ว่ากันว่า ‘ผัดไทย’ เป็นนวัตกรรมทางด้านอาหารที่บุคคลระดับ ‘ท่านผู้นำ’ อย่างจอมพลแปลก พิบูลสงคราม (หรือที่ใครต่อใครในประเทศคนดีแถวๆ นี้ นิยมเรียกกันในนิคเนมที่ว่า ‘จอมพล ป.’ มากกว่า) คิดค้นขึ้นมา เพื่อนำประเทศให้พ้นยุคเข็ญในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นะครับ
แต่เอาเข้าจริงแล้ว กลับไม่มีหลักฐานอะไรเลยสักนิดที่ว่า จอมพลที่มีรหัสลับให้เรียกกันอย่างสั้นๆ ว่า ‘ป.’ ท่านนี้เป็นผู้ทำคลอดอะไรที่เรียกขึ้นว่า ‘ผัดไทย’ ขึ้นมาบนโลก จะมีก็แต่ข้อมูลบ่งชี้ที่ว่า ในภาวะที่แร้นแค้นของสงคราม ท่านผู้นำแปลกได้เสนอหนทางในการเอาตัวรอดของผู้คนที่กำลังอดอยากในชาติด้วยการให้ ผู้คนหันมารับประทาน ‘ก๋วยเตี๋ยว’ แทน ‘ข้าว’ ต่างหาก
พยานสำคัญอยู่ในปราศรัยของอดีตท่านผู้นำของประเทศคนดีคนนี้ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2485 ดังความที่ว่า
“อยากให้พี่น้องกินก๋วยเตี๋ยวให้ทั่วกัน เพราะก๋วยเตี๋ยวมีประโยชน์แก่ร่างกาย มีรสเปรี้ยว เค็ม หวาน พร้อมทำได้เองในประเทศไทย ทุกอย่างราคาก็ถูก หาได้สะดวกและอร่อยด้วย
ถ้าพี่น้องชาวไทยกินก๋วยเตี๋ยวคนละหนึ่งชามทุกวัน คิดชามละห้าสตางค์ วันหนึ่งจะมีคนกินก๋วยเตี๋ยวสิบแปดล้านชาม ตกลงวันหนึ่งเงินค่าก๋วยเตี๋ยวของชาติไทย หนึ่งวันเก้าสิบล้านสตางค์เท่ากับเก้าแสนบาท เป็นจำนวนเงินหมุนเวียนมากพอใช้ เงินเก้าแสนบาททุกๆ วันนี้ไหลไปสู่มือ ชาวไร่ ชาวนา ชาวทะเล ทั่วกันไม่ตกไปถึงมือใคร และเงินบาทก็มีราคาหนึ่งบาท ซื้อก๋วยเตี๋ยวได้เสมอ ไม่ใช่ซื้ออะไรไม่ได้อย่างทุกวันนี้ ซึ่งเท่ากับไม่มีประโยชน์เต็มที่ในค่าของเงินมันเอง”
แน่นอนว่า เราอาจจะนับว่า ‘ผัดไทย’ คือ ‘ก๋วยเตี๋ยว’ ประเภทหนึ่ง แต่ก็จะเห็นได้ว่าในคำปราศรัยเมื่อ 75 ปีก่อน ท่านผู้นำแปลกไม่ได้เอ่ยถึง ‘ผัดไทย’ เป็นการเฉพาะเลยเสียหน่อย ทั้งๆ ที่หากท่านผู้นำคนนี้เป็นผู้คิดค้น (หรือแม้กระทั่งผลักดันอยู่เบื้องหลังอย่างเงียบๆ ก็ตาม) เจ้าผัดไทยที่ว่านี่ขึ้นมา
ร่องรอยที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งอาจเห็นได้จากนิยายสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘ไพร่’ กับอะไรที่เรียกว่า ‘เจ้า’ อย่าง ‘สี่แผ่นดิน’ ของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ออกวางแผงเมื่อราว พ.ศ. 2496 ห่างจากการสิ้นสุดลงของสงครามโลกครั้งที่ 2 เพียงไม่ถึง 10 ปีเท่านั้น
อย่างที่รู้ๆ กันอยู่แทบจะทั้งประเทศว่า เรื่องราวในสี่แผ่นดินดำเนินเรื่องผ่านตัวละครเอกที่ชื่อว่า ‘แม่พลอย’ ซึ่งมีชีวิตอยู่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 มาจนถึงแผ่นดินของรัชกาลที่ 8 ในฐานะของคนที่เติบโตมาในรั้ว ในวัง และดำรงชีวิตอยู่อย่างแทบจะไม่ต่างไปจากอีลิต (elite) ในสังคมสยาม ลากยาวมาจนเปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทยมากนัก แม่พลอยรู้เห็นหรือมีประสบการณ์ร่วมอยู่ในเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ช่วงดังกล่าวมาโดยตลอด
