี้ เขาจดจ่ออยู่กับการหาทางเปลี่ยนคืนห้องพัก แถมยังพยายามวนเวียนอยู่รอบตัวของอาร์มอน และทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ต้องการ
ในช่วงแรกๆ เชนใช้วิธีเจรจาอย่างประนีประนอมกับอาร์มอน แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความหงุดหงิดและความไม่พอใจ แต่เมื่อการพูดคุยโดยดีไม่สามารถทำให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ เขาจึงเริ่มใช้น้ำเสียงที่จริงจังและเกรี้ยวกราดขึ้น พร้อมทั้งใช้ ‘เงิน’ เป็นข้ออ้าง แม้อาร์มอนจะพยายามหาข้อเสนออื่นๆ มาทดแทน แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้เชนสงบลงได้เลย
นี่จึงเป็นการนำเสนอภาพของอาร์มอน ตัวแทนของแรงงานตัวน้อยๆ ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งและระเบียบของโรงแรมในการบริการลูกค้าอย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แต่กลับต้องต่อกรกับเชนที่มีทั้งอำนาจและเงิน แถมยังใช้สิ่งที่มีทำตามใจของตัวเอง โดยไม่สนใจว่าการกระทำของเขาจะสร้างผลกระทบต่อผู้อื่นหรือไม่
เพราะฉะนั้นแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่จึงไม่ใช่แค่ผู้ให้บริการกับแขก แต่คือการปะทะกันของ 2 ชนชั้นที่อยู่ตรงข้ามกัน คนหนึ่งต้องยอมจำนนต่อระบบอย่างเลือกไม่ได้ ส่วนอีกคนเลือกใช้ระบบแสวงหาความสุขให้ตนเอง เปรียบได้กับไม้ซีกที่กำลังงัดไม้ซุง ต่อให้ใช้แรงงัดมากเท่าไหร่ก็ไม่สามารถจะงัดได้ มีเพียงแต่ไม้ซีกฝ่ายเดียวเท่านั้นที่จะหักและพ่ายแพ้ไป
ผู้หญิงกับการถูกกดขี่ภายใต้อำนาจของผู้ชาย
ในซีซั่นถัดมา White Lotus สาขาซิซีลี เปิดพร้อมต้อนรับการมาเยือนของแขกทุกคน ทว่าแขกบางคนก็อาจไม่ได้รับเชิญให้เขาพัก ณ โรงแรมแห่งนี้
ลูเซีย (รับบทโดยซีโมนา ทาบาสโก (Simona Tabasco)) และมีอา (รับบทโดยเบียทีซ กรานโน (Beatrice Grannò)) 2 สาวเพื่อนซี้ ผู้ถูกกดทับจากระบบชายเป็นใหญ่อันแสนเลวร้าย ตัวของลูเซียเป็นโสเภณีที่คอยแอบให้บริการกับแขกเหรื่อในโรงแรมหลายๆ คน เพื่อแลกกับเงินและการได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ส่วนมีอาเป็นผู้หญิงที่พร้อมใช้เสน่ห์ทางเพศในการช่วงชิงสิ่งที่เธอต้องการ
ฟังดูแล้วเหมือนว่าทั้งคู่ก็ทำในสิ่งที่ไม่ได้ผิดแผกจากคนอื่น แต่แท้จริงแล้วนี่เป็นผลพวงของระบบที่บีบบังคับให้พวกเธอจำต้องหาทางเอาตัวรอดในสังคมที่ให้คุณค่ากับผู้หญิงเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก หลายครั้งก็ต้องขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ชาย แม้จะดูเหมือนพวกเธอเลือกเดินในเส้นทางนี้เองก็ตาม แต่ในระบบซึ่งกำหนดบทบาทและกดทับความเป็นผู้หญิงเอาไว้ ก็ย่อมทำให้พวกเธออาจไม่ได้มีตัวเลือกที่ดีกว่านี้เท่าไหร่นัก เพราะฉะนั้นแล้วโอกาสในชีวิตของพวกเธอจึงอาจต้องแลกมากับร่างกายและเรื่องทางเพศ
อย่างตัวของลูเซีย เธอเลือกทำอาชีพขายบริการภายใต้ระบบชายเป็นใหญ่ที่ครอบงำสังคมนี้ เธอถูกกดขี่และถูกตีตราในฐานะเครื่องมือทางเพศ ตัวละครผู้ชายเกือบทั้งหมดในเรื่องที่ใช้บริการจากเธอนั้นล้วนตีค่าคุณค่าของเธอด้วยราคา ถึงโสเภณีจะเป็นอาชีพบริสุทธิ์ไม่ต่างอะไรจากอาชีพอื่นๆ แต่ในระบบที่เอื้อให้ผู้ชายมีอำนาจมากกว่านี้เอง กลับทำให้ตัวเธอถูกลดทอนคุณค่า แม้ทั้งหมดนี้จะเป็นการตัดสินใจของเธอก็ตาม
ในอีกด้านหนึ่ง มีอาที่ต้องการจะแสดงดนตรีให้กับแขกในโรงแรมดู แต่เธอก็ไม่สามารถไปอยู่ในจุดนั้นได้ ถึงแม้ว่าตัวเธอจะมีความสามารถมากเพียงพอ หรืออาจมากกว่านักดนตรีผู้ชายขาประจำเสียด้วยซ้ำ เหตุผลหลักอาจเพราะในสังคมชายเป็นใหญ่ โอกาสมักถูกสงวนให้กับผู้ชายเป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องของความสามารถ แต่เป็นเรื่องของอำนาจและสถานะทางเพศ ทำให้เธอถูกกีดกันออกไป จนในท้ายที่สุดเธอจึงจำยอมต้องใช้เรือนร่างของเธอเข้าแลกพื้นที่ตรงนั้น เพื่อให้เธอได้รับโอกาสในการทำในสิ่งที่เธอฝันใฝ่
แม้ว่าหลายๆ ครั้ง ลูเซียและมีอาจะสามารถใช้ประโยชน์จากระบบชายเป็นใหญ่ได้ แต่ท้ายสุดแล้วโครงสร้างนี้ก็ยังกดทับพวกเธออยู่ดี เพราะระบบนี้ให้โอกาสพวกเธอแค่ชั่วคราว และพร้อมจะผลักพวกเธอออกไปเมื่อไหร่ก็ได้
แล้วในซีซั่น 3 ใครกัน…จะเป็นฝ่ายถูกกดขี่?
