อาจจะเรียกได้ว่าช่วงพีคที่สุดในการพูดเรื่องพี่ตูนกับการวิ่งของพี่เขานั้นผ่านไปแล้ว ทั้งจุดพี๊คของดราม่าช่วงก่อนการวิ่ง หรือการวิ่งก็ไม่ใช่เพิ่งเริ่มขึ้น เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา[1] แต่ผมเห็นว่าช่วงเวลาที่ ‘ดราม่าคลายตัว’ บ้างแล้วนี่แหละ ที่อาจเหมาะที่สุดในการพูดเรื่องนี้ เพื่อจะไม่ได้หัวร้อนกันมากนักกับทุกๆ ฝ่าย ทั้งฝั่งที่เชียร์พี่ตูนและฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับการวิ่งของพี่ตูน
ไอ้อาการ ‘หัวไม่ร้อน’ เวลาพูดนี่ นอกจากจะตัดความน่ารำคาญของ ‘ข้อถกเถียง’ ประเภทที่เห็นแล้วพึงกลอกตาใส่ แบบ “มึงมันพวกดีแต่พูด ไปด่าคนที่เค้าทำจริงและไม่ได้ดีแต่ปาก” (ขร่ะ…ปากมึงก็ดีกันมากเลยขร่ะ) แต่ผมคิดว่ามันเป็นประโยชน์กับตัวพี่ตูนเองด้วย เพราะในช่วงที่กระแสดราม่าร้อนแรงนั้นผมคิดว่าในการอภิปรายเรื่องนี้มันไม่มีใครตกเป็นเหยื่อหนักกว่าตัวพี่ตูนแกเลย ทั้งตกเป็นเหยื่อจากฝั่งที่วิจารณ์และจากฝั่งที่เชียร์แกเอง[2]
ผมคิดว่าถ้าไม่ ‘พาซื่อ’ (Naïve) หรืออินโนเซนต์กันมากนัก เราต้องยอมรับกันว่าการวิ่งของพี่ตูนนั้นมันถูกทำให้เป็นการเมือง (และจะมองว่ามันเป็นการเมืองในตัวมันเองโดย ‘ไม่ต้องถูกทำ’ ด้วยก็ได้) ทีนี้เมื่อมันถูกทำให้เป็นการเมือง มันหมายความว่าสิ่งที่เรากำลังพูดถึง ไม่ว่าจะเชียร์หรือวิจารณ์กันนั้นมันเกินกว่าตัวการกระทำหลักเอง (การกระทำหลักในที่นี้คือการวิ่ง) แต่มันคือการนำการกระทำหลักไปสะท้อนหรือเป็นตัวแทนของจุดยืนทางการเมืองที่กำกับเราอยู่ แม้แต่คนที่บอกว่า “อย่ามาทำเรื่องการวิ่งให้เป็นการเมือง” นั้นก็อยู่ในตรรกะวิธีคิดเดียวกันนี้ จะเพราะอะไรเดี๋ยวผมค่อยๆ พูดถึงต่อไป สรุปสั้นๆ ก็คือ ในช่วงพีคของดราม่านี้ ตัวพี่ตูนเองนี่แหละที่ถูกทำให้เป็นเหยื่อมากที่สุดจากทุกๆ ฝ่าย (และที่ผมพูดนี่ก็ไม่ใช่การพูดในเซนส์ที่ปกป้องพี่ตูนหรืออะไรด้วย)
ที่ว่าพี่ตูนเป็นเหยื่อ คือ เป็นเหยื่อในแง่ว่าตัวตนหรือบทบาทของพี่ตูนในเนื้อเรื่องของดราม่านั้นถูกใช้ในฐานะ “ทางผ่านเพื่อวิจารณ์ตัวตนอื่นที่ถูกจับมาโยงอยู่กับพี่ตูนแต่ไม่ใช่ตัวพี่ตูนเอง” ฝ่ายที่วิจารณ์ก็ใช้ตัวพี่ตูนและการวิ่งของพี่ตูนในฐานะทางผ่านเพื่อจะได้ด่ารัฐบาล คณะรัฐประหาร หรืออื่นๆ ที่ไกลกว่านั้น ที่ในแง่หนึ่งมันเกิดขึ้นเพราะมันไม่สามารถจะด่าคนเหล่านี้หรือสถาบันทางการเมืองเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมาได้ในระบอบที่มันไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างที่เป็นอยู่ (ในแง่นี้ก็อาจจะพอพูดได้ว่าพี่ตูนตกเป็นเหยื่อทางการเมืองของฝ่าย ‘ลิเบอรัล’ หรือประชาธิปไตย) พร้อมๆ กันไป ฝ่ายที่เชียร์พี่ตูนและการวิ่งของพี่ตูน (หรืออาจจะไม่ได้เชียร์แต่ไม่เห็นด้วยกับฝ่ายที่วิจารณ์พี่ตูนเป็นขั้นต่ำ) ก็ใช้พี่ตูนเป็นทางผ่านในการด่าฝ่ายที่วิจารณ์กลับบ้าง ในการปกป้องรัฐบาลพลเอกประยุทธ์บ้าง หรือในการไม่ดึงการวิ่งการกุศลมาเข้ากับการเมืองบ้าง (ซึ่งเป็นปัญหาทางการเมืองและเป็นจุดยืนทางการเมืองแบบหนึ่งในตัวมันเองด้วย)
