บางสิ่งเมื่อทำหน้าที่ได้อย่างดี มันจะกลมกลืนเข้าไปกับพื้นหลังของชีวิตเรา
บางครั้งรางวัลของการไร้ข้อผิดพลาดกลับไม่ใช่ความโดดเด่น แต่คือความกลมกลืนไร้รอยต่อ ความราบรื่น และความวางใจ เช่น การตัดต่อของหนังบางเรื่องที่พาให้เราดูเพลินโดยไม่สะดุด หนังสือที่ผ่านการพิสูจน์อักษรจนไม่เหลือคำผิด หรือว่าถ้าจะดึงให้เข้ามาใกล้กับประเด็นที่เรากำลังจะพูดถึงคือ กระเป๋าเดินทางกับการใช้งาน
เครื่องแต่งกายและของเครื่องใช้ด้านแฟชั่นนั้น มักวางตัวเองอยู่บนตาชั่งของสไตล์และการใช้สอยอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังของเราในฐานะผู้บริโภคต่อกระเป๋าเดินทางก็มักหนักไปในทางหลัง แน่นอนว่าจะให้ดี กระเป๋าเดินทางของเราต้องดูดีตามสไตล์ที่เราต้องการ แต่หากถูกบังคับให้เลือก เราจำนวนมากคงเลือกกระเป๋าที่มีวัสดุเบา และคงทนต่อระบบลำเลียงกระเป๋าของสนามบิน หรือกระเป๋าที่ล้อลากทนทานกับพื้นทุกแบบที่เราจะพามันไปผจญภัยด้วย
บ่อยครั้งความคาดหวังของเราต่อกระเป๋าเดินทาง อาจเป็นการไม่ต้องนึกว่าแต่ละครั้งที่เราเตรียมสิ่งของมันลำบากเหลือเกิน ระหว่างนั่งเครื่องบินเราไม่ต้องเป็นกังวลว่าสภาพของเครื่องใช้ในกระเป๋าจะอยู่ดีหรือไม่ และเราสามารถเพลิดเพลินกับบรรยากาศเมืองและทริปที่รอเราอยู่เบื้องหน้าได้ระหว่างลากมันไปบนทางเท้า โดยไม่ต้องคิดว่าเสียงกระเป๋าของเรานี่มันดังจริงๆ ในแง่หนึ่งเราอาจเรียกได้ว่ากระเป๋าเดินทางที่ดี คือกระเป๋าเดินทางที่เราจะไม่นึกถึงมันมากนักในเวลาที่เราต้องใช้เดินทาง และเมื่อเรานึกเช่นนั้นขึ้นมา แซมโซไนท์ (Samsonite) ก็มักเป็นแบรนด์ต้นๆ ที่เราวางให้อยู่ในหมวดนั้นโดยไม่รู้ตัว
ตั้งแต่กระเป๋าเป้เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา มันใช้ทนจนเราเปลี่ยนแลปท็อปไปแล้ว 3 เครื่องถึงจะหยุดใช้ มาจนการจัดกระเป๋า Samsonite Unimax สีเทาที่เราจะพาไปทริปสิงคโปร์ด้วยกัน ในสายตาของผู้ใช้ แซมโซไนท์วางตัวอยู่ในจุดเดิมที่เรามอบความวางใจให้เสมอมา แต่ไม่ใช่เพราะว่าการยืนหยัดนิ่งอยู่กับที่ แต่เป็นเพราะพวกเขาเดินหน้าไปพร้อมกับเวลาต่างหาก และหนทางการเดินทางไปข้างหน้าของแซมโซไนท์นั่นเอง คือเหตุที่ทำให้เราเก็บกระเป๋าไปสิงคโปร์ เพื่อเข้าชม ‘Destination Samsonite: Voyaging Through Time’ นิทรรศการเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์ 113 ปีของแบรนด์
