ปักหมุดไว้เลยว่าปี ค.ศ. 2019 นี้ งานวิจัยลงวารสาร Science ระบุแล้วว่า จากการอาศัยหลักฐานการเก็บข้อมูลประชากรในอังกฤษและอเมริกา ไม่พบว่ามีหน่วยพันธุกรรมใดที่มีอิทธิพลหรือทำหน้าที่กำหนดมนุษย์ให้มีพฤติกรรมรักเพศเดียวกันหรือที่มักเรียกกันว่า ‘ยีนเกย์’ โดยเฉพาะ งานวิจัยพบแต่เพียงว่า จะมีเพียงยีนบางตัวที่สามารถผันแปรทางอ้อมกับเพศวิถีเพศสภาพได้ ซึ่งจะมีโอกาสทำให้เป็นเกย์ได้เพียง 1% เท่านั้น และพันธุกรรมจากครอบครัวจะมีผลเพียง 25% ต่อเพศสภาพเพศวิถีของทายาท ซึ่งเท่ากับเป็นงานวิจัยที่ล้มล้างชุดอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่มีมายาวนานว่า คนรักเพศเดียวกันเกิดจากยีน
อ๊ะๆ อย่าเพิ่งตื่นเต้น ตกอกตกใจ ปีหน้าอาจจะมีโปรเจกต์วิจัยออกมาบอกว่า LGBTQ เกิดจากพันธุกรรมมาแก้ก็ได้
เพราะขนาดก่อนหน้านั้น เพียงสองปี ในปี ค.ศ. 2017 ก็มีผลงานวิจัยลงวารสาร Nature Scientific Reports ว่าเหตุที่ผู้ชายเป็นเกย์ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากพันธุกรรมและชีวเคมีของแม่ขณะท้อง และหน่วยพันธุกรรมที่ ‘ผิดปกติ’ สองตัว คือยีน SLITRK6 มีผลต่อสมองส่วนที่มี hypothalamus ที่พบในสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมทุกชนิด ทำหน้าที่เชื่อมโยงการทำงานของระบบประสาทและระบบต่อมไร้ท่อ และยีน TSHR ซึ่งควบคุมการทำงานของต่อมไทรอยด์ นอกจากนี้ขนาดของส่วน hypothalamus ในสมองที่มีขนาดเท่าๆ อัลมอนด์ของชายเกย์และชายทั่วไปนั้นก็มีขนาดไม่เท่ากัน และเกย์ก็มักจะมีอาการต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป จนทำให้มีรูปร่างผอมบางกว่าชายทั่วไป[1]
แต่ไม่ว่าอย่างไรการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และสถิติเช่นนี้อยู่บนพื้นฐานที่เชื่อว่ารักเพศเดียวกันเป็นสิ่งผิดปกติ มีเพียงรักต่างเพศเท่านั้นที่ปกติ จึงไม่ต้องมานั่งศึกษาว่าคนรักต่างเพศเกิดจากอะไร ราวกับรักเพศเดียวกันเป็นความเจ็บป่วยที่ต้องบำบัดรักษาป้องกัน ดูอาการ หาสาเหตุ หาพาหะ เหมือนจะต้องการควบคุมโรคระบาด
และทันทีที่มันถูกอธิบายในนามของสายวิทย์เท่านั้นแหละ ก็จะถูกทำให้กลายเป็นข้อเท็จจริง และที่ถูกมองว่าเป็นความรู้ตายตัวจริงแท้แน่นอน เหมือนเมื่อปี ค.ศ.1993 ที่มีชุดอธิบาย ‘ยีนเกย์’ ของนักวิทยาศาสตร์นักพันธุศาสตร์ ก็กลายเป็นว่ารักเพศเดียวกันเกิดจากความผิดปกติของยีนที่ติดตัวมาแต่เกิด
