กล้าให้คนอื่นส่องดูประวัติการสืบค้นข้อมูล Google ของเราไหม สำหรับหลาย ๆ คน แน่นอนว่า ไม่ ชีวิตในอินเทอร์เน็ตของเราต่างกลายเป็นโลกเร้นลับส่วนตัวยิ่งกว่าห้องนอน หลายคนอาจรู้สึกว่าการแอบสอดส่องชีวิตออนไลน์นั้นเป็นการคุกคามที่น่ากลัว ประวัติการสืบค้นข้อมูล Google Search อาจเป็นแหล่งเก็บบันทึกความลับหรือด้านมืดของจิตใจที่คนเรามักไม่บอกใคร
Seth Stephens-Davidowitz เคยเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านข้อมูลที่ Google ก่อนที่จะทำอาชีพนี้ เขาเริ่มต้นส่องดู Google Trend ทุกวันเป็นเวลาหลายปีตั้งแต่เปิดให้บริการ เขาได้ทดลองและพบข้อมูลที่น่าสนใจมากมาย เช่น ชาวอเมริกันอาจเหยียดผิวกว่าที่ตัวเองยอมรับ โดยดูจากการสืบค้นคำว่า Nigger ที่มีเยอะ
เขาได้รวบรวมข้อมูลผลการวิจัยอันเกิดจากการใช้ big data ที่ทำให้ได้ insight ของคนในโลกที่น่าสนใจ แล้วใส่ไว้ในหนังสือ Everybody Lies: Big Data, New Data, and What the Internet Can Tell Us About Who We Really Are (ใครๆ ก็โกหก: บิ๊กดาต้า, นิวดาต้า และอินเทอร์เน็ตบอกอะไรได้บ้างว่าจริงๆ แล้วเราเป็นอย่างไร)
Xavier Amatriain อดีตนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลของ Netflix กล่าวว่า
“The algorithms know you better than you know yourself.”
“อัลกอริทึมรู้จักคุณ มากกว่าคุณรู้จักตัวเองเสียอีก”
เพราะมนุษย์ไม่เที่ยง เสี่ยงต่อความรู้สึกและอคติ
คนเรามักให้นํ้าหนักกับประสบการณ์ที่พบเจอมาจนเกิดอคติ Seth Stephens-Davidowitz ยกตัวอย่างคุณยายของเขาที่อายุเข้าวัย 88 ปี ย่อมมีข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตคู่และการหย่าร้างมามากมายในชีวิตที่ยาวนาน จากคนที่พบเจอ คุณยายแนะนำเคล็ดลับชีวิตคู่กับเขาว่า “หลานควรหาคู่ชีวิตที่มีเพื่อนร่วมกันเยอะๆ และมีความสนใจร่วมกัน” อาจเป็นเพราะคุณยายอาจจะมีชีวิตคู่ที่ดีและยืนยาวกับคุณตาด้วยเหตุผลนี้
แต่งานวิจัยหัวข้อ ‘สถานะคู่รักกับกลุ่มสังคม’ โดยทีมนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จาก Facebook กลับพบว่า การมีเพื่อนร่วมกลุ่มกัน (mutual friends) ของคู่รัก ทำให้สามารถคาดคะเนได้ว่าความสัมพันธ์มักจะจบลง ไม่ได้เพิ่มโอกาสให้คู่รักรักกันยาวนานขึ้นเลย การที่คู่รักมีเพื่อนคนละกลุ่มอาจทำให้ความสัมพันธ์แข็งแรงยืนยาวกว่า (และตอนเลิกกันก็อาจจะใช้ชีวิตง่ายกว่า)
มนุษย์อย่างเราๆ มักให้ความสำคัญกับความทรงจำที่มีความรู้สึกมาเกี่ยวข้อง จากผลสำรวจ คนเชื่อว่าทอร์นาโดทำให้คนตายมากกว่าโรคหอบหืด (Asthma) แต่จริงๆ สาเหตุการตายด้วยโรคนี้สูงกว่าพายุทอร์นาโดถึง 70 เท่า