ก้าวแรกเมื่อเราเดินเข้าไปในอาคาร 72-13 Gallery เราได้รับการต้อนรับด้วยอุโมงค์ทางเข้า 3 ทางเดินที่เป็นตัวแทนการเดินทางทางพื้นดิน น้ำ และอากาศ นอกจากผู้ร่วมงานและเหล่าเซเลบริตี้ชื่อดังชาวเอเชีย อีกหนึ่งสิ่งที่รอเราอยู่คือ การจัดแสดงกระเป๋ารุ่นต่างๆ ของแซมโซไนท์ที่เรียกร้องให้เราเดินเข้าไปมีส่วนร่วม ทั้งใน Zero Gravity กับการโชว์ความเบาของ Attrix และ C-lite ใน Discover Durability ที่ให้ใครก็ตามได้ทดสอบความทนทานของกระเป๋าด้วยการหมุนวงล้อให้กระเป๋ากลิ้งอยู่ข้างใน และใน Abstract Terrains ที่ให้ผู้เข้าชมในงานทดสอบความทนทานและความลื่นไหลของล้อกระเป๋าผ่านพื้นผิวที่หลากหลาย “ความมั่นใจ” จึงน่าจะเป็นคำที่เราใช้อธิบายส่วนนั้นในงานแสดงได้
อย่างไรก็ตาม ส่วนที่สำคัญมากพอๆ กันกับกระเป๋าปัจจุบันของแซมโซไนท์ คือหนทางในอดีตที่พาแบรนด์มาถึงจุดนี้ได้ เพราะอายุกว่าศตวรรษของแบรนด์นั้น ย่อมต้องผ่านวิวัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงต่างๆ มาแล้วอย่างแน่นอน ภายในงานจึงมี Interactive Timeline การเดินทางของแบรนด์ให้เราเห็นเริ่มตั้งแต่ปี 1910 ที่ผ่านหมุดหมายแห่งการประดิษฐ์คิดค้นตลอดการมีอยู่ของแบรนด์มาจนถึงปี 2023
“1910 Where it all began” โปรเจ็กเตอร์ฉายแสงไปยังรูปวาดเจสส์ ชเวเดอร์ (Jesse Shwayder) ผู้ก่อตั้งแซมโซไนท์ ข้างกายของเขามีกระเป๋าไม้ทรงทรังก์ (Trunk) ตอกโลหะอยู่ที่มุมอย่างสวยงาม ในห้วงเวลานั้นการท่องเที่ยวเป็นกิจกรรมสำหรับชนชั้นนำ ราคาที่สูงย่อมนำไปสู่ความคาดหวังในประสบการณ์ที่สูงตามขึ้นไป และผู้ที่สามารถจ่ายได้ก็ย่อมจะให้ความสนใจกับเครื่องใช้ที่พวกเขานำไปด้วย และนั่นคือที่ที่แซมโซไนท์เริ่มขึ้น กระเป๋าที่สรรค์สร้างขึ้นมาจากความพิถีพิถัน ให้ความคงทน สวยงาม และแม้เวลาจะทำให้การท่องเที่ยวเข้าถึงได้มากขึ้น แบรนด์ก็ยังยึดโยงปรัชญานี้เอาไว้
การพัฒนาตลอดชีวิตแบรนด์นำมาซึ่งกระเป๋า Streamlite ที่ผลิตจากวัสดุน้ำหนักเบาล้ำสมัยในปี 1941 และเมื่อปี 1956 ก็เป็นแบรนด์แรกๆ ที่ก้าวเท้าออกจากกระเป๋าไม้ด้วยกระเป๋า Ultralite ที่ผลิตจากแมกนีเซียม เมื่อนั้นจึงเป็นห้วงเวลาที่แซมโซไนท์ผันตัวจากการเป็นเพียงแบรนด์กระเป๋า กลายเป็นหนึ่งในหัวหอกผู้พัฒนาเทคโนโลยีกระเป๋าไปโดยปริยาย ตัวอย่างเช่น ในปี 1974 กระเป๋ารุ่น Silhouette ถือเป็นกระเป๋ารุ่นแรกๆ ที่มีล้อลาก หรือจะเป็น Oyster จากปี 1986 กระเป๋ารุ่นแรกที่ใช้ระบบตัวล็อก 3 จุด และครองตำแหน่งกระเป๋าเดินทางที่สร้างยอดขายเร็วที่สุดในโลก ณ ขณะนั้น