‘ยีนเกย์’ จึงกลายเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งของการสร้างการยอมรับคนรักเพศเดียวกัน ให้คนในครอบครัวทำใจยอมรับ เพราะมาจากพันธุกรรมพ่อแม่ปูย่าตาทวดที่ล้วนแล้วเป็นพาหะ แล้วก็ส่งมอบเป็นมรดกมาให้ลูกหลานเอง จะมาด่าทอไม่รักได้ไง ไม่ว่าจะจริงหรือจ้อจี้ ในบริบทหนึ่งยีนเกย์จึงมีคุณูปการในการอธิบายและช่วย defend แทนว่า รักเพศเดียวกันไม่ใช่โรคจิต ไม่ใช่เพราะโดนหลอกลวง ตามเพื่อน ตามแฟชั่น หรือเลียนแบบจากทีวี หากแต่เป็นเรื่องชีวภาพ
แต่ถ้าเราหากเชื่อว่า เป็นเกย์เพราะถูกกำหนดมาแล้วโดยยีนในร่างกาย ชีววิทยาก็จะไม่ต่างอะไรกับบุญธรรมกรรมแต่ง บาปติดตัวแต่ชาติภพก่อน ที่กำหนดเพศสภาพเพศวิถีมนุษย์และติดตัวแต่กำเนิด อาจจะช่วยให้มีที่ยืนในสังคมได้ แต่ก็ในฐานะผู้ที่น่าสงสาร เป็นความผิดพลาดทางพันธุกรรม มีความพิกลพิการ ต้องการความเมตตาเอื้ออาทรเพราะ ‘เลือกเกิดไม่ได้’ เหมือนกับเป็นกรรมเก่า
ทั้งที่อันที่จริงเกย์ไม่ใช่เลือกเกิดไม่ได้ หากแต่เป็นเสรีภาพในการเลือกเพศสภาพเพศวิถีของแต่ละปัจเจกบุคคล
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าวิทยาศาสตร์จะเชื่อถือไม่ได้ เพียงแต่เราคงไม่บ้องตื้นถึงขั้นประกาศกร้าวว่างานวิจัยวิทยาศาสตร์โดยเนื้อแท้เชื่อถือได้กว่าสังคมศาสตร์ เพราะเป็นการทดลองเชิงประจักษ์ มีกระบวนการค้นคว้าชัดเจนไม่ใช่นั่งมโนทึกทักตีความเอาเองหมือนสายสังคมศาสตร์
เพราะผลผลิตทางวิชาการสายวิทย์และการแพทย์ก็มีไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้เสมอไป ไม่ต้องไปถึงเรื่องรักเพศเดียวกันหรอก แค่เรื่องชีวภาพชาย-หญิง ในแต่ละยุคสมัยผลการศึกษาก็ออกมาไม่เหมือนกัน
ก่อนศตวรรษที่ 18 นักกายวิภาค หมอ และนักปรัชญาในยุโรปต่างเชื่อและอธิบายกันมาตลอดว่า เพศหญิงเป็นเพศที่พัฒนาอวัยวะร่างกายของตนเองไม่เท่ากับของเพศชายที่สมบูรณ์แบบแล้ว โมเดลร่างกายมนุษย์ที่เพอร์เฟกต์ก็เห็นได้จากของผู้ชาย ที่กระโปกและกระปู๋ยื่นออกมาเป็นงวงอยู่ด้านนอก ไม่เหมือนผู้หญิงที่กระปี๋ของพวกหล่อนนั้น นอกจากจะไม่ยื่นออกมาแล้ว ซ้ำยังด้วนและมุดหุบเข้าไปอยู่ข้างในร่างกาย
สมัยนั้นยังอธิบายกันอีกว่า กายภาพของพวกผู้หญิงยังเย็นและชื้นแฉะโดยธรรมชาติ ตรงกันข้ามกับผู้ชายที่แห้งและอบอุ่น ด้วยเหตุนี้พลังงานและระบบเผาผลาญจึงต่างกัน น้ำเชื้อของทั้งผู้หญิงกับผู้ชายที่กลั่นมาจากเลือดที่เป็นของเหลวสำคัญในร่างกายนั้นจึงแตกต่างกันด้วย น้ำกามของผู้หญิงที่ออกมาจึงมีน้อยกว่า เย็นกว่า และสีเข็ม (เขาหมายถึงประจำเดือน) ไม่ใสบริสุทธิ์เท่าผู้ชาย นั่นเพราะอวัยวะยังพัฒนาไม่สมบูรณ์พอ[2]
