1.
ขอทดสอบอะไรบางอย่างกับคุณสักนิด:
“มีเส้นที่ไม่ควรข้ามไปในวันนี้ โดยเฉพาะเส้นชัย”
“There are some lines that just shouldn’t be crossed today. Especially the finish line.”
คุณรู้สึกอย่างไรกับมุขตลกนี้ครับ : คุณอาจหัวเราะออกมาดังๆ หรืออาจครางฮือด้วยความขำขันแต่ก็ไม่เห็นด้วยนัก หรืออาจหงุดหงิดขึ้นมาทันควัน กระทั่งอาจโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
ที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ คุณคงจะงง
ผมเดาว่าคุณคงจะงง งงเพราะผมไม่ได้บอกบริบทไปด้วย – นี่เป็นทวีตของตลกคนหนึ่ง ชื่อ Anthony Jeselnik แอนโธนี่เป็นตลกประเภทที่คงจะเรียกได้อย่างดีที่สุดว่า ‘ตลกสายดาร์ก’ เขามีชื่อเสียงในการนำเรื่องร้ายกาจ นำโศกนาฏกรรมมายียวน มาบิดเล่นจนมันกลายเป็นภาพเบี้ยวบูด บูดจนคุณไม่อยากมองแม้สักวินาที แต่ก็เบี้ยวจนคุณละสายตาไปจากมันไม่ได้
และเมื่อเขาทวีตออกมาว่า
“มีเส้นที่ไม่ควรข้ามไปในวันนี้ โดยเฉพาะเส้นชัย”
“There are some lines that just shouldn’t be crossed today. Especially the finish line.”
โลกก็ลุกเป็นไฟ
เหตุผลเพราะ: เขาไม่ได้ทวีตมันในวันอื่น แต่แอนโธนีทวีตประโยคนี้ออกมาในวันที่มีการแข่งขันวิ่งมาราธอนที่บอสตันในปี 2013 แล้วมีเหตุระเบิดเกิดขึ้นที่เส้นชัย
เมื่อบอกแบบนี้แล้ว คุณรู้สึกอย่างไรครับ
ตลกไหม?
2.
เคยมีบทความบนเว็บไซต์ประชาไทที่เขียนวิพากษ์ซิตคอมเรื่อง ‘เป็นต่อ’ ชื่อบทความ “ซิทคอมเป็นต่อ กับการผลิตซ้ำความไม่ถูกต้องทางการเมือง (Political Incorrectness)” ผู้เขียนคือการัณยภาส ภู่ยงยุทธ์ บทความนี้เป็นที่พูดถึงค่อนข้างมาก (โดยเฉพาะในหมู่คนรู้จักของผม) ปัจจุบันมีผู้เข้าไปอ่านแล้วห้าหมื่นกว่าครั้ง
เหมือนกับชื่อแหละครับ บทความนี้วิพากษ์ว่าซิตคอมเป็นต่อนั้นมีการผลิตซ้ำการเหยียดหยามบุคคลบางกลุ่ม และนั่นนำไปสู่ ‘ความไม่ถูกต้องทางการเมือง’ อย่างไรบ้าง (จริงๆ การเหยียดหยามนี่ไม่ได้นำไปสู่ความไม่ถูกต้องฯ นะครับ ในสายตาของผม การเหยียดหยามเป็น subset หรือเป็นส่วนหนึ่งของความไม่ถูกต้องทางการเมืองต่างหาก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นในที่นี้)
การัณยภาสบอกว่าซิตคอมเป็นต่อมีการบรรจุการเหยียดทางเพศ (sexism) ความขลาดกลัวเพศทางเลือก (homophobia) กระทั่งการเหยียดชาติพันธุ์ผ่านทางสีผิว (racism) อยู่ โดยการเหยียดทั้งหมดนี้แสดงออกผ่านทางตัวละคร ฉากต่างๆ และมุขตลก เช่น ‘เจี๊ยบ’ เป็นตัวละครเพศทางเลือกที่ถูกนำเสนอว่าเป็นชนชั้นล่างที่เห็นแก่เงิน บ้าผู้ชาย ‘ยม’ เป็นตัวละครที่มีลักษณะ ‘เกลียดตุ๊ด’ ‘เป็นต่อ’ เป็นเสือผู้หญิงที่มุ่งหาแต่ความสุขทางเพศและชอบโอ้อวดว่าได้ผู้หญิงมาแล้วกี่คนบ้าง และ ‘นุ’ เป็นตัวละครที่ถูกล้อบ่อยๆ ว่าผิวดำ
คุณรู้สึกอย่างไรกับ ‘เป็นต่อ’
ยิ่งไปกว่านั้น คุณรู้สึกอย่างไรกับบทความที่นำเสนอว่า ‘เป็นต่อ’ เป็นการผลิตซ้ำความไม่ถูกต้องทางการเมือง
3.
ผมเคยชอบ ‘Modern Family’
Modern Family เป็นซีรีส์ตลกที่พยายามฉายภาพของ ‘ครอบครัวทันสมัย’ อย่างชื่อ มันเล่าเรื่องครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่งที่ประกอบด้วยครอบครัวย่อยเล็กๆ สามหน่วย หน่วยแรกเป็นครอบครัวของเจย์ ชายสูงอายุที่ไปแต่งงานใหม่กับสาวชาวโคลัมเบียลูกติด หน่วยที่สองเป็นครอบครัวลูกสาวของเจย์ เธอเองมีลูกสามคน เป็นลูกชายหนึ่ง ลูกสาวสอง หน่วยสุดท้าย; หน่วยที่สาม เป็นครอบครัวของลูกชายของเจย์ชื่อมิตเชลล์ซึ่งเป็นเกย์ เขาแต่งงานกับคาเมรอน เกย์ไซส์ XL และมีลูกบุญธรรมด้วยกันหนึ่งคน
เมื่อ Modern Family อวดตัวสู่สายตาชาวโลกในปี 2009 มันถูกสรรเสริญว่าเป็นซีรีส์ที่กล้าหาญ มันเป็นซีรีส์แรกๆ ของอเมริกาที่ฉายภาพคู่เกย์ที่อยู่กินกันและมีความรักอย่าง ‘ปกติ’ เทียบได้กับคู่สมรสชายหญิง มันแสดงให้เห็นถึงปัญหาและการประคับประคองความรักของมิตเชลล์และคาเมรอนว่าไม่ต่างไปจากคู่รักทั่วไปหรอก ต่างระหองระแหง มีรอยปริร้าวที่ถูกแปะเทปใสซ่อมไว้อย่างชุ่ยๆ ด้วยกันทั้งนั้น
Modern Family เคยถูกเชิดชูว่าเป็นซีรีส์ที่ทำให้คู่เกย์ทั่วไปมี ‘ภาพแทน’ ในสื่อ ที่ดูจะ ‘ถูกต้อง’ กว่าภาพแทนอื่นที่สื่อเคยชูให้
แต่นั่นก็เป็นเรื่องเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว
เหมือนกับซีรีส์ตลกอื่นๆ เช่น The Big Bang Theory, จากเดิมที่ Modern Family เคยเป็นภาพแทนที่เกย์เห็นด้วย (และบางส่วนก็เชิดชู) เมื่อกาลเวลาเคลื่อนผ่าน Modern Family กลับไม่ได้โตตาม มันเล่นประเด็นเดิมวนรอบซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกลายเป็นเพียงภาพล้อ (caricature) ของตัวเองจากอดีตเท่านั้น มุขตลกของ Modern Family ถูกโจมตีแทบในทุกตอน เช่น ในตอนหนึ่งคาเมรอนเข้าใจผิดว่ามีสาวมาจีบ เลยเกิดความภูมิใจในความ ‘แมน’ ของตัวเอง ในขณะที่ต่อมาก็สำนึกได้ว่า สาวคนนั้นไม่ได้มาจีบตนด้วยความรักเชิงชู้สาว แต่มา ‘ผูกมิตร’ เพียงเพราะอยากมีเพื่อนเกย์เท่านั้น (ฮ่า ฮ่า), ในบางตอน ‘ไซส์’ ของคาเมรอนก็ถูกหยิบมาเล่นตลก ให้เป็นคนซุ่มซ่ามบ้าง ล้มแล้วคนหัวเราะเยาะ (เพราะอ้วน) บ้าง, ในอีกตอน เมียชาวโคลัมเบียนของเจย์บ่นว่า “นี่พวกเธอคิดว่าชาวโคลัมเบียนบ้านป่าเมืองเถื่อนมากเลยสินะ พวกเราไม่ใช่คนเปรูนะโว้ย” (ฮ่า ฮ่า)
ปัญหานี้คล้ายกันกับ The Big Bang Theory เดิมทีมันถูกสรรเสริญว่าทำให้เหล่า ‘เนิร์ด’ มีที่ยืนบนวัฒนธรรมป๊อป แต่ต่อมาเมื่อมันวนตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก มันก็เริ่มถูกก่นด่าว่ามันเป็นการฉายภาพเนิร์ดแบบ ‘เล่นง่าย’ หรือ Stereotypical Nerd และทำให้คนที่ทำงานในสายวิทยาศาสตร์มีภาพพจน์แบบนั้นไปหมด (เช่น คาดหวังว่าคนที่ทำงานแบบนี้จะต้องมีบุคลิกเหมือนตัวละคร Sheldon ในเรื่อง ที่เป็นคนอ่านอารมณ์คนอื่นไม่ค่อยออก)
ที่เขาว่ากันว่า ‘คุณต้องเลือกเอาว่าคุณจะตายอย่างฮีโร่ หรือทนอยู่ไปจนกลายเป็นตัวร้ายในวันหนึ่ง’ นั้น บิดสักหน่อย ก็อาจได้เป็น ‘คุณเลือกเอาว่าคุณจะจบตัวเองในวันที่คนสรรเสริญ หรืออยู่ไปเรื่อยๆ จนคุณไม่เหลืออะไรนอกจากการเป็นภาพล้อของตัวเองในวันวาน’
และในวันนี้ Modern Family ก็ถูกวิพากษ์, เหมือนกับเป็นต่อ, ว่ามันไม่ ‘ถูกต้องทางการเมือง’ เอาเสียเลย
ในวันที่เราเป็น Post-post-post-modern ลำพังแค่เป็น ‘Modern’ Family ก็ดูจะไปไม่รอดเสียแล้ว
4.
ความถูกต้องทางการเมืองนั้นเป็นเหมือนขั้วตรงข้ามของการเล่นตลกเลยนะครับ แน่ล่ะ ที่ไม่ใช่มุขตลกทั้งหมดจะเป็นมุขตลกแบบถึงพริกถึงขิง เรียกแขกให้มาสหบาทา บางมุขอาจเป็นมุขใสๆ ที่ไม่ ‘ทำร้าย’ ใครเลยก็ได้ (เช่นมุขเล่นคำของเด็กๆ) แต่ในเมื่อสาระของการเป็นมุขตลกคือการสร้าง ‘เซอร์ไพรส์’ หรือ ‘ความคาดไม่ถึง’ ให้กับผู้ฟัง ก็เป็นเรื่องแน่นอนที่ ‘ความคาดไม่ถึง’ ส่วนหนึ่งจะถูกสร้างด้วยการเหยียบเข้าไปบนเส้นที่สังคมบอกว่าไม่ควรเหยียบ ล่วงล้ำเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พลิกมุม เหยียดหยาม เผชิญหน้าท้าทาย
สำหรับผม มุขตลกที่ดี ไม่ว่าจะ ‘ถูกต้องทางการเมือง’ หรือไม่ จะมีคุณสมบัติร่วมกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือ ฟังแล้วจะทำให้ได้คิดทบทวน ทบทวนถึงจุดยืนของตนเอง ทบทวนถึงความคิด ความเชื่อร่วมในสังคม ทบทวนว่าที่เรา ‘รู้สึก’ อย่างนี้กับมุขนี้ เป็นเพราะเราถูกสร้างขึ้นมา หรือถูกประกอบขึ้นมาอย่างไร
มุขตลกเป็นพาหนะวิเศษ มันสามารถก้าวย่างไปสู่พื้นที่อันตรายได้ด้วยความทีเล่นทีจริง มันอนุญาตให้เราจัดลำดับความสัมพันธ์ของสิ่งรอบๆ ตัวด้วยสายตาสดใหม่ ตลกอาจใช้ท่าทีของคนนอกเพื่อตัดเหตุการณ์หนึ่งของสังคมมาแปะกับแนวคิดอีกแบบจนได้ผลลัพธ์เป็นมุมมองพิเศษที่ไม่สามารถได้มาด้วยวิธีอื่น (และด้วยวิธีเดียวกัน ผลลัพธ์อาจออกมาเป็นขีปนาวุธก็ได้)
ตลกหลายคนบ่นว่าความบ้าคลั่งความถูกต้องทางการเมืองทำให้สังคมในปัจจุบันนั้น ‘อ่อนไหวเกินไป’ (overtly sensitive) จนแทบจะเล่นอะไรก็ไม่ได้ นี่ทำให้ผมนึกถึงแก๊กตลกอันหนึ่ง ที่เขียนบรรยายด้านบนไว้ว่า ‘นี่คือมุขตลกที่ถูกต้องทางการเมือง’ แล้วในกรอบด้านล่างที่ควรจะมีรูปการ์ตูน กลับไม่มีรูปอะไรเลย เป็นกระดาษขาวๆ เท่านั้น นี่คือการพยายามสื่อว่าเมื่อทุกคนอ่อนไหว ก็ไม่มีใครเล่นตลกได้เลย ; ขนาดเล่นมุข ‘ขาวสะอาด’ ขนาดนี้ ยังมีคนไปคอมเมนต์ (เชิงประชด) เลยนะครับว่า ‘ในกรอบเป็นกระดาษขาวๆ ก็สื่อถึงคนขาวไง นี่เป็นมุขตลกที่กำลังเหยียดหยามคนดำอยู่นะ’ (เออ เอาเข้าไป)