รวมถึงช่วงที่ท่านผู้นำแปลกดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นำประเทศไทยเข้าร่วมในสมรภูมิรบอันระอุอุ่นของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า ท่านผู้นำได้ประดิษฐ์ก๋วยเตี๋ยวพันธุ์ทาง พันธุ์ไทย ที่เรียกกันว่า ผัดไทย นี่ด้วยนะครับ
แต่ในขณะที่สี่แผ่นดินเสียดสีสารพัดโยบายนำไทยเข้าสู่สมัยใหม่ ของจอมพลที่มีรหัสลับสั้นๆ ว่า ป. คนนั้น ไม่ว่าจะเป็น การบังคับให้สวมหมวกออกจากบ้านไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง (ตามแคมเปญสุดชิคของท่านผู้นำแปลกอย่าง ‘มาลานำไทยไปสู่อำนาจ’), การห้ามกินหมาก (แถมยังบังคับให้คนฟันดำเพราะเคี้ยวหมากมาทั้งชีวิต ต้องขัดฟันจนขาว) และรวมไปถึงการรณรงค์ให้หันมากินก๋วยเตี๋ยวนี่ด้วย
และก็น่าสังเกตนะครับว่า คุณชายคึกฤทธิ์ท่านไม่ได้จับคำว่า ‘ผัดไทย’ ยัดใส่ปากตัวละครคนไหนเลยในนิยายโปรเจ้าเล่มนี้ ทั้งๆ ที่ในนิยายเรื่องดังกล่าวคุณชายท่านก็เสียดสีนโยบายของท่านผู้นำระยะนั้นมาโดยตลอด ในขณะเดียวกับที่ได้เขียนถึงอาการหมั่นหนังหน้าพวก ‘เจ๊ก’ ของบรรดาผู้ดีเก่าในราชสำนักสยาม โดยแสดงผ่านตัวละครอย่าง ‘เสวี’ ซึ่งก็คือลูกเขยเชื้อสายเจ๊ก ฐานะร่ำรวย ของตัวแม่พลอยเอง
ข้อความตอนหนึ่งในนิยายเรื่องนี้ถึงกับประชดประชันเสวีผ่านปากของ ‘ตาอั้น’ ลูกชายของแม่พลอยที่ว่ากล่าว ‘ประไพ’ น้องสาวของตนเอง ควบตำแหน่งภรรเมียของเสวี ซึ่งมาออกปากถามวิธีการทำก๋วยเตี๋ยวจากแม่พลอยเพราะจะเอาไปทำขายที่กรม แทนสามีของนางว่า
“แต่ความจริงเสวีเขาไม่น่าถามประไพหรอกเรื่องขายก๋วยเตี๋ยว ทางญาติเขาน่าจะรู้ดีกว่าเราว่าเขาขายก๋วยเตี๋ยวกันอย่างไร”
ที่สำคัญก็คือ เราควรจะระลึกเอาไว้ด้วยว่า ณ ขณะจิตที่คุณชายคึกฤทธิ์เขียนนิยายเรื่องสี่แผ่นดิน จนกระทั่งตีพิมพ์ออกมานั้น ตรงกันอย่างพอดิบพอดีกับช่วงที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม กำลังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 2 โดยที่คุณชายท่านถือหางขั้วอำนาจทางการเมืองฝ่ายที่ไม่ใช่ของท่านผู้นำเสียด้วย
ดังนั้น การที่คุณชายคึกฤทธิ์ไม่ได้กล่าวถึงก๋วยเตี๋ยวพันธุ์ทางที่อ้างตัวว่า ‘กูเป็นก๋วยเตี๋ยวไทย’ อย่าง ‘ผัดไทย’ จึงเป็นสิ่งที่ดูประหลาดอยู่ไม่น้อย ถ้ามันเป็นนวัตกรรมที่เกิดขึ้นมาจากฟากอำนาจของจอมพลแปลกจริง อย่างที่มักกล่าวอ้างกัน
เพราะว่าก็เป็นเจ้าผัดไทยตัวดีนี่แหละครับ ที่เป็นหลักฐานให้ใครหลายคน (ไม่ใช่เฉพาะคุณชายคึกฤทธิ์) ใช้ถากถางถึงความย้อนแย้งในตัวเองของอดีตท่านผู้นำของประเทศไทยคนนี้ เนื่องจากในขณะที่จอมพล ป. ท่านรณรงค์ให้คนไทยหันมากินก๋วยเตี๋ยว ท่านกลับมีอีกสารพัดนโยบายในการตั้งแง่ และรังเกียจคนจีนในไทย
จนเป็นที่มาของคำอธิบายที่ว่า ทำไมท่านผู้นำแปลกจึงต้องตั้งชื่อเจ้าก๋วยเตี๋ยวผัดชามนี้ว่า ‘ผัดไทย’ ทั้งๆ ที่หากไม่ใส่น้ำมะขามเปียก หรือน้ำตาลปี๊บแล้วล่ะก็ มันก็ไม่ต่างอะไรไปจาก ‘ผัดเจ๊ก’ จานอื่นๆ เลยสักนิด?
