1. Rogue One ทำให้ผมนึกถึงเกม Final Fantasy XV ที่เพิ่งเล่นจบไปหมาดๆ ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่ได้คิดจะสปอยล์เนื้อเรื่องของเกมแต่อย่างใด เพียงแต่สาเหตุที่ทำให้ผมนึกถึงมันอยู่เนืองๆ ขณะที่ดูหนังเรื่องนี้ เพราะในทางโครงสร้าง Rogue One และ Final Fantasy XV คล้ายจะประสบปัญหาเดียวกันตรงที่ว่า ทั้งคู่มีจุดเริ่มต้นที่ดี และมีจุดจบที่ชวนให้จดจำ หากแต่เป็นเส้นทางที่เชื่อมระหว่างสองจุดนี้ต่างหาก ที่มีความทุลักทุเลเกิดขึ้นในระหว่างการเดินทางที่ทำให้ทั้งสองชวดโอกาสที่จะสร้างความประทับใจให้กับประสบการณ์แบบองค์รวม
2. อย่างที่รู้กันว่าเหตุการณ์ของ Star Wars ภาคนี้เกิดขึ้นระหว่าง Revenge of the Sith และ A New Hope ซึ่งโดยคร่าวๆ จุดประสงค์ของหนังเรื่องนี้ก็เพื่อจะอธิบายว่าในภาคที่สี่ เจ้าหญิงเลอาได้แผนผังของ เดธสตาร์มาได้อย่างไร
หนังเล่าเรื่องของจิน เออร์โซ บุตรสาวแกเลน เออร์โซ นักวิทยาศาสตร์ผู้เป็นมันสมองสำคัญในโครงการสร้างเดธสตาร์ จินถูกพรากจากพ่อของเธอตั้งแต่เด็กเพื่อหลบซ่อนตัวจากจักรวรรดิที่เดินทางมาพาตัวพ่อกลับไปพัฒนาเดธสตาร์ให้แล้วเสร็จหลังจากที่เขาหลบหนีออกมา วันเวลาผ่านไป เด็กสาวเติบใหญ่และจับพลัดจับผลูไปเข้าร่วมกับกองทัพปฏิวัติซึ่งเป็นศัตรูตัวสำคัญของจักรวรรดิ และเพราะรู้ว่าเธอเป็นลูกสาวของนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของอีกฝั่ง กองทัพปฏิวัติจึงได้ขอให้จินร่วมมือในการตามหาตัวพ่อของเธอ เพื่อจะยืนยันว่าเดธสตาร์, ซึ่งในตอนนั้นยังเป็นเพียงข่าวลือ, กำลังถูกสร้างขึ้นมาจริงๆ
แม้จะดูมาหมดทุกภาคก็จริง แต่ผมก็ไม่ได้เป็นแฟนตัวยงของ Star Wars ที่จะจดจำเหตุการณ์ในภาคก่อนๆ ได้จนขึ้นใจ หรือสังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ ที่ผู้สร้างจงใจสอดใส่มาให้ได้สอดส่องกัน ด้วยเหตุนี้ผมจึงชอบ Rogue One ตรงที่มันรู้ตัวเองว่าไม่ใช่ภาคหลัก และไม่อนุมานเอาว่าคนดูจะต้องรอบรู้ในรายละเอียดอันมโหฬารของจักรวาล Star Wars มันเป็นมิตรกับแฟนหนังสาย casual เช่นผม ที่สนุกกับมันได้โดยไม่ต้องอาศัยการไปหาบทสรุปของสงครามแห่งดวงดาวเพื่อจะเข้าใจหนังได้อย่างครบครัน
อันที่จริงมันก็คล้ายกับสิ่งที่ The Force Awakens พยายามทำแหละครับ นั่นคือการแนะนำ Star Wars ให้กับกลุ่มคนดูในยุคใหม่ที่ไม่ได้เกิดในยุคอันรุ่งเรืองของหนังเรื่องนี้ โดยหยิบยืมเอาโครงสร้างของภาคเก่าๆ และเล่ามันด้วยตัวละครชุดใหม่ พูดได้ว่าหน้าที่ของ The Force Awakens คือการเป็นตัวผสานระหว่างช่วงเวลา ที่นอกจากมันจะไหว้ครูหนังภาคเก่าๆ อย่างนอบน้อมแล้ว ก็ยังกรุยทางสร้างฐานที่มั่นคงให้กับอนาคตของแฟรนไชส์นับจากนี้
ตัวละครอย่างฟินและเรย์ใน The Force Awakens ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เราได้ระลึกถึงความผูกพันธ์ดังเช่นที่เคยมีให้กับ ลุค สกายวอล์คเกอร์ กับเจ้าหญิงเลอา และหล่อเลี้ยงให้คนดูเฝ้ารอการกลับมาของพวกเขาในภาคต่อๆ ไป แต่กับกรณีของ Rogue One ซึ่งแม้จะแนะนำตัวละครใหม่ๆ ให้รู้จักก็จริง แต่จุดประสงค์ของมันกลับไม่ใช่ขยายจักรวาลย่อส่วนของ Star Wars ต่อไปอย่างไม่สิ้นไม่สุด หากแต่เป็นไปเพื่อกระตุ้นให้ใครก็ตามที่อาจยังไม่เคยดู A New Hope และภาคถัดไปจากนั้น หรือกระทั่งแฟนเดนตายก็ตามแต่ ให้ไปหาภาคเก่าๆ มาดูอีกครั้ง เช่นนี้เองที่โครงการหนังภาคย่อยๆ อย่าง Rogue One หรือเรื่องหน้าที่จะเล่าประวัติฮัน โซโล จึงมีขึ้นเพื่อให้ Star Wars ไตรภาคแรกยังคงถูกพูดถึง หรือถูกหยิบมาดูซ้ำ คั่นกลางไปเรื่อยๆ ขณะที่ไตรภาค 7-9 ก็เดินหน้าสู่อนาคตต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