ดังนั้นข้อคิดชีวิตจากคุณยายหนึ่งคน ที่แม้จะผ่านประสบการณ์มามาก อาจให้ผลข้อมูลที่ไม่แข็งแรงเท่าการศึกษาความสัมพันธ์จากคู่รักเป็นพันๆ หมื่นๆ คู่จากข้อมูลขนาดใหญ่หรือ big data ซึ่งอาจเพราะ คุณยายอาจลืมไปว่าจริงๆ แล้วมีคนรู้จักหลายคนที่แต่งงานกันโดยที่มีเพื่อนคนละกลุ่มแต่ก็ยังรักกันดีอยู่เหมือนกัน
อาจเพราะคุณยายได้แอบให้นํ้าหนักประสบการณ์ที่เกิดกับตัวเองเป็นสำคัญโดยไม่รู้ตัว ก็อาบนํ้าร้อนมาก่อน ข้อคิดชีวิตคู่จากคุณยายก็อาจจะไม่จริงเสมอไป แม้ผ่านประสบการณ์มามาก
มนุษย์อย่างเราๆ มักให้ความสำคัญกับความทรงจำที่มีความรู้สึกมาเกี่ยวข้อง จากผลสำรวจ คนเชื่อว่าทอร์นาโดทำให้คนตายมากกว่าโรคหอบหืด (Asthma) แต่จริงๆ สาเหตุการตายด้วยโรคนี้สูงกว่าพายุทอร์นาโดถึง 70 เท่า แต่เพราะไม่ค่อยปรากฏเป็นข่าว เราให้ความรู้สึกมามีผลกับนํ้าหนักของข้อมูลอยู่เสมอ ในขณะที่ big data ให้นํ้าหนักของทุกความถี่ข้อมูลเท่าๆ กัน จึงอาจได้ผลที่เที่ยงตรงกว่า
Google Trend ส่องความลับชาวโลกจากสิ่งที่เสิร์ช
Google Trend เป็นโปรเจกต์ของ Google ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2009 ในตอนเริ่ม มักถูกปฏิเสธที่จะใช้เป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ในวงการวิชาการ แต่การสืบส่องค้นข้อมูลในช่องเสิร์ช่วยให้ค้นพบความจริงๆ หลายอย่าง ที่อาจนำไปสร้างข้อสันนิษฐานต่อยอดได้ เครื่องมือนี้จึงอาจทำให้เราเข้าถึงความคิดคนในโลกในปริมาณมหาศาลได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
บางครั้งมันก็คอนเฟิร์มสิ่งที่เราก็พอรู้ และพอจะคาดเดาได้อยู่แล้ว ต้องใช้นักจิตวิทยา นักวิทยาศาสตร์ หรือนักสถิติมาบอกด้วยหรือ แต่บางครั้งข้อมูลจากมหาชนก็บอกอะไรที่น่าสนใจที่เราอาจคาดคิดไม่ถึงจากการคิดเองเออเองของเรา อาจเป็นสิ่งที่เราไม่เคยประสบ อยู่นอกเหนือจากประสบการณ์และคนในวงสังคมที่เรารู้จัก
ตัวอย่างที่น่าสนใจเกิดในช่วงเศรษฐกิจอเมริกาตกตํ่า สิ่งที่ Seth Stephens-Davidowitz พบจากการส่องผลการเสิร์ชคือ คำค้นหาที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่คำค้นหางานใหม่ แต่เป็นการค้นหาเว็บโป๊และเกม ด้วย keyword เช่น Slutload Rawtube (ชื่อเว็บโป๊) หรือเกมไพ่ Solitare อาจไม่น่าประหลาดใจ เพราะเมื่อคนมีเวลาว่างมากพอเหลือหลาย ไม่ต้องรีบร้อนอะไร ไม่แปลกที่จะใช้เวลาหมดไปกับเกมและหนังโป๊ แล้วลอง คิดเล่นๆ ว่า ถ้าต่อยอดผลการสืบค้นหนังโป๊ที่เพิ่มขึ้นอาจจะนำมาใช้คำนวณโมเดลคาดคะเนสภาวะเศรษฐกิจก็เป็นได้
เมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายชายมุสลิมยิงกราดในผับเกย์ที่ Orlando ทำให้คนอเมริกันโกรธแค้นคนมุสลิมและผู้อพยพมาก การเสิร์ชหาคำว่า kill Muslim สูงขึ้นเป็นสองเท่าตัว