แต่ก็อย่างที่บอกนะครับว่า เอาเข้าจริงแล้วก็ไม่มีหลักฐานตรงไหนเลยสักนิด ที่จะระบุได้อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะเลยว่า จอมพล ป. ท่านสั่งการให้มีการประดิษฐ์คิดค้นเมนูเด็ดระดับที่โด่งดังไปทั่วโลกได้ โดยไม่ต้องพึ่ง มิชชิลิน สตาร์ จานนี้ขึ้นมา หลักฐานที่มีอยู่จริงๆ แล้วต่างบ่งชี้ไปในทางที่ว่า อดีตท่านผู้นำคนนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับไอ้เจ้าผัดไทยที่ว่านี่เลยด้วยซ้ำ
ก็ขนาดบุคคลร่วมสมัยอย่างคุณชายคึกฤทธิ์ยังอาจจะไม่ได้รู้เรื่องที่โม้ๆ กันอยู่เป็นวรรค เป็นเวร ในปัจจุบันว่าจอมพล ป.ประดิษฐ์ผัดไทยขึ้นมาเลยก็แล้วกัน
ดังนั้น ข้อกล่าวหาปลีกย่อยอีกเรื่องที่ว่า ท่านผู้นำแปลกไม่ให้ใส่เนื้อหมูลงไปในผัดไทย เพราะคนจีนชอบกินหมู ถ้าใส่เนื้อหมูลงไปแล้วจะดูเป็นอาหารของคนจีน (การใช้เส้นก๋วยเตี๋ยวเป็นส่วนประกอบหลักนี่มันไม่เจ๊กเลยนะครับ แหม่!) ก็จึงไม่ควรจะเป็นเรื่องจริงไปด้วย
สิ่งที่พอจะบอกได้ว่าเป็นแคมเปญของจอมพล ป. จริงๆ นั้นก็คือ การรณรงค์ให้ประชาชนหันมากินก๋วยเตี๋ยว (ซึ่งแค่นี้ก็ชวนให้ฝ่ายตรงข้าม สามารถโจมตีท่านผู้นำแปลกว่าย้อนแย้งในตัวเองได้พอทนแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องมโนเรื่องผัดไทยเข้ามาเพิ่ม รึจะไม่ให้ท่านผู้นำมีที่ยืนในสังคมกันเลยรึไง? ปั๊ดโธ่!) ซึ่งก็มีผู้อธิบายเอาไว้ว่า เป็นเพราะอยู่ในช่วงสงครามโลก ข้าวปลาอาหารขาดแคลน แถมยังมีราคาสูง จึงทำให้ท่านผู้นำแปลกได้ผุดพุทธิไอเดียขึ้นมาว่าให้ประชาชนหันมาบริโภคเส้นก๋วยเตี๋ยว ที่ทำขึ้นจากข้าวหัก ซึ่งมีราคาถูกกว่าแทน
ไม่ว่าคำอธิบายดังกล่าวจะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ยังสอดคล้องกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่เหลืออยู่ มากกว่าเรื่องการประดิษฐ์ผัดไทยขึ้นในสมัยจอมพลท่านนี้อยู่มาก และก็ควรสังเกตด้วยว่า ก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารที่เชื่อกันว่ามีสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ในชามเดียว โดยแนวคิดเกี่ยวกับการบริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงนั้นก็ดูเข้ากันได้ดีกับแนวคิดที่ว่า ประชาชนที่ดีต้องมีสุขภาพและอนามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง ในลัทธิเผด็จการท่านผู้นำ (ซึ่งก็รวมถึงท่านผู้นำแปลกไว้ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย) ในขณะนั้นอีกด้วย
เอาเข้าจริงแล้วเคยมีนักวิชาการบางท่านไปสัมภาษณ์ลูกสาวแท้ๆ ของท่านผู้นำแปลก แล้วได้ความว่า จอมพล ป. เองท่านก็บ่นให้กับลูกสาวฟังอย่างสงสัยใจเอาไว้ว่า ท่านไปสร้างนวัตกรรมฟิวชั่นฟู้ดที่เรียกกันว่า ผัดไทย เอาไว้เมื่อไหร่กัน?
ดังนั้นถึงแม้ว่าท่านผู้นำแปลกอาจเคยพยายามประดิษฐ์ ‘ความเป็นไทย’ ขึ้นมาจากอะไรต่อมิอะไรมากมายหลายอย่าง แต่ในบรรดาสิ่งประดิษฐ์จำนวนนั้น ก็ไม่น่าจะมีอะไรที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ผัดไทย แบบที่มักมโนกันไปเอง 😛