3. จุดเด่นของ Rogue One คือการที่มันพยายามจำลองอาการสิ้นหวังในสงคราม กล่าวคือ เมื่อหน้าที่หลักๆ ของมันคือการอธิบายว่าทำไมเจ้าหญิงเลอาถึงมีแผนผังของเดธสตาร์ หนังจึงไม่จำเป็นต้องคอยกังวลถึงรายละเอียดอื่นๆ เช่น การทะนุถนอมตัวละคร หรือการต้องคอยพะวงถึงอนาคตที่อาจเกิดขึ้นได้
นั่นเพราะปลายทางของมันถูกวางไว้ตายตัวแล้ว นั่นคือ A New Hope
ด้วยเหตุนี้เอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน Rogue One จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นเศษเสี้ยวที่สำคัญของประวัติศาสตร์ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการถูกหลงลืม นั่นเพราะมันจะถูกนึกถึงและจดจำด้วยสถานะของแผนผังเดธสตาร์ที่กองทัพปฏิวัติได้มาจากสงครามในภาคนี้ หากแต่จะไม่มีใครระลึกถึงรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ เช่นเดียวกับเหล่านักสู้นิรนามที่ต่อสู้ในสมรภูมินี้ เช่นนี้แล้วภาพของสงคราม ความตาย และความสิ้นหวัง จึงถูกประเคนเข้ามาอย่างไม่บันยะบันยังก็ด้วยสถานะของหนังที่มีตอนจบอันแน่นอนตายตัวตั้งแต่แรกแล้วนี่เอง
4. ความพยายามอีกอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดตั้งแต่ The Force Awakens มาจนถึงภาคนี้คือการที่ Star Wars เองต้องการจะเปิดพื้นที่ในสงครามให้กับผู้หญิงมากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเพราะในภาคก่อนๆ ตัวหนังมักจะถูกวิพากษ์ในประเด็นที่ว่าหนังให้พื้นที่กับผู้ชายเป็นหลัก เช่นกันที่สงครามก็มักจะถูกขับเคลื่อน หรือตัดสินแพ้ชนะกันแค่ระหว่างผู้ชายด้วยกันเอง เราจึงได้เห็นเจ้าหญิงเลอา เลื่อนยศขึ้นมาเป็น general หรือการที่เรย์คล้ายจะกลายเป็นศิษย์ของลุค สกายวอล์คเกอร์ แล้วก็แน่นอน จิน ก็เป็นอีกตัวละครหญิงที่กระโดดขึ้นมารับบทบาทสำคัญและกำหนดทิศทางของสงครามและชะตากรรมของกองทัพจักรวรรดิ
5. แต่แม้จะมีหลายจุดที่หนังทำได้ดี กระนั้นก็อย่างที่ได้กล่าวไปข้างบนว่าตัวหนังยังมีปัญหาให้เห็นอยู่ โดยเฉพาะในส่วนกลางของเรื่องที่หลายๆ เหตุการณ์ หรือการตัดสินใจก็ดูจะเกิดขึ้นอย่างปุบปับ ไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีการรองรับที่น่าเชื่อถือ หรือบางฉากก็โผล่ขึ้นมาลอยๆ ขาดการให้รายละเอียดล่วงหน้า ราวกับจะใส่มาแค่ให้มี หรือเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับแฟนๆ จนอดคิดไม่ได้ว่า หรือที่มีข่าวว่าหนังถูกใบสั่งจากสตูดิโอให้ถ่ายเพิ่มมันจะส่งผลให้เกิดเป็นการตัดแต่งที่ไม่ประณีตสมบูรณ์ ดังที่หนังหลายๆ เรื่องก็เคยประสบปัญหานี้มาแล้ว เช่น Fantastic 4 เวอร์ชั่นล่าสุด
ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าหลังม่านจะเป็นยังไง แต่หากว่ามันเป็นผลจากการลงดาบของสตูดิโอจริงๆ ก็คงจะน่าเศร้าอยู่ไม่น้อยที่หนังซึ่งมี potential ว่าจะเป็นตัวมันเองได้กว่านี้ และกล้าที่จะแตกต่าง กลับต้องติดกับหล่มเดิมๆ ติดอยู่กับกรอบเดิมๆ จนไม่เพียงแต่จะทำให้หนังดูไม่ประติดประต่อ แต่ยังกลายเป็นการย่ำซ้ำๆ อยู่ในพื้นที่ซึ่งแน่ใจว่าตัวเองปลอดภัยอย่างไม่สิ้นไม่สุด
ซึ่งที่สุดมันก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้หากสตูดิโอจะหวงแหนความเป็น Star Wars นี้ นั่นเพราะเมื่อสถานะของมันคือ Nostalgia หรือความรู้สึกโหยหาอดีต ที่หากได้รับการกระตุ้นซ้ำๆ ในระยะเวลา และในปริมาณที่พอเหมาะ ก็ดังว่าเราจะยังคงต้องการมันและยังคงระลึกถึงอยู่เรื่อยไป ซึ่งก็เป็นเพราะ Nostalgia นั้นไม่อาจจะเติมเต็มได้อย่างสมบูรณ์นั่นเอง