ฉะนั้นพี่ตูนจึงตกเป็นเหยื่อ จากทุกๆ ฝ่าย เพื่อจะผ่านไปด่า ‘อีกฟากฝั่งของตัวพี่ตูนได้’ นั่นเอง มองแบบนี้ผมก็คิดว่าไม่เขียนเรื่องนี้ในช่วงพีคจะดีกว่า เพื่อให้พี่ตูนไม่ตกเป็น Means of Criticism ตามความหัวร้อนของดราม่า…หัวเย็นลงแล้วค่อยๆ ว่ากันดีดีกว่า
ผมอยากบอกชัดๆ ก่อนว่า ผมไม่มีปัญหากับตัวพี่ตูน การวิ่งของพี่ตูน และคนบริจาคให้พี่ตูน พร้อมๆ กันไปผมเองก็ไม่มีปัญหากับคนที่วิพากษ์วิจารณ์การวิ่งการกุศลของพี่ตูนด้วยเช่นกัน (ผมถึงบอกว่าที่ผมเขียนไปว่า ‘บอกว่าพี่ตูนตกเป็นเหยื่อ’ นี่ไม่ได้จะปกป้องพี่ตูนนะ) ในแง่หนึ่งจะว่าผมแทงกั๊กก็ถูก แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้มันมีอะไรต้องคิดมากกว่าการเปิดหน้าด่าใส่กัน ‘ผ่าน’ ตัวของตูน บอดี้สแลม แบบเพลนๆ ง่ายๆ จบ ผมคิดว่าการเขียนหรือพูดถึงเรื่องนี้ต้องรัดกุมมากกว่าที่พูดๆ กันไปพอสมควร
ผมคิดว่าในระดับแรกเริ่มสุด เราต้องมองพี่ตูนกับการวิ่งการกุศลเพื่อหาเงินมาให้โรงพยาบาลที่ขาดเงิน รวมไปถึงการบริจาคออกเป็น 3 ระดับก่อน คือ (1) ในบริบททั่วไปตามมุมมองเสรีนิยมและปัจเจกนิยม, (2) ในบริบทเฉพาะถิ่นเฉพาะกาล, และ (3) ในบริบทเชิงโครงสร้างทางการเมืองวัฒนธรรมและการครอบงำ
1. วิ่งการกุศลและบริจาค : บริบททั่วไปตามมุมมองเสรีนิยมและปัจเจกนิยม
ในชั้นแรกของการมองเรื่องพี่ตูนวิ่งของเงินบริจาคนี้ ผมคิดว่าเราต้องเริ่มด้วยการยอมรับให้ชัดๆ กันทุกฝ่ายก่อนว่าอย่างน้อยๆ ในชั้นนี้ การวิ่ง (หรือจะการอะไรก็ตาม) เพื่อการกุศลและการบริจาคนั้นไม่ใช่เรื่องผิด ตราบเท่าที่มันไม่ได้นำไปสู่การผิดเงื่อนหลักข้อตกลงร่วมสากลหรือกฎหมาย (ยกเว้นบริจาคเงินให้กลุ่มก่อการร้ายหรือกระบวนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อะไรแบบนี้อาจจะต้องถกเถียงเพิ่มเติม – ไม่ได้แปลว่าสรุปได้เลยว่าเหี้ยว่าเลวนะครับ) มันเป็นเสรีภาพของแต่ละปัจเจกบุคคลที่สามารถเลือกที่จะทำหรือไม่ทำอะไรกับร่างกายของตนเองก็ได้ เพื่อสิ่งที่เขาเห็นว่าทำแล้วมันเป็นประโยชน์กับตัวเขาเองหรือสิ่งที่เขาเชื่อ นอกไปจากร่างกายแล้ว ไอ้เงินที่ใครจะบริจาคมันก็เป็นเงินที่ปัจเจกแต่ละคนหามาได้เอง ฉะนั้นใครอยากจะให้หรือไม่ให้อย่างไรก็เรื่องของเจ้าของเงินเขา ในโลกวิชาการเราเรียกสิ่งนี้โดยรวมๆ ว่า Individual Self-Ownership หรือกรรมสิทธิเหนือตนเอง (และสมบัติของตนเอง) ของแต่ละปัจเจก
ฉะนั้นในแง่นี้ ตีนพี่ตูน ขาพี่ตูน จะวิ่งก็วิ่งไป ไม่ผิด!
ใครจะอยากบริจาคเงินตัวเองให้ตามที่พี่ตูนขอมา ก็ไม่ผิด!
ใครจะไม่บริจาคสักบาทสักสตางค์ตามที่พี่ตูนขอมา ก็ไม่ผิด!
ฉะนั้นถ้าพูดกันบนฐานคิดแบบนี้ ผมคิดว่าเราพอจะพูดได้ว่าการวิ่งของพี่ตูนและการบริจาคหรือไม่บริจาคให้พี่ตูนนั้นไม่ผิดอะไรใดๆ เลยในทางหลักการ…ซึ่งพร้อมๆ กันไป การด่ารัฐบาล การวิจารณ์ทหาร การบ่นศาล ก็ควรจะเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ผิดเช่นเดียวกัน แต่ในประเทศนี้เสือกผิด ก็เป็นเรื่องที่คนที่เข้าใจ ‘ความไม่ผิด’ ของการวิ่งพี่ตูนควรจะเข้าใจไปด้วยได้พร้อมๆ กันว่า “ถ้าการวิ่งของพี่ตูนไม่ผิด การยืนชูสามนิ้วประท้วงบิ๊กตู่ก็ไม่ผิดเช่นเดียวกัน” นั่นเอง
แต่ต่อให้การยืนชูสามนิ้ว การด่ารัฐบาล การโจมตีทหาร การวิจารณ์ศาลถูกทำให้ผิดในประเทศนี้ แต่ถ้าคุยกันบนฐานนี้ก็อย่าไปยุ่งกับพี่ตูนเค้า เพราะพี่ตูนเค้าไม่ใช่คนทำให้เรื่องที่มันพึงไม่ผิดนี้กลายเป็นผิดไป
2. วิ่งการกุศลและบริจาค : บริบทเฉพาะถิ่นเฉพาะกาล
ชั้นนี้คือการขยับเข้ามาใกล้ตัวจากชั้นแรกขึ้นมาหน่อย คือ วิธีคิดของการพูดถึงการกุศลหรือการบริจาค หรือเอาตรงๆ ก็คือ การกระทำในทางสาธารณะใดๆ นั่นแหละ ว่าสุดท้ายแล้วมันไม่ได้ลอยตัวเคว้งคว้างๆ อยู่เปล่าๆ ในโลกของหลักการที่โอบล้อมมันอยู่ แต่มันยึดโยงกับบริบทและโลกจริงที่กำลังเกิดขึ้นด้วย (ซึ่งเอาจริงๆ ในชั้นแรกจะเรียกว่าลอยเคว้งคว้างเลยก็ไม่ได้ ตามหลักการมันก็ยังมีเชืองเส้นเล็กๆ ที่รั้งอีลูกโป่งของเสรีภาพนี่ไว้อยู่ เช่น จะบอกว่าทำตามเสรีภาพแล้วไปฆ่าใครอย่างงี้ไม่ได้ ก็คือ ที่ระบุไว้นั่นแหละครับ ว่าเสรีตราบเท่าที่ไม่ผิดหลักสากล…หลักสากลก็คือไอ้เชือกบางๆ เส้นเดียวที่รั้งการลอยตัวนี้ของวิธีคิดแบบชั้นแรกไว้อยู่ – เห้อ เขียนอะไรพวกนี้มันต้องระวังตัวหนักจีจี T^T)
ทีนี้เมื่อชั้นที่สองนี้มองว่าการกระทำในทางสาธารณะนั้นไม่สามารถแยกขาดจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงในโลกได้ เราก็ต้องจับเอาการวิ่งเพื่อการกุศลของพี่ตูน รวมถึงการบริจาคเงินนั้นเข้ามาสู่บริบทของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงๆ ด้วย
แล้วอะไรคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงไปพร้อมๆ กับการวิ่งขอเงินประชาชนช่วยโรงพยาบาลของพี่ตูน?
รัฐบาลมีเงินซื้อเรือดำน้ำใหม่…แต่ไม่มีเงินช่วยเหลือคนน้ำท่วม
รัฐบาลมีเงินซื้อเครื่องบินรบใหม่…แต่ไม่มีเงินช่วยเหลือสำหรับภาคการเกษตรที่ราคาตกต่ำ
รัฐบาลมีเงินซื้อรถถังใหม่…แต่ไม่มีเงินช่วยเหลือโรงพยาบาลที่พี่ตูนกำลังวิ่งเพื่อขอเงินมาช่วยเหลืออยู่
ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
ในกรณีของวิธีคิดของชั้นนี้เอง การออกมาวิ่งของพี่ตูน แม้ว่าแน่นอนจะเป็นสิทธิของพี่ตูนอย่างเต็มที่ แต่ตัวการวิ่งนั้นมันไปหันเหหรือเบี่ยงเบนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่า รัฐบาลไร้ซึ่งศักยภาพในการจัดการกับปัญหาที่เป็นหน้าที่ของตัวเองโดยตรงในการจะต้องจัดการ (จริงๆ จะว่าเป็นหน้าที่โดยตรงเลยก็ไม่ถูกถ้าพูดแบบเฉพาะถิ่นและเฉพาะกาลลงไปสุดๆ สำหรับรัฐบาลนี้ เพราะหน้าที่โดยตรงๆ จริงๆ คือ อยู่เฉยๆ และไม่ทำรัฐประหารแต่แรก ให้ระบบมันทำงานของมันไป)
เพราะฉะนั้นถ้ามองตามวิธีคิดของชั้นนี้แล้ว การวิ่งของพี่ตูนเองนั้นมันก็มีปัญหาในตัวอยู่ เพราะมันคือการยอมรับการใช้เงินอย่างไม่จัดสรรความจำเป็นอย่างสมควรของรัฐบาลนี้ในตัวด้วยหรือไม่ ที่เห็นชัดๆ ว่ามีเงินอยู่ในกระเป๋าแต่เลือกเอาเงินนั้นไปจ่ายซื้ออาวุธมากกว่าช่วยเหลือประชาชนและฟังก์ชั่นสวัสดิการของรัฐโดยผลักภาระที่เหลือไปให้ประชาชนช่วยกันจ่ายเองกับกล้ามเนื้อขาของพี่ตูน แล้วก็ออกมาชมว่านี่คือตัวอย่างของประชารัฐ[3] นี่คือการทดแทนคุณแผ่นดินอะไรก็ว่าไป
จริงๆ ด้วยตรรกะของชั้นนี้ หากพี่ตูนออกมาวิ่งเพื่อให้รัฐบาลหัดจ่ายเงินให้ถูกเรื่อง อาจจะเรียกได้ว่าถูกต้อง เหมาะสมมากกว่า (แต่พี่ตูนเองอาจจะโดนจับเข้าตารางแทนก็ได้ ซึ่งก็เข้าใจได้ที่จะไม่ทำ…ประเทศนี้มันก็แบบนี้แหละครับ)
แต่ว่าแม้มันจะไม่ใช่การวิ่งที่ถูกต้องที่สุด ผมก็ไม่คิดว่าด้วยวิธีคิดแบบเฉพาะถิ่นเฉพาะกาลนี้จะถือได้ว่าพี่ตูนผิดนะครับ เพราะถ้าคิดแบบเฉพาะถิ่นเฉพาะกาลแล้วบวก ‘เฉพาะหน้า’ เข้าไปด้วยนั้น ก็พูดได้ด้วยตรรกะของวิธีคิดชั้นนี้เช่นเดียวกันว่า “เออ รัฐมันจะเป็นยังไงไม่รู้แหละ หรือการวิ่งมันจะไปเบี่ยงเบนบดบังอะไรไม่รู้ ที่แน่ๆ เฉพาะหน้าคือมีโรงพยาบาลต้องการเงิน และคนกำลังจะตาย ตอนนี้นึกหาทางหาเงินช่วยได้ทางนี้ก็จะทำงี้แหละ จบ” … ผมก็ไม่คิดว่าวิธีการคิดแบบนี้มันจะมีอะไรที่ผิดเช่นเดียวกันนะครับ
แต่มันจะดีไม่น้อย หากว่าระหว่างพี่ตูนวิ่งๆ ไปจะตะโกนบอกรัฐบาลสักหน่อยว่า “อย่าหวังแต่พึ่งขากู ช่วยทำงานส่วนของมึงบ้าง!” เชื่อผมเถอะครับ ได้ใจทุกฝ่าย
3. วิ่งการกุศลและบริจาค : บริบทเชิงโครงสร้างการเมืองวัฒนธรรมและการครอบงำ (ชั้นหอคอยงาช้าง)
ชั้นสุดท้ายนี้อาจจะพูดได้ว่าฮาร์ดคอร์ที่สุด (และผมเขียนเกินลิมิตตัวอักษรมาสักหน่อยแล้ว แฮ่ๆ) ผมสรุปให้ก่อนจะลงรายละเอียดเลยว่า ด้วยวิธีคิดชั้นนี้ พี่ตูนผิดครับ และให้ชัดขึ้นไปอีกการกระทำเพื่อการกุศลรวมถึงการบริจาคใดๆ นี่ก็ผิดหมดแหละครับ เพราะมันเท่ากับเรากำลังผลิตซ้ำเงื่อนไขของการครอบงำของระบอบทุนให้สังคมมองเห็นกับดักของทางออก และทำให้วังวนของการขูดรีดดำเนินต่อไปได้
คือ การจะพูดเรื่องนี้ให้ชัดเราต้องย้อนกลับไปที่รากของรัฐสมัยใหม่กันนิดหน่อยครับ คือ รัฐก่อนสมัยใหม่นั้นมันมีขึ้นเพื่อรับใช้หรือบริการเจ้าผู้ปกครองของรัฐนั้นๆ หรือก็คือรัฐในระบบสัมบูรณญานิยม (Absolutism) มีไว้เพื่อและเป็นของเจ้าผู้ปกครองโดยสัมบูรณ์แต่ผู้เดียว แต่รัฐ (ประชาธิปไตย) สมัยใหม่นั้นเกิดขึ้นบนฐานของการแลกเปลี่ยน คือ ประชาชนยอมรับข้อตกลงที่จะเชื่อฟังรัฐ (กฎหมาย) และยินยอมรับเอาอัตลักษณ์ร่วมของรัฐมาแทนตัวตนปัจเจกของตน (คือ สิ่งที่ใช้แทนความเป็นเรา มาจาก ‘รัฐ’ กำหนดและประทานให้ เช่น บัตรประชาชน, พาสปอร์ต, รวมไปถึงอัตลักษณ์เชิงวัฒนธรรมต่างๆ เช่น ธงชาติไทย หรือคนไทยขี่ช้างไปโรงเรียน อะไรแบบนั้น)
เมื่อประชาชน ‘แลกเปลี่ยน’ กับรัฐ โดยมอบสิ่งเหล่านั้นให้กับรัฐไปแล้ว สิ่งที่รัฐต้องมอบกลับให้ประชาชนในฐานะของแลกเปลี่ยนก็คือ ‘สิทธิ เสรีภาพ และความมั่นคง’ ซึ่งไอ้ความมั่นคงนี่แหละครับ มันหมายถึงสวัสดิการต่างๆ ที่จำเป็นต่อชีวิตของเราด้วย ที่จะสามารถยืดอายุของเราให้ตายช้าที่สุด สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยมีปัจจัยขั้นพื้นฐานที่สุดที่จะสามารถมีชีวิตอย่างมีมาตรฐานขั้นต่ำในสังคมหรือในรัฐที่ตนสังกัดอยู่ได้…นี่คือหน้าที่ของรัฐ
แต่ด้วยการพัฒนาของระบบทุนนิยมเสรี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ผ่านรัฐและนายทุน’ มันก็เข้าไปทำลายหรือ abuse เงื่อนไขการแลกเปลี่ยนที่ว่านี้ ที่รัฐควรจะให้ความสำคัญกับ ‘ความมั่นคงของมนุษย์’ (Human security) ให้มันได้รับการคุ้มครองอยู่ว่าอย่างน้อยๆ คนก็จะได้อยู่ในฐานะคน ไม่ใช่ไพร่ทาสอีกต่อไป แต่ในกระบวนการของทุนนิยมเสรีผ่านอำนาจของรัฐและนายทุนนั้น มันได้ผลักให้คนส่วนใหญ่ของโลกกลับสู่สถานะของการเป็นไพร่ทาสของระบบทุนอีกครั้ง โดยเฉพาะการขูดรีดแรงงานทั้งทางกายและทางใจ กับค่าแรงที่ไม่สมเหตุสมผล หรือการจ่ายภาษีไปแล้วแต่ไม่เคยได้สวัสดิการกลับมาอย่างที่พึงจะได้รับ สุดท้ายก็แทบจะต้องขุดรากไม้หรือแทะฝาบ้านกินกันอยู่ดี นี่คือสภาพของโครงสร้างทางการเมืองและวัฒนธรรมที่ครอบงำกำกับสังคมอยู่
ฉะนั้นการวิ่งเพื่อการกุศล หรือการทำการกุศลใดๆ และการบริจาคใดๆ ในแง่นี้มันจึงผิด เพราะมันคือกระบวนการสร้างความรุนแรงผ่านโครงสร้างอำนาจรัฐในระบบทุนที่กำลังย่ำยีเราอยู่แล้ว ‘ด้วยการไม่ทำหน้าที่ของมัน ให้ไม่ต้องทำหน้าที่หนักขึ้นไปอีก’
ทั้งยังเป็นการหลอกให้ความหวังกับประชาชนของที่ตกอยู่ในระบบโครงสร้างนี้ว่า “เฮ้ย! ชีวิตยังมีความหวังนะ ระบบทุนนิยมเสรีเปิดโอกาสให้เพื่อนมนุษย์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน” แล้วประชาชนก็แทะฝาบ้านไปขุดรากไม้ไปช่วยกันเองไป ขณะที่นายทุนใหญ่กับรัฐผู้อิ่มเอิบกับการสปอยล์ของระบบทุนก็นั่งตีขานอนตีพุงมีความสุขกันไป
ฉะนั้นในแง่นี้ จากมุมมองของหอคอยงาช้างอันไกลโพ้นแล้ว มันก็จะได้คำตอบสุดขอบไปอีกทาง ผมไม่ได้คิดว่าเราจะต้องเชื่อหอคอยงาช้างเป็นพิเศษกว่ามุมมอง ‘ชั้นอื่นๆ’ อะไร มันมีทั้งประโยชน์ของมันและโทษของมัน มุมมองจากหอคอยนั้นมันช่วยผลักพรมแดนทางความคิดของเรา ให้เห็นเขตแดนใหม่ๆ พื้นที่ใหม่ๆ ปัญหาใหม่ๆ หรือแม้แต่ทางเลือกใหม่ๆ รวมไปถึงที่สำคัญที่สุดมันช่วยให้เราได้ตรวจทานความคิดและจุดยืนของเราได้อย่างถี่ถ้วนรอบด้านขึ้นด้วย แต่พร้อมๆ กันไปมันก็มีข้อเสียของมันเหลือเกินเพราะบ่อยๆ ครั้งมันอยู่ห่างไกลกับความเป็นจริงที่ ‘ทำได้’ ณ ตอนนี้เสียเหลือเกิน ฉะนั้นหากจะมัวแต่หัวเด็ดตีนขาดยึดตามโลกของหอคอย ก็คงจะตายห่ากันหมดเหมือนกัน (นี่พูดตามตรงในฐานะมนุษย์สายหอคอยคนหนึ่ง)
สุดท้ายผมคิดว่าจุดยืนส่วนตัวของผมต่อเรื่องนี้คือง่ายๆ ครับ ผมไม่คิดว่าการวิ่งของพี่ตูนมันผิด แต่พี่ตูนไม่ควรจะต้องมาวิ่ง “ถ้าจะมีใครที่ควรจะต้องลงมาวิ่ง ผมคิดว่าน่าจะเป็นบิ๊กตู่ รมต. กลาโหม หรือ ผบ.เหล่าทัพต่างๆ ถ้าอยากได้เครื่องบินรบ รถถัง เรือดำน้ำอะไร มาวิ่งขอเงินบริจาคเอาเลยครับ ได้เงินบริจาคเท่าไหร่ อยากเอาไปซื้อยังไงผมจะไม่ว่าอะไรเลย แล้วเอาเงินภาษีมาทำหน้าที่จริงๆ ของมันอย่างประกันสวัสดิการให้กับประชาชนเอาครับ!”
อ้างอิงข้อมูลจาก
[1] โปรดดู www.thairath.co.th
[2] โปรดดู www.facebook.com/thematterco
[3] โปรดดู prachatai.com