และสำหรับเพศชายที่ระบบเผาผลาญดีกว่าจนน้ำเชื้อใสและขาวกว่า ก็มีงานวิทยาศาสตร์ออกมาห้ามปรามว่า การช่วยตัวเองสะเด็ดน้ำเชื้อออกบ่อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องดี ในปี ค.ศ.1745 คุณหมอ Robert James ได้เสนอผลงาน ‘A Medicinal Dictionary’ ว่าการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเป็นความเบี่ยงเบนและผิดปรกติที่น่ารังเกียจน่าตำหนิอย่างที่สุดและก็รักษาไม่หาย เช่นเดียวกับ คู่มือทางการแพทย์ L’Onanisme ปี ค.ศ.1769 ของคุณหมอ Samuel-Auguste Tissot กล่าวว่าน้ำเชื้อของผู้ชายเป็นสารน้ำมันหล่อลื่นจำเป็นพื้นฐานของร่างกาย ไม่ควรปล่อยออกให้สูญเสียไปอย่างสิ้นเปลือง เพราะจะก่อให้เกิดร่างกายอ่อนแอ อวัยวะอ่อนเปลี้ย โรครูมาติซึม เส้นประสาทผิดปกติ
ศีลห้ามชักว่าวของคุณหมอในช่วงเวลานั้นเป็นชุดความรู้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่แยกไม่ออกจากศาสนาดังที่ Balthazar Bekker นักปรัชญาและเทววิทยาออกแผ่นพับที่ชื่อ ‘Onania’ (อัตกาม) ในปี ค.ศ.1716 ว่าสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเป็นการทำร้ายตนเอง เป็นบาปที่เลวร้าย ทำให้ร่างกายเป็นพิษ หูหนวกตาบอด ปวดหลัง ความจำเสื่อม หมดพลังงาน[3]
ความเชื่อทางการแพทย์กึ่งศีลธรรมเช่นนี้สืบทอดข้ามทศตวรรษมาสู่ Le livre sans titre (The Book With No Title) ในปี ค.ศ.1830 เตือนเด็กหนุ่มเกี่ยวกับการชักว่าวว่าไม่เพียงเป็นความผิดทางศีลธรรมยังทำลายสุขภาพเจ็บไข้ได้ป่วยถึงตายได้ ยิ่งชักว่าวมากๆ ตัวจะเตี้ย หูหนวก ตาบอด หลังคร่อม แก่ก่อนวัยอันควร ปวดท้องน้ำย่อยมีปัญหา ผมร่วงหัวโล้น สติฟั่นเฟือน รบกวนการพักผ่อนนอนไม่หลับ อ้วกไอเป็นเลือด เจ็บไข้ได้ป่วยถึงตายได้[4]
คำเตือนเรื่องการช่วยตัวเองยุค enlightenment และยุคปฏิวัติวิทยาศาสตร์นี้ ไม่ว่าจะทำให้ขนขึ้นที่ฝ่ามือหรือตาบอด ก็ไม่ต่างไปจากข้างซองบุหรี่ที่เราเห็นกันทุกวันนี้แหละ
แม้ความรู้ทางสายวิทย์จะไม่เสถียร ผิดๆ ถูกๆ เมื่อเวลาเปลี่ยน แต่ก็ไม่ถึงกับมั่นหน้ามั่นโหนก เที่ยวไปสอนสั่งชาวบ้านว่า วิทยาศาสตร์ไม่ใช่ศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่อะไร สิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ใช่ว่าไม่มีอยู่จริง อย่าศรัทธาในวิทยาศาสตร์อย่างหัวปักหัวปำหรืองมงายในวิทยาศาสตร์นัก แล้วไปอวดอุตริว่าบางปรากฏการณ์ของศาสนาพุทธ ที่มนุษย์ในอดีตกาลสามารถกำหนดร่างกายให้เหาะเหินเดินหาวได้ เพราะมีจิตที่เข้มแข็ง
อันที่จริงวิทย์กับศาสนาไม่มีความจำเป็นต้องมาบลัฟกัน วิทยาศาสตร์กับศาสนาความเชื่อก็มีบทบาทหน้าที่คล้ายๆ กัน ไม่เพียงพยายามอธิบายและสร้างชุดความจริงทางธรรมชาติ แต่ยังกำหนดหลักปฏิบัติให้กับมนุษย์ มันจึงมีทั้งวิทยาศาสตร์การแพทย์ และแพทย์วิถีธรรมและยาอายุวัฒนะสไตล์สันติอโศก ที่ฉี่สามารถใช้รักษาโรคภัยไข้เจ็บ หยอดตา กลั้วคอ ทาแผล กวาดลิ้น ดื่มแก้ฟกช้ำแก้ปวดเมื่อย รักษาตนเอง โดยพึ่งตำราศาสนาหลายพันปีก่อนจะมียาปฏิชีวนะ
ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติจึงมีหลากหลาย ‘ชุดความจริง’ ตั้งแต่ธรรมชาติของจักวาลคือโลกแบนมีศูนย์กลางจักรวาลคือเขาพระสุเมรุ สวรรค์อยู่บนฟ้านรกอยู่ใต้ดิน โลกมนุษย์พื้นพิภพนี้เกิดจากพระเจ้าสร้างโลกภายใน 6 วัน บ้างก็ว่ามนุษย์เกิดจากก้อนดินที่ปู่สังกะสาย่าสังกะสีปั้นขึ้นมา จันทรุปราคาเกิดเพราะพระราหูอมพระจันทร์ น้ำท่วมภัยแล้งเกิดขึ้นก็เพราะในแต่ละปีมีนาคให้น้ำไม่เท่ากัน และที่เกิดแผ่นดินไหวก็เพราะปลาอานนท์ที่ค้ำโลกอยู่ใต้ดินพลิกตัว
นึกถึงวิชาภูมิศาสตร์ แล้วอาจารย์กางไตรภูมิพระร่วงสอนแทน atlas ดิ
ขณะที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่นั้น ดาวพลูโตที่ถูกบรรจุอยู่ในระบบสุริยะตั้งแต่ปี ค.ศ.1930 ก็ถูก International Astronomical Union ลดสถานะจากดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ เป็นเพียงดาวเคราะห์แคระ (dwarf planet) อย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ.2006[5] ขณะที่เพศวิถีรักเพศเดียวกันถูกกำหนดให้เป็นโรคทางจิตในคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต (The Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders) ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์การวินิจฉัยความผิดปกติทางจิตโดยสมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกา (the American Psychiatric Association) และถูกอ้างอิงอย่างกว้างขวางโดยแพทย์ นักวิจัย ผู้ผลิตและผู้ตรวจสอบคุณภาพยาในทางจิตเวช บริษัทประกันภัย นโยบายของรัฐทั้งในสหรัฐอเมริกาและที่อื่นๆ ทั่วโลก ในปี ค.ศ.1974 เค้าถอดถอนคนรักเพศเดียวกันออกไปแล้ว และตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 องค์การอนามัยโลก WHO ก็ได้ถอดคนรักเพศเดียวกันออกจากกลุ่มผิดปกติทางจิต
ดาวพลูโต สุขภาพจิตของคนรักเพศเดียวกัน และยีนเกย์ จึงเป็นความรู้ที่ไม่ต่างกันนัก
อ้างอิงข้อมูลจาก
[1] www.ncbi.nlm.nih.gov ; www.bbc.com
[2] Cecilia Tasca, Mariangela Rapetti, Mauro Giovanni Carta, Bianca Fadda. (2012). Women And Hysteria In The History Of Mental Health. Clinical Practice & Epidemiology in Mental Health, 8, pp. 110-119. ; Stephanie E. Libbon. (2007, May). Pathologizing the Female Body: Phallocentrism in Western Science. Journal of International Women’s Studies. Vol. 8 (4), Pp. 79-92.