นี่เป็นเรื่องที่ฉันคิดวนไปวนมาหลายรอบแล้ว ว่าจะจัดการกับมันยังไงดี ก็เรื่อง… จะเรียกว่าอะไรดีนะ จะบอกเป็นผู้ช่วยก็ไม่ใช่ ผู้จัดการส่วนตัวก็ไม่เชิง
หลังๆ ฉันเห็นกลุ่มคนที่ทำหน้าที่นี้แล้วก็เผลอด่า (ในใจ) หรือเลิกคิ้วสงสัยให้กับความจริงจัง (ทั้งจำนวนและความเยอะสิ่ง) อยู่บ่อยๆ ด่าในใจไปอย่างนี้ พอมาถึงทีตัวเองก็ชักจะเริ่มระแวงหน่อยๆ ว่าจะกงเกวียนกรรมเกวียนไหมหว่า
อาชีพนี้เหมือนเพิ่งมีมาได้สักระยะ พร้อมๆ กับการเฟื่องฟูอย่างยิ่งของ Youtuber, Vlogger เพราะเป็นตำแหน่งที่ไม่เชิงจะจัดการอะไรใดๆ แต่เหมือนติดตามไปเรื่อยๆ คอยถ่ายรูป คอยไลฟ์ คอยลงไอจี คิดแฮชแทคอะไรต่างๆ ให้ ซึ่งก็ไม่ซ้ำทางกับผู้จัดการส่วนตัวที่ดูคิว เรียกค่าตัว บริหารจัดการเวลา รับงานหรือปฏิเสธงาน
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ฉันมีแม่เป็นผู้ดูแลแบบรวบยอดและมีอำนาจจัดการสูงสุด คือรับงาน ปฏิเสธงาน จัดวัน เรียกค่าตัว หาชุด ขับรถรับส่ง ดูแลจัดการจ่ายภาษี ไปร่วมงานต่างๆ ตามสมควร ฯลฯ จนหมดช่วงขับรถรับส่งก็ยังคุมคิวเป็นซังกุงสูงสุด มีฉันอยู่ใต้การควบคุม ขับรถไปทำงานตามสั่งรับเงินรับเช็ค (ซึ่งตลกดีที่บางทีคนจ้างเขาก็บอกให้ฉันนับดูก่อนนะคะ ว่ายอดเงินครบมั้ย? ซึ่งฉันก็ได้แต่ยิ้มแห้งแล้วบอกว่าไม่รู้ว่าครบมั้ยหรอกค่ะ เพราะไม่รู้ว่าตกลงกับแม่ไว้เท่าไหร่ ให้ขาดหรือเกินไปฉันนับแล้วก็ไม่รู้อยู่ดีจ้า) ส่งให้แม่ แล้วค่อยรับเงินรายปักษ์จากแม่ ที่จ่ายให้ฉันทุก 15 วันเพื่อใช้ดำรงชีพ
เออ ก็ง่ายดี แล้วอยู่ๆ ชีวิตฉันก็พลิกผันบรู้ม เมื่อแม่ป่วย
รู้ว่าจริงๆ แม่ก็ไม่อยากปล่อยมือเท่าไหร่หรอก มันเป็นความมั่นใจทางอารมณ์ที่ยังสามารถควบคุมให้อะไรๆ เป็นได้ดั่งใจ แต่มันฝืนไม่ไหว เพราะแม่เล่นโทรหาประสานงานเป็นสิบครั้งในหนึ่งวัน ว่าทำไมยังไม่โอนเงินค่าทำรายการให้แม่ ทั้งที่น้องฝ่ายรายการก็โอนไปแล้วตั้งแต่ต้นเดือน ต้องไปตามประสานกับฝ่ายบัญชี หาสลิปใบเสร็จกันเป็นที่เอิกเกริก โดยระหว่างหา แม่ก็โทรจิกรัวๆ หรือฉันที่ต้องขับรถไปดูเอกสารค่าตัวถึงกลางกรุง เพราะแม่บอกว่ายอดไม่ตรง เพื่อที่จะไปเจอว่ามันมีอยู่แล้ว แต่แม่ไม่เห็นเอง
ยังไม่รวมถึงการอยู่ๆ ก็โทรมาหาฉันตั้งแต่เช้ามืด ว่าออกไปไหนยะ!!? ทำไมรถไม่อยู่!! พอฉันบอกว่าอยู่กองก็ไม่เชื่อ ทั้งที่ตัวเองเป็นคนลงคิวเอง ลงท้ายฉันเลยต้องวิ่งหาโปรดิวเซอร์ หรือประสานงานให้ช่วยออกปากยืนยันให้แม่เชื่อ ว่าอยู่กองจริงๆ จ้า
