กระทรวงสาธารณสุขเพิ่งจะผุดโครงการ ‘ส่งเสริมสาวไทยแก้มแดง มีลูกเพื่อชาติ ด้วยวิตามินแสนวิเศษ’ ซึ่งเป็นแคมเปญที่ทั้งสนับสนุน ทั้งส่งเสริม ให้สาวๆ วัยเจริญพันธุ์ อายุระหว่าง 20-34 ปี ที่มีความพร้อมความตั้งใจ และอยากจะวางแผนมีลูกทุกคน ด้วยการให้ไปรับวิตามินแสนวิเศษฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย
ที่เรียกว่า ‘วิตามินวิเศษ’ นี่ทางกระทรวงฯ เขาให้ข้อมูลมาว่า เพราะเป็นวิตามินเสริมธาตุเหล็กและโฟลิก ที่เมื่อกินสัปดาห์ละครั้ง รวม 12 สัปดาห์ก่อนการตั้งครรภ์แล้ว จะช่วยให้คุณแม่คลอดได้อย่างปลอดภัย ส่วนคุณลูกก็จะแข็งแรงอย่างมีคุณภาพ วิตามินอย่างนี้ถ้ารู้จักแล้วไม่ร้อง “ว้าววววว” ดังๆ และไม่เรียกว่า วิตามินวิเศษ ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วนะครับ (ส่วนถ้าเป็นสาวแก้มดำๆ แก้มไม่แดง และไม่ขาวอมชมพู นี่ก็ไม่แน่ใจนะครับว่า ทางกระทรวงฯ เขาจะยอมมอบวิตามินที่วิเศษขนาดนี้ให้ฟรีๆ หรือเปล่า?)
การที่อยู่ๆ กระทรวงฯ เขาต้องลุกขึ้นมาเทคแอ็คชั่นอะไรกับเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่า อัตราการเพิ่มจำนวนประชากรของประเทศไทยกำลังลดลงอยู่นั่นเอง จากเดิมที่เคยเพิ่มขึ้น 2.7 เมื่อ พ.ศ. 2513 เหลือเพียงร้อยละ 0.4 ตามสถิติเมื่อ พ.ศ. 2558 แนวโน้มอย่างนี้ทำให้มีการคาดการณ์กันเอาไว้ว่า อัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรไทย จะเหลือเพียงร้อยละ 0 คือมีอัตราการเกิดเท่ากับการตาย ภายในสิบปีข้างหน้านี้เลยทีเดียวนะครับ
อันที่จริงแล้ว ถ้าเราจะเอาตัวซุกเข้าไปในบรรดาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เรามีอยู่ ก็จะเห็นได้โดยแทบจะไม่ต้องสังเกตกันเลยว่า
บ้านนี้เมืองนี้ ที่ในปัจจุบันรู้จักกันในชื่อของ ประเทศไทย มีปัญหาคนน้อยมาโดยตลอด เพียงแต่ไม่ใช่ด้วยปัจจัยเรื่องอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะยังมีเงื่อนไขอื่นๆ อีกให้เพียบ
เมื่อครั้งที่อยุธยาของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เสียกรุงครั้งที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2112 ผู้คนของอยุธยาก็ถูกกวาดต้อนออกไปเป็นเชลย เจ้าเมืองพิษณุโลก (ซึ่งก็คือพระราชบิดาของ สมเด็จพระนเรศวร) ที่ลงมาครองกรุงศรีอยุธยาสืบต่อแทน ซึ่งทรงพระนามว่า พระมหาธรรมราชา จึงทรงตกอยู่ในภาวะขาดแคลนคน จนต้องไปเกณฑ์เอาคนในพิษณุโลก สุโขทัย กำแพงเพชร อะไรเทือกๆ นั้น ลงมาอยู่ที่อยุธยากันให้เพียบไปหมด
ลักษณะในทำนองเดียวกันก็เกิดขึ้นในคราวกรุงแตกครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2310 เพราะพวกอังวะ แห่งราชวงศ์อลองพญา ที่รบชนะกรุงศรีอยุธยา ก็เกณฑ์เอาไพร่พลคนอยุธยาจากไปเหมือนเดิม เมื่อรัชกาลที่ 1 ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นมา จึงต้องมีการไปเกณฑ์เอาไพร่พลคนลาวบ้าง เขมรบ้าง จีนบ้าง มอญบ้าง และอื่นๆ อีกสารพัด มาอยู่ในกรุงเทพฯ เสียให้เพียบ (อ้อ! และก็ต้องรอให้คนพวกนี้อยู่กันไป ผสมปนเปกันไป จนไม่รู้ใครเป็นใครแล้วจึงค่อยเรียกแบบเหมารวมกันไปว่านี่แหละ คนไทย กรุงเทพฯ :P)
ไม่ต้องสังเกตก็คงจะเห็นชัดๆ กันอยู่แล้วว่า กรุงศรีอยุธยาแตกทั้งสองครั้ง ไม่ว่าจะเป็นหงสาวดี หรืออังวะ ก็ไม่มีใครจะยึดครองอยุธยาเอาไว้เลย ดังนั้นสิ่งที่รัฐสมัยโบราณ ในภูมิภาคอุษาคเนย์ของเรานี้ต้องการจากสงครามก็คือ ‘คน’ นะครับ ไม่ใช่ ‘ดินแดน’ หรือพื้นที่ เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือ ไพร่พล (ส่วนจะเอาไปทำอะไรนั้นก็เป็นอีกเรื่อง) เพราะกำลังคนนี่แหละ เป็นอะไรที่มีค่าที่สุดแล้วสำหรับรัฐโบราณในภูมิภาคนี้
ดังนั้นอีกทีก็คือ ไม่ใช่แค่ไทยที่ประสบปัญหาคนน้อย รัฐโบราณอื่นในอุษาคเนย์ก็เป็นเหมือนกันหมด อย่างน้อยก็หงสาวดี แล้วก็อังวะ ที่ปัจจุบันอยู่ในประเทศพม่านี่แหละ
คำถามที่สำคัญก็คือ เรายังอยู่ในโลกยุคที่มีเงื่อนไข และปัจจัยต่างๆ อย่างในรัฐโบราณเหล่านี้กันหรือเปล่า จึงต้องการจำนวนคนให้มากเข้าไว้?
ปาฐกถาครั้งหนึ่งของหลวงวิจิตรวาทการ บรมกุนซือของอดีตท่านผู้นำคนสำคัญของประเทศอย่าง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ดูจะแสดงตะกอนตกค้างของความเป็นรัฐโบราณอย่างนี้ได้เป็นอย่างดี ดังความใน ‘ปาฐกถาเรื่องการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรั่งเศส’ เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2482 ที่ว่า
“…ถ้าหากเราได้ดินแดนที่เสียไปนั้นคืนมา เรามีหวังที่จะเป็นมหาประเทศ…ในไม่ช้าเราจะเป็นประเทศที่มีดินแดนราว 9,000,000 ตารางกิโลเมตร และมีพลเมืองไม่น้อยกว่า 40 ล้านคน เราจะเป็นมหาประเทศ…”
น่าสนใจนะครับ ‘มหาประเทศ’ ของหลวงวิจิตรวาทการ แค่มีพื้นที่ใหญ่ๆ และก็คนมากๆ ก็พอแล้ว หลวงวิจิตรฯ ท่านไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมอยู่ในปาฐกถาครั้งนั้นเลยแม้แต่น้อยว่า รัฐไทยจะจัดการกับพื้นที่ใหญ่ๆ และประชากรมากๆ เหล่านั้นยังไงบ้าง? แต่ในยุคที่มีคำขวัญแบบ ‘เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย’ แล้ว รัฐก็ไม่ได้ต้องการให้ใครคิด พวกเขาต้องการให้ไพร่ฟ้าหน้าใสฟังแล้วก็เชื่อๆ ไปเหอะ อย่าคิดอะไรจะดีกว่า
และสำหรับบรรดาท่านผู้นำทั้งหลายเท่าที่เคยปรากฏมาในประวัติศาสตร์นั้น การมีกำลังคน (ที่พร้อมจะเชื่อโดยไม่สงสัย) ก็เป็นการแสดงถึงแสนยานุภาพของรัฐที่เขาปกครองอยู่ทั้งนั้นแหละ
ผมไม่ได้หมายความว่า การมีคนมากๆ จะไม่ดีไปซะทั้งหมดนะครับ แค่จะเสนอว่าการมีจำนวนประชากรที่เหมาะสมกับโครงสร้างอื่นๆ ที่รัฐมี และวางแผนจะพัฒนาให้มี น่าจะดียิ่งกว่า