นั่นก็เป็นมุมมองหน่ึงนะครับ คนที่เห็น ‘ข้อดี’ จากการตื่นตัวถึงความถูกต้องทางการเมืองแบบนี้ก็มี – Jason Zinoman คอลัมนิสต์ของนิวยอร์กไทมส์บอกว่าความถูกต้องทางการเมืองนั้นขับเคลื่อนวงการตลกไปข้างหน้า ทำให้ตลกแต่ละคนต้องชั่งใจ ชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียมากขึ้นเมื่อจะปล่อยมุขอะไรออกมาแต่ละครั้ง นั่นคือ จะมาเล่นมุขเรี่ยราดหยามน้ำหน้าใครๆ อย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ไม่ได้ เวลาจะเล่นมุขที่เสี่ยง ตลกจะต้อง ‘ประดิษฐ์’ ต้อง ‘เจียน’ มุข จนกว่ามันจะคมที่สุด แล้วค่อยปล่อยออกมา เมื่อเป็นแบบนี้การปล่อยมุขแต่ละครั้งก็คือการลงทุน เป็นการเดิมพันด้วยชื่อเสียงของตนเพื่อหวังผลลัพธ์เป็นเสียงหัวเราะนั่นเอง
จริงๆ มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วนะครับ แต่มาวันนี้ ‘เดิมพัน’ อาจสูงขึ้นหน่อย High Risk – High Return
5.
ผมคิดว่าเราต้องแยก ‘มุขตลกที่ดี’ กับ ‘มุขตลกที่ถูกต้องการทางเมือง’ ออกจากกัน (ถึงแม้ทุกอย่างจะไม่สามารถตัดสินได้โชะๆ ว่าอันไหนดีไม่ดี อันไหนถูกต้องไม่ถูกต้อง มันขึ้นอยู่กับว่าคุณคือใคร ยืนอยู่ตรงไหนของสเปรกตรัมในสังคม แต่เพื่อจุดประสงค์ของบทความนี้ ขอแบ่งง่ายๆ แบบนี้นะครับ) เมื่อมองแบบนี้แล้ว มุขตลกที่ดี อาจไม่จำเป็นต้องถูกต้องทางการเมือง และมุขตลกที่ถูกต้องทางการเมืองก็อาจเป็นมุขตลกที่ดีหรือไม่ก็ได้
สำหรับผม มุขตลกที่ดี คือมุขตลกที่ไม่ขี้เกียจ
ลองพิจารณามุขนี้อีกสักอันครับ (เป็นของ Anthony Jeselnik เช่นเคย)
“ผมเจอผู้หญิงสวยแซ่บมากคนนึงในบาร์ ผมถามเธอว่าเธอทำอาชีพอะไร เธอบอกว่าเธอเป็นหมอผ่าตัดสมอง ผมประทับใจมาก”
เขาหยุด
“มีผู้หญิงไม่มากหรอกนะที่เสียดสีเป็น”
(Because not many women can do sarcasm.)
มุขตลกนี้ถูกต้องทางการเมืองไหม? ไม่ถูกต้องแน่ๆ มันเหยียดเพศซ้ำแล้วซ้ำอีก มันสื่อความหมายออกมาว่า ‘ผู้หญิงไม่ฉลาดขนาดจะเป็นหมอผ่าตัดหรอกนะ’ โดยไม่ต้องพูดแบบนั้นสักคำ ยังไม่พอ มันยังหยามผู้หญิงไปอีกชั้นว่าพวกเธอไม่ฉลาดขนาดที่จะเล่นมุขเสียดสีแบบนี้ได้เท่าไหร่หรอก ทั้งหมดนี้ถูกห่อด้วย ‘ความประทับใจปลอมๆ’ ที่แอนโธนี่รู้สึก ซึ่งกว่าที่คุณจะเก็ตมุขนี้ได้ คุณก็ต้องรู้สึกตัวเสียก่อนว่าไอ้ความเหยียดหยามผู้หญิงทั้งหมดนี้ไม่ได้มีอยู่ในตัวแอนโธนี่คนเดียว แต่มันมีอยู่ในตัวคุณด้วย (อย่างน้อยก็ในมิติหนึ่ง) ถ้าคุณไม่มีความคิดจะเหยียดหยาม (หรือความรู้ถึงการเหยียดหยามแบบนี้) สักหนึ่งออนซ์ คุณก็จะไม่ ‘เก็ต’ มุขนี้เลย
มุขตลกของแอนโธนี่ไม่ถูกต้องทางการเมืองแน่ๆ แต่ผมคิดว่ามันเป็นมุขตลกที่ ‘ไม่ขี้เกียจ’
มันไม่ได้เล่นออกมาง่ายๆ หนึ่งชั้นแบบมุขตลกของ ‘เป็นต่อ’ ที่เอาความเป็นรูปแบบเฉพาะ (Stereotype) ของเกย์ ของคนผิวสี ของสังคมผู้ชายเป็นใหญ่ มาแสดงให้เห็นเฉยๆ โดยไม่ได้สร้างผลลัพธ์ที่ฉลาดอะไรต่อมา มันไม่ได้เป็นมุขตลกแบบเล่นแล้วโยนทิ้งเหมือนมุขตลกของ Modern Family ในช่วงหลังๆ ที่แค่จับคาแรกเตอร์ (ที่มีสมมติฐานว่าคนนี้จะต้องเป็นแบบนี้) มาให้เจอสถานการณ์ต่างๆ แล้วประพฤติปฏิบัติแบบที่เราคาดเดาได้
สำหรับผมนะ, อย่างน้อย, สำหรับผม, มุขตลกอันหลังของแอนโธนี่ ถือเป็นมุขตลกที่ดี เพราะมันทำให้เราได้ตรวจสอบตัวเอง มันไม่ได้เป็นมุขตลกที่เราจะหัวเราะออกมาทันทีทันใดเหมือน ‘ได้เห็นคนอ้วนลื่นล้ม’ หรอก แต่มันจะติดอยู่ในใจเราหลังจากที่ได้ฟังครั้งแรกไปนานกว่านั้นมาก
แอนโธนี่ไม่ได้หลอกตัวเองนะครับ เขารู้ตัวดีว่าเขาเป็น ‘คนจิตป่วย’ (sociopath) และกำลังเอาความจิตป่วยของตัวเองมาหากิน เขารู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบมุขตลกป่วยๆ ของเขา บางส่วนอาจเกลียดจนนึกอยากฆ่าเขาเสียด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยังกล้าที่จะท้าทายสังคม ‘ปกติ’ ด้วยความ ‘ป่วยไข้’ ของเขาไปเรื่อยๆ
มุขตลกที่ดีอาจไม่ได้เป็นอะไรนอกไปเสียจากการจัดการความคาดหวังของผู้ฟัง
ถ้าคุณเป็นตลกที่ดี คุณ ‘รู้’ ว่าผู้ฟังคาดหวังอะไรอย่างหนึ่ง คุณก็จะทำให้เหนือความคาดหวังนั้น หรือไม่อย่างนั้นก็บิดผลลัพธ์ไปอีกแบบที่ผิดจากความคาดหวังไปเลย
ทว่า หากคุณเป็นตลกที่ขี้เกียจ คุณก็จะไม่ทำอะไรให้เหนือไปจากที่คนเขาคิดกัน คุณก็จะเล่นมุขวนซ้ำกับสิ่งเดิมๆ ที่สังคมก็รู้ๆ อยู่แล้ว คุณก็จะไม่ท้าทายกรอบใดๆ คุณก็จะเล่นมุขหนึ่งชั้นแบบที่เข้าใจได้แม้ไม่ต้องใช้ความคิด แน่นอน คุณก็คงมีกลุ่มเป้าหมายของคุณ และคุณก็อาจพอใจที่จะทำแค่ ‘ตามความคาดหมาย’ ที่คุณคิดว่ากลุ่มเป้าหมายนั้นอยากได้ พอคุณทำได้คุณก็ปิดฝาคอมพิวเตอร์แล้วดำเนินชีวิตปกติๆ ไปตามกรอบปกติๆ ที่คุณก็มีส่วนช่วยสร้างขึ้นมา แล้วคุณก็เรียกตัวเองว่าตลก ทั้งๆ ที่จริงๆ คุณก็รู้นานแล้ว ว่า ‘ตลก’ มันเป็นแค่สิ่งที่ใช้หาเลี้ยงชีพ ส่วนความท้าทายหรือแรงจูงใจที่คุณเคยรู้สึกในวันแรก มันจางหายไปนานแล้ว
(เผยแพร่ครั้งแรกในคอลัมน์ Look Out นิตยสาร GM )