ก็นั่นล่ะ, สุดท้ายพอแม่จำต้องวางมือ ก็เหลือแต่ฉันแล้วสินะ
ฉันก็ต้องมาเก็บใบกำกับภาษี คุยงาน แจกคิว รับงาน ปฏิเสธงาน เดินทางไปทำงาน ส่งภาษี ซื้อกองทุน พร้อมๆ กับที่ต้องถ่ายละครไปด้วย บางทีวางโทรศัพท์ชาร์ตไว้แล้วไปเข้าฉาก 2-3 ชั่วโมงกลับมาเจอมิสคอลท่วมหัวท่วมหู โทรกลับไปก็กลายเป็นขายประกันหรือเสนอสิทธิพิเศษ ไอ้ครั้นจะไม่โทรกลับ ก็เดี๋ยวเผื่อว่าเป็นเรื่องงาน ชักช้าโยกโย้ เขาจะหาว่าฉันหยิ่งและเรื่องมาก ไปหาจ้างคนอื่นแทนเสียก่อน จะโปรยไลน์ใส่ให้ติดต่อ ก็มีแต่อะไรไม่รู้เข้ามาแอดให้รุงรังชีวิต บ้างก็จู่ลู่เข้ามาติดต่อ บอกว่าเคยทำงานกันเมื่อครั้งบรรพกาล ตอนนี้จะจ้างทำงานแต่ขอราคาเดิมได้ไหม พี่จ๋าาาาาาา ค่าเงินมันเฟ้อจ้ะพี่จ๋าาาา
ก็ต้องหาทางปฏิเสธให้ละมุนละม่อมที่สุด ไม่ให้เขาเกลียดขี้หน้าหรือเอาไปลำเลิกเบิกประจานในเรื่องบุญคุณซึ่งยึดถือกันนักหนา ว่าถ้าใครมันกล้าไม่สำนึกนี่จะต้องตกนรกไปเจ็ดชั่วโคตร ทั้งที่บางทีก็ไม่เคยได้พบได้เจอกันเลยเป็นปีชาติ แถมมาถึงจะขอใช้งานกันฟรีๆ เหมือนฉันกินอากาศแทนข้าว และแม่กินใบไม้แทนยาได้ ไม่ต้องใช้สตุ้งสตางค์
บ่นมามากมี คราวนี้ก็ต้องพิจารณาจากตัวเลือก ว่าจะทำยังไงกันดี
ผู้จัดการส่วนตัว หากเลือกทางนี้ ฉันก็ไม่ต้องรับงานปฏิเสธงานเอง ซึ่งก็เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียในเวลาเดียวกัน เพราะเกิดมีงานบางอย่างที่ฉันไม่ถนัดทำ แต่ผู้จัดการเกิดไปรับมา จะเพราะสนิทมีคอนเนคชั่นหรืออะไรก็เถอะ ฉันก็ต้องทำ เพราะผู้จัดการเขาก็ต้องกิน และถ้าอีดาราศิลปินที่ดูแลอยู่มันจะฤาษีเสียจนจะไม่ออกงานทำอะไรเลย แล้วผู้จัดการจะกินอะไรเข้าไป บางงานก็เป็นคอนเนคชั่นที่ติดต่อกันมาหลายปี ก็ต้องพาเด็กๆ ดาราในสังกัดไป ว่าฉันดูคิวคนเหล่านี้อยู่นะจ๊า หากมีอะไรก็คิดถึงกันเรียกใช้ได้ แต่ปัญหาคือตัวฉันเป็นคนไม่เคยจะเข้ากันกับการไปงานหรูแฟ่ต่างๆ ทั้งชุดทั้งรองเท้า เสื้อผ้าหน้าผมมันอัตคัดขัดสนไปเสียหมด พอรู้สึกว่าต้องไปก็ไม่อยาก แต่จะไม่ไปก็ให้เกรงใจอึดอัดไปอีก บางทีฉันก็อยากอยู่บ้านเฉยๆ เพื่ออ่านหนังสือหรือเขียนต้นฉบับ ซึ่งก็เป็นงานฉันเหมือนกัน แล้วจะต้องแบ่งเปอร์เซ็นต์กันยังไงกับผู้จัดการ เกิดฉันเข้าเงียบเขียนงานเป็นปีๆ ผู้จัดการมิอดตายเรอะ
อะ ไม่ได้ งั้นไปข้ออื่นต่อ