หลังจากเหตุการณ์ผ่านไป 4 วันประธานาธิบดี Barack Obama ขึ้นพูดให้คนไม่ตัดสินและไม่เหยียด ไม่เกลียดชาวมุสลิม การพูดครั้งนั้นสื่อต่างๆ ล้วนชมว่าพูดได้ดีมาก งดงาม น่าประทับใจ แต่เมื่อดูแนวโน้มการเสิร์ชกลับพบว่า คนสืบค้นคำด้านลบเกี่ยวกับ Muslim เป็นผู้ก่อการร้ายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
แต่สิ่งที่ทำให้เกิดแรงกระตุ้นด้านบวก คือเมื่อ Barack Obama ได้ยกตัวอย่างว่ามีคนมุสลิมที่เป็นนักกีฬาระดับชาติ และเป็นทหารรับใช้ชาติมากมาย คำพูดนี้กระตุ้นให้เกิดความสงสัย คนเสิร์ชหาว่าทหารและนักกีฬาที่นับถือศาสนาอิสลามคือใคร คำพูดเพื่อต่อต้านความคิดที่รุนแรงอาจควรพูดถึงข้อมูลใหม่ที่เขาไม่เคยรู้ กระตุ้นให้คนสงสัยและอยากรู้อีกมุม อาจจะได้ผลลัพธ์ดีกว่าพูดโน้มน้าวตรงๆ เพราะคนที่โกรธอาจไม่ฟัง
การส่องการเสิร์ชข้อมูลของมวลชน อาจทำให้เราพบความเห็นสาธารณะจากคนจริงๆ มีจำนวนมากที่เสิร์ชด้วยความรู้สึกและความสงสัยจริงๆ ไม่ได้เกิดจากการตอบแบบสอบถามที่อาจโป้ปดกันได้ เพราะเมื่อถามตรงๆ อาจไม่มีใครหน้าไหนอยากยอมรับหรอกว่าตัวเองเหยียดสีผิวและชนชาติอื่น หรือทำผิดกฎหมาย
สิ่งที่บอกนั้นหลอกกันได้ เพราะเราต่างไม่อยากให้ใครตัดสิน
Social desirability bias คืออคติที่คนเรามักจะเลือกตอบในสิ่งที่สังคมพึงพอใจ ไม่อยากโดนตัดสิน คนทุกคนก็รู้ประมาณหนึ่งว่าคุณลักษณะแบบไหนที่สังคมต้องการและยอมรับได้ อคติเหล่านี้เป็นปัญหาสำคัญของการทำวิจัยประเภท poll และ survey ทั้งหลายที่ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่คาดเคลื่อน คนเลือกที่จะโกหก เพราะอยากดูดีแม้ในแบบสำรวจที่เป็นนิรนาม เพราะเขาอาจไม่อยากบอก หรือประเมินตัวเองผิดไป
ตัวอย่างข้อมูลที่คาดเคลื่อน เมื่อสอบถามในแบบสำรวจผู้ที่จบการศึกษาของ University of Maryland เปรียบเทียบกับค่าจริง
- น้อยกว่า 2% บอกว่าตัวเองได้ GPA เกรดน้อยกว่า 5 ทั้งที่ค่าจริงคือ 11%
- 44% บอกว่าได้บริจาคให้มหาวิทยาลัย ค่าจริงคือ 28%
หัวข้อประเด็นที่คนมักไม่ตอบตามความเป็นจริงเมื่อทำแบบสำรวจ
- ศาสนา มักหลีกเลี่ยง ไม่อยากพูดถึง
- ความรักชาติ มักพูดเกินจริงหรือปฏิเสธเพราะไม่อยากฝ่ายตรงข้ามตัดสิน
- รายได้ มักระบุมากกว่าความเป็นจริง
- กิจกรรมเพื่อการกุศล มักระบุมากกว่าความเป็นจริง
- ประเมินความสามารถทางสติปัญญา คนส่วนมากคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนทั่วไป แต่ในความเป็นจริง ทุกคนไม่สามารถฉลาดกว่าค่ากลางได้ทั้งหมด
- ประเมินหน้าตาและร่างกายของตัวเอง มักไม่ตรงกับที่คนอื่นประเมิน (มากไปหรือน้อยไป)
- กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง กิจกรรมที่ผิดกฎหมาย มักไม่ยอมรับ
- ความรู้สึกไม่มีคุณค่า ความรู้สึกว่าตนเองไม่มีอำนาจ มักไม่ยอมรับ
นักปรัชญานักคิดทั้งหลาย แห่งศตวรรษที่ 20 ไม่มีเทคโนโลยีและการเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ พลