ทุกอย่างเป็นแค่สิ่งชั่วคราว แค่ครู่เดียวเดี๋ยวมันก็ผ่านไป
นี่ไม่ใช่คำคมของไลฟ์โค้ชที่ไหน เพียงแต่เราอยากเกริ่นนำคุณมาเข้าเรื่องที่ว่าถึงสัจธรรมใดๆ บนโลก รวมถึงความเปลี่ยนแปลงของเทรนด์แฟชั่นที่ไหลเวียนกลับไปมาไม่ว่าจะกี่สิบเทรนด์ ดูเหมือนกับว่าสุดท้ายแล้วเดี๋ยวมันจะวนหมุนกลับมาที่ความเป็นธรรมดาสามัญ และความน้อยนิดอยู่เสมอ หรือที่ใครๆ ต่างเรียกกันว่าความมินิมอล
Aesop แบรนด์ความงามสัญชาติออสเตรเลียเป็นอีกแบรนด์ที่เน้นความน้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ อาจเป็นเพราะว่าความโหมประโคมทั้งดีไซน์หรือข้อความทางการตลาดใดๆ บนโลกใบนี้ที่ทำให้ผู้บริโภคอย่างเราๆ บางครั้งก็รู้สึกเหนื่อยสมอง เหนื่อยสายตา และเหนื่อยที่ต้องมานั่งวิเคราะห์หาข้อมูลเพื่อตัดสินใจว่า สิ่งที่แบรนด์สินค้าหรือแบรนด์ความงามโฆษณาออกมานั้นเป็นความจริงหรือไม่
ที่ว่ากันว่าออแกนิกส์ ผลิตจากธรรมชาติ 100%
มันดีตามนั้นจริงรึเปล่า?
Aesop ทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับแบรนด์ความงามส่วนใหญ่ เพราะ Aesop เป็นแบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์ความงามที่แหกครรลองหลายข้อของการทำการตลาดความงาม ทั้งไม่เรียกตัวเองแบบเต็มๆ ปากเต็มๆ คำว่า ผลิตภัณฑ์ของตัวเองผลิตจากธรรมชาติ
เพราะ Aesop คิดว่า มนุษย์ควรใช้วิทยาศาสตร์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สสารใดที่มนุษย์ผลิตขึ้นแล้วมันมีคุณประโยชน์ต่อความงาม เราก็ควรหยิบฉวยมันเอามาใช้ผสมกับสิ่งดีๆ ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นสิ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ของผลิตภัณฑ์ความงามที่ดีที่สุดออกมา ซูซาน ซานโตส (Suzanne Santos) ผู้จัดการ Aesop สาขาประเทศแม่ของแบรนด์ อย่างออสเตรเลียเคยให้สัมภาษณ์ไว้อย่างนั้น
เพราะฉะนั้นแล้ว Aesop จึงกล้าพูดอย่างยืดอกว่า แบรนด์ของตัวเองไม่ได้มาจากธรรมชาติ 100% ขนาดนั้น แต่มาจากส่วนผสมที่ดีที่สุดที่แบรนด์คิดขึ้นมาแล้วว่าดี ถ้าเป็นยาสระผมก็ใช้แล้วผมนุ่มลื่นสุขภาพดีจริง เป็นโลชั่นก็ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวได้อย่างดีจริง เป็นสบู่ก็ช่วยคุณชำระล้างแต่ยังเก็บความชุ่มชื้นให้ผิวไม่หยาบแห้งจนเกินไป
แถมคุณสมบัติที่สำคัญและโดดเด่นอาจจะที่สุดของแบรนด์ที่สาวกลัทธิ Aesop ต่างพูดถึง คือ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของผลิตภัณฑ์ในแบรนด์นี้ ที่ตัวเราเองหรือเพื่อนรอบๆ ตัวที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของ Aesop ต่างประสานเสียงไปทางเดียวกันอย่างไม่ได้นัดหมายว่า แบรนด์นี้ทำผลิตภัณฑ์ออกมาได้หอมละมุนแบบกำลังพอดีจริงๆ
ซึ่งดูเหมือนกับว่าตัวเราเองหรือพวกคุณที่เป็นสาวกของ Aesop คงไม่ได้คิดกันไปเองว่า Aesop เป็นแบรนด์ความงามที่เน้นเรื่องกลิ่นหอม เพราะ ซูซาน แห่ง Aesop ออสเตรเลียออกมาพูดเองว่า Aesop ใช้กลิ่นเป็นหนึ่งในเสน่ห์ที่ดึงดูดลูกค้าเมื่อก้าวเดินเข้ามาในร้าน Aesop จะจุดน้ำมันหอมในร้านเพื่อให้ความรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย สร้างบรรยากาศความสบายให้ลูกค้าเมื่อเดินเข้ามาเลือกซื้อของ
จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Aesop เกิดจากการที่ เดนนิส พาฟิทิส (Dennis Paphitis) ช่างทำผมและเจ้าของร้านทำผมในวิคตอเรีย ออสเตรเลียผสมน้ำมันหอมระเหยสกัดเข้ากับผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมและใช้มันกับลูกค้าตั้งแต่ปี 1987 ต่อมาผลิตภัณฑ์ของเดนนิสเป็นที่นิยมในหมู่ลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ เดนนิสจึงตัดสินใจเปิดเป็นแบรนด์ Aesop ขึ้นมา
ปี 2012 เดนนิสขายแบรนด์ Aesop ให้กับ Natura& Co แต่ยังคงบทบาทเป็นที่ปรึกษาของแบรนด์อยู่ ต่อมาในปี 2023 L’Oréal เข้าซื้อ Aesop ในมูลค่า 37,000 ล้านเหรียญออสเตรเลีย
หากการยืนยันว่าตนเองเชื่อในวิทยาศาสตร์และสติปัญญาของมนุษย์ที่สามารถคิดค้นสิ่งดีๆ จนนำมาเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ตัวเองเป็นการแหกกฏข้อแรกของวงการแบรนด์ความงาม การแหกกฏข้อที่สองที่สำคัญของแบรนด์ Aesop ก็คงจะเป็นการที่ Aesop ใช้แพคเกจจิ้งสีเดียวกัน รูปแบบเดียวกันทั้งหมด!
หมายความว่า แชมพูทั้งหมดของ Aesop ไม่ว่ากี่สูตรต่อกี่สูตร Aesop ใช้ขวดสีน้ำตาลหัวปั๊มเหมือนกันหมด ไม่แยกสีแยกดีไซน์ แชมพูสูตรที่แตกต่างกันจะไม่เหมือนกันเฉพาะส่วนผสมด้านในและฉลากที่ติดบอกอยู่ด้านนอกเท่านั้น ฉะนั้นมองดูด้วยตาเปล่าแบบเร็วๆ ก็อาจจะแยกไม่ออกเสียด้วยซ้ำว่า แชมพูหลายสิบขวดที่วางเรียงรายอยู่ เป็นสูตรเดียวกันทั้งหมดหรือคนละสูตรกันแน่
ซึ่งปรัชญาการใช้แพคเกจจิ้งเดียวกันทั้งหมดนี้ Aesop ประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์ทุกตัว ทั้งครีมนวดผม สบู่เหลว โลชั่น น้ำหอม ทุกอย่างใช้แพคเกจสีเดียวกันทั้งสิ้น
ความอินดี้ที่จะยืนยันใช้แพคเกจรูปทรงและสีเดียวกันทั้งหมด แม้ว่าสูตรภายในผลิตภัณฑ์จะแตกต่างกันเพราะ Aesop คิดว่าอยากจะให้ลูกค้าสนใจกับส่วนผสมที่อยู่ด้านในมากกว่าแพคเกจภายนอกที่อาจดึงดูดความสนใจของลูกค้าจนทำให้ลูกค้าวอกแวก นี่คือวิธีคิดแบบกลับด้านของ Aesop ที่อยากจะให้ลูกค้าสนใจและใส่ใจกับสิ่งของเนื้อในที่อยู่ด้านในจริงๆ มิใช่เพียงแค่ดีไซน์ของแพคเกจภายนอกเท่านั้น
ปัจจุบัน Aesop มีสาขากระจายอยู่ทั่วโลกรวมทั้งมีวางจำหน่ายในประเทศไทย ปี 2023 Aesop อยู่ภายใต้การนำของบริษัทความงามยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง L’Oréal แม้ว่าจะอยู่ในเครือเครื่องสำอางที่ยิ่งใหญ่แต่ Aesop ก็ยังคงตัวตนความเป็นแบรนด์ที่แหกกฏหลายข้อของการการตลาดความงาม โดยนำเสนอทุกอย่างด้วยความจริงใจและคงความเป็นตัวเองอยู่ และตัวตนของ Aesop นั้นเหมือนกับว่าจะถูกจริตคนอยู่ไม่น้อยบนโลกใบนี้เลยทีเดียว
ถึง Aesop จะใช้แพคเกจเดียวกันทั้งไลน์ผลิตภัณฑ์และถึงคุณจะจงใจหรือไม่จงใจหยิบผลิตภัณฑ์มาผิดสูตรก็ตาม (ก็หน้าตามันเหมือนกันเลยนี่) เราคิดว่าความผิดพลาดนั้นบางทีมันก็นำพามาซึ่งหนทางในการเรียนรู้ หรือรู้จักอะไรใหม่ๆ ได้นะ เหมือนที่ Aesop เรียนรู้การทำการตลาดความงามแบบแหกคอกออกจากทุกแบรนด์บนโลก
ตามหลัก ทำน้อย…แต่ได้ผลมาก
อ้างอิงจาก