ผู้ช่วย อันคำว่าผู้ช่วยนี้กว้างมาก คือช่วยอะไรดี ฉันอยากให้เขาทำอะไรบ้าง ก็ต้องมาจัดแจงสั่งงานกันเสียก่อน ว่าไอ้นั่นทำ ไอ้นี่ไม่ทำ แต่บางอันก็ทำได้ทั้งที่ไม่อยากทำ หรืออันที่อยากทำแต่กับคนนี้จ้างก็ไม่ทำนะ รับโทรศัพท์สายนี้ให้ที ปฏิเสธดีๆ อย่าให้เสียมิตรภาพ หรือใช้ไลน์แอดของผู้ช่วยโปรยหว่านไปทั่วๆ เผื่อคนติดต่องาน แต่ก็ไม่ใช่จะทำได้ทุกงานอยู่แล้วนี่หว่า และอีกจุกจิกยิบย่อยห้าร้อยข้อ แล้วเวลาไปทำงานฉันต้องทำยังไง เอาผู้ช่วยไปด้วยไหม แล้วฉันต้องขับรถให้ผู้ช่วยนั่งด้วยเหรอ มันเหนื่อยนะ ครั้นจะเอาผู้ช่วยมาขับรถให้ ก็มีความคล้ายพขร. ไปอีก กูพิจารณาเงินเดือนไม่ถูก
เวลาฉันเพี้ยนๆ อยากไปเที่ยวสักอาทิตย์นึง ผู้ช่วยจะไปทำอะไรล่ะ กลับบ้านดูแลครอบครัวลูกผัวพ่อแม่งั้นหรือ หรือต้องหิ้วผู้ช่วยไปด้วยอย่างดาราบางคนที่ฉันเจอ ว่าผู้ช่วยมีหน้าที่บันทึกภาพทุกอิริยาบถ หิ้วชุด กระพือผ้า วักน้ำสาดกระเซ็นเป็นโฟร์กราวด์สวยๆ ไว้ลงไอจีเรียกไลก์ขายสปอนเซอร์ เอ๊ะ อย่างนั้น ปลายปีฉันต้องให้ของขวัญเค้าสินะ หรือยังไงวะต้องให้ลามไปพ่อแม่เขาด้วยไหม หรือให้โบนัสนอกจากเงินเดือน
โอ๊ย ยุ่ง ไม่เอาอะ ไปข้ออื่นๆๆ
เพื่อน ถ้าเป็นเพื่อนจริง ก็ไม่ควรมาวอแวกันเรื่องงาน เพราะจะมีปัญหาเรื่องเงินเข้ามาทำให้อางขนางกันไปในวันหนึ่ง แต่ถ้าจะมีเพื่อนไว้ใช้งานก็จะเป็นเพื่อนแบบก้ำกึ่งไปอีก ฉันเคยเห็นคนพาเพื่อนไปเป็นเพื่อนในกองถ่าย นอกจากจะต้องดูแลหาข้าวปลาและมุมที่นั่งให้เพื่อนซึ่งไม่คุ้นกับชีวิตกองถ่ายแล้ว ดีไม่ดี อีเพื่อนนี่แหละ ปาดงานไปหน้าตาเฉยจ้า อยู่ๆก็หน้าตาเข้าทางแคสติ้งขึ้นมาเสียอย่างนั้น ซึ่งเอาเข้าจริงฉันก็ไม่มีปัญหานี้หรอก ว่าใครจะมาปาดอะไรไป แต่จะไปหาเพื่อนที่ไหนที่ว่างพอจะติดสอยห้อยตามฉันไปทุกที่ล่ะ หรือไม่ต้องไป ให้มันนอนอยู่บ้านเฉยๆ เอ้าแล้วมันจะต่างอะไรจากแก๊งเพื่อนกินเหล้าที่ฉันมีอยู่ทุกวันนี้กัน
โวะ ไม่เห็นหนทาง ข้อต่อไปละกัน
แฟน ร้อยละ 80 ที่ให้แฟน หรือคู่รักมาดูคิวมักจะพินาศ ร้าวรานไปยันครอบครัว จบ
โอ้ยยยยยยย เรียงมาตั้งหลายหัวข้อฉันก็ยังไม่เห็นหนทางที่ง่าย สบาย สะดวก รู้ใจให้ลงตัวเลยสักข้อ
ไปๆ มาๆ สุดท้าย ก็เชิญคุณอินทิราจ้างคุณอินทิราโม่งานไปนี่ล่ะค่ะ เสร็จครบจบในคนเดียว
สำหรับใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ เวลาติดต่อฉันแล้วยังไม่โทรกลับเสียทีก็โปรดรู้ ว่าไม่ได้อางขนางเอาแต่ใจ หรือเย่อหยิ่งจนไม่เห็นหัวใคร แต่ฉันแยกร่างทั้งไปรับงานและทำการแสดงในเวลาเดียวกันไม่ทันจริงๆ พ่อคุณแม่คุณเจ้าขา