ทั้งหมดนั่นคืออดีต แต่ในขวบปีปัจจุบัน นวัตกรรมและการพัฒนาไม่ได้มีหน้าตาเหมือนเดิมอีกต่อไป จากรายงานโดย Bloomberg พบว่าอุตสาหกรรมแฟชั่นสร้างมลภาวะราวๆ 10% ของการสร้างมลภาวะโดยมนุษย์ทั้งหมด การที่แซมโซไนท์เริ่มหยิบจับวัสดุรีไซเคิลนั้นเป็นก้าวที่สำคัญสำหรับการเติบโตและวิวัฒนาการของแบรนด์ ทั้งนี้ในงานยังมีการจัดแสดงเกี่ยวกับจำนวนขวดน้ำที่ถูกนำไปใช้ในการผลิตกระเป๋า ซึ่งเช่นเดียวกันกับทุกอย่างที่แบรนด์พัฒนาขึ้นมา จึงเป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่งว่าหัวหอกแห่งการพัฒนานี้ จะพาการออกแบบเพื่อความยั่งยืนไปจุดใดได้อีก
เราเลยอดไม่ได้ที่จะถามเรื่องเกี่ยวกับอนาคต ในไม่กี่ปีที่ผ่านมาเราถูกทำให้เชื่อว่าการเดินไปข้างหน้าเท่ากับการละทิ้งอดีต แต่จะเป็นอย่างนั้นเสมอไปหรือไม่? และมันหมายความอย่างไรกับแบรนด์ที่มีอายุถึง 113 ปี? “ทีมออกแบบหยิบแรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์อันรุ่มรวยของแซมโซไนท์ มาเป็นชิ้นส่วนในการสรรค์สร้างอนาคตของเรา” เฮนรี่ หยาง (Henry Yang) ดีไซน์เมเนเจอร์ภูมิภาคเอเชียกล่าวตอบ เมื่อเราถามเกี่ยวกับหนทางการเดินไปข้างหน้าของแซมโซไนท์ ว่าการเรียนรู้ในสิ่งที่ผ่านมาในอดีตนั้นสำคัญพอๆ กันกับการมองไปข้างหน้า
อย่างไรก็ดี การจะทำเช่นนั้นไม่ใช่ก็เรื่องที่ง่าย เมื่อถามถึงการคงไว้ซึ่งสมดุล หยางกล่าวว่า “การหาสมดุลระหว่างมรดกตกทอดของแบรนด์ และการพัฒนาเทคโนโลยีร่วมสมัย คือความท้าทายอันใหญ่หลวง แต่มันคือความท้าทายที่เราโอบรับเอาไว้” หากไร้สมดุล เราอาจเดินต่อไปโดยทิ้งสิ่งที่ดีไว้ข้างหลัง หรือไม่ก็กลัวจนไม่อาจสร้างสิ่งใหม่ได้ เขากล่าวต่อว่า
“เราต่อกรกับความท้าทายนั้น โดยการยึดถือกับหลักที่ทำให้แซมโซไนท์เป็นที่เชื่อถือวางใจใช้เดินทาง จะไม่มีการสละละทิ้งคุณภาพ ความถึกทนและการใช้งาน ในขณะเดียวกัน เรายังสอดแทรกนวัตกรรมทันสมัยเข้ามาในการออกแบบของเราเสมอ ทั้งอาจจะผ่านวัสดุ ฟังก์ชั่น หรือรูปลักษณ์”
การได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเดินทางของแซมโซไนท์ นำไปสู่มุมมองใหม่ๆ มากมาย ความเข้าใจในประวัติศาสตร์ของกระเป๋าเดินทาง การเดินไปข้างหน้าโดยแลไปข้างหลังพร้อมๆ กัน หรือการที่อยู่มาวันหนึ่ง เราก็มองไปยังกระเป๋าเดินทางที่เราจะพกติดตัวไปทุกที่ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป สายตาที่วางใจมันเหมือนเดิม ขณะเดียวกันยังชื่นชมกับการเดินทางของมันด้วย เพราะในความเป็นจริง กระเป๋าใบนี้ไม่ได้เพิ่งเริ่มเดินทางไปกับเราในวันนี้
แต่การเดินทางของมันยาวนานมาถึง 113 ปี
อ้างอิงจาก