หลังจาก The White Lotus ซีซั่น 3 เริ่มลงจอให้แฟนๆ ได้รับชมกัน ก็เริ่มทำให้ผู้ชมหลายคนเห็นเค้าโครงเนื้อเรื่องชวนอีหลักอีเหลื่อของบรรดาตัวละคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าบรรดามหาเศรษฐีทั้งหลาย ผู้เดินทางมาพักผ่อนหย่อนใจที่เมืองไทย
ภาพของการแบ่งชั้นทางอำนาจระหว่างคนรวยกับพนักงานโรงแรมก็ยังคงมีอยู่ไม่หายไปไหน เพราะเราจะเริ่มเห็นได้จากฉากเข้าพักของครอบครัวราททีฟที่พยายามเถียงกับพนักงานภายในโรงแรม ถึงแม้จะไม่ใช่การมีปากมีเสียงกันใหญ่โต แต่การที่พวกเขากล้าต่อกรกับอีกฝ่ายได้นั้นอาจมาจากความแตกต่างทางชนชั้น ในมุมกลับกันถ้าอีกฝ่ายเป็นคนที่มีสถานะใกล้เคียงกันหรือสูงกว่า (โดยที่ไม่มีความขัดแย้งกันมาก่อน) ก็อาจไม่เกิดภาพเช่นนี้ขึ้น นี่จึงเป็นอีกหนึ่งภาพความเหลื่อมล้ำทางอำนาจและชนชั้นที่น่าติดตามกันต่อในซีซั่นนี้ ว่าเราจะได้เห็นภาพนี้ได้ชัดเจนมากขึ้นกว่านี้หรือไม่
หรือกระทั่งการถูกกดทับผ่านระบบชายเป็นใหญ่เอง ก็ยังคงตามมาให้เราได้เห็นกันในซีซั่นนี้ด้วยเช่นกัน เราอาจเริ่มสังเกตกลิ่นของอำนาจอันไม่เท่ากันระหว่างชายกับหญิงได้จากคู่ของเชลซี (รับบทโดยเอมี่ ลู วูด (Aimee Lou Wood)) และริค (รับบทโดยวอลตัน ก็อกกินส์ (Walton Goggins)) ทั้งคู่เป็นคู่รักต่างช่วงวัยกัน หากใครได้รับชมแล้วก็คงจะเห็นว่าตัวเชลซีนั้นดูเหมือนจะต้องทำตามความต้องการ และเชื่อฟังคำพูดของริคซึ่งมีอายุมากกว่าอยู่ตลอดเวลา การมาเยือนประเทศไทยในครั้งนี้ก็เป็นความคิดของฝ่ายชาย ความคิดเห็นทั้งหลายของเธอมักถูกปัดตกอยู่เสมอ จนกลายเป็นว่าตัวของเชลซีดูจะมีอำนาจในการต่อรองน้อยกว่าอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด
ท้ายสุดแล้วภาพของการกดขี่ที่ปรากฏใน The White Lotus อาจไม่ใช่แค่เรื่องราวความบันเทิงในซีรีส์ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคมนี้ เมื่อยังมีกลุ่มคนอีกจำนวนไม่น้อยเป็นผู้ถูกกดทับจากโครงสร้างอันไม่เป็นธรรม การที่ซีรีส์หยิบเอาเรื่องราวเหล่านี้มาเล่านั้น อาจเป็นเครื่องมือที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้ชมอย่างเราได้คิดและตั้งคำถามต่อยอดไปจากเนื้อเรื่องก็เป็นได้
ทั้งนี้ทั้งนั้น ในซีรีส์ The White Lotus ทั้ง 3 ซีซั่นไม่ได้นำเสนอเพียงแค่การถูกกดทับระหว่างอำนาจชนชั้นกับสถานะทางเพศเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายประเด็นอีกมากมายให้ผู้ชมอย่างเราได้ไปติดตามกันต่อ
ปัญหาชวนกุมขมับของเหล่าคนรวยทั้งหลายคงโผล่มาอีกแน่นอน ถ้าอยากรู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรกันบ้าง สามารถไปรับชมกันได้แล้วที่ HBO, MAX