ปัญหาก็คือไอ้ที่มีๆ อยู่นี่มันน่าจะเรียกว่าไม่เหมาะสม และดูจะยังไม่มีแผนงานที่จะพัฒนาให้มันเหมาะสมเลยนี่สิ (ถ้ายังนึกไม่ออกก็ขอให้นึกถึง ระบบสื่อสารมวลชน ที่ต้องทนกันอยู่ทุกวันเป็นตัวอย่างดูก่อน แล้วค่อยลองคิดขยายต่อเนื่องไปยังเรื่องอื่นๆ ดูก็ได้เนาะ)
จากข่าวของเว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุขเอง ก็ดูเหมือนทางกระทรวงฯ จะทราบดีอยู่แล้วว่า สังคมของเราไม่ได้ยืนอยู่บนตำแหน่งแห่งที่เดิมเดียวกันกับรัฐในยุคโบราณเหล่านั้น อันที่จริงแล้ว ทางกระทรวงฯ เองยังทราบถึงปัจจัยที่ทำให้อัตราการเพิ่มของจำนวนประชากรลดลงเลยด้วยว่า วิถีชีวิตคนไทยเปลี่ยนไปทำให้ผู้หญิงมีการศึกษาที่สูงขึ้น ค่านิยมของคนรุ่นใหม่ที่จะอยู่เป็นโสดมากขึ้น (การอยู่คานไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คนรุ่นก่อนคิด!) แต่งงานน้อยลงและช้าลง เป็นต้น แต่ทำไม้ (กรุณาอ่านแล้วลากเสียงยาวระดับ ม.ม้า 28 ตัว ด้วยเสียงสูงเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่าน) ชื่อของแคมเปญนี้ถึงไปเน้นที่การ ‘มีลูกเพื่อชาติ’
เพราะอันที่จริงแล้ว ทางกระทรวงฯ ก็ยังแถลงไว้อีกด้วยว่า จากสถิติเมื่อ พ.ศ. 2558 อีกเหมือนกัน อัตราการเสียชีวิตของคุณแม่จากการคลอดเด็กอยู่ที่ 20 ต่อหนึ่งแสนคน โดยส่วนใหญ่เกิดจากการตกเลือดหลังจากคลอด คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ก็มีภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กถึงร้อยละ 39 เลยทีเดียว และมีทารกคลอดก่อนกำหนดร้อยละ 10.4 แถมที่ไม่ตายแต่ว่าพิการตั้งแต่กำเนิดก็มีมากถึงร้อยละ 7 นี่ยังไม่นับอีกสารพัดข้อมูลเกี่ยวกับเด็กๆ ที่รอดชีวิตต่อไปได้อย่าง เด็กปฐมวัยขาดสารอาหาร ร้อยละ 16.8 หรือเด็กมีพัฒนาการไม่สมวัย ร้อยละ 27.3 เป็นต้น
บรรดาสารพัดปัญหาประดามีเหล่านี้ สามารถใช้เป็นดัชนีชี้วัดภาวะของปัญหาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ ซึ่งเรียกกันสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า ‘ภาวะเด็กเกิดน้อย ด้อยคุณภาพ’
ตรงนี้ต่างหาก ที่ทำให้ชวนรู้สึกว่าบรรดาว่าที่คุณแม่เธอควรจะไปรับวิตามินแสนวิเศษอะไรนั่น จากกระทรวงฯ มาโด๊ปกันเสียหน่อย (ไม่ว่าแก้มเธอจะดำ หรือหนังหน้าเธอจะผ่านมาตรฐานของกระทรวงฯ หรือไม่ก็ตาม) เพื่อจะได้ช่วยลดปัญหาต่างๆ ดังกล่าว โดยไม่ต้องไปสนว่าพวกเธอจะมีลูกเพื่อชาติ เพื่อสืบวงศ์สกุล เพื่อตัวของเธอเอง หรือจะเพื่อความที่ชวนอนิจจังอะไรทั้งนั้นก็ตาม
เพราะประชากรที่มีคุณภาพย่อมทำให้ประเทศชาติพัฒนาแน่ แต่ประชากรที่มีปริมาณมากไม่แน่ว่าจะช่วยให้ประเทศก้าวหน้าไปไหนได้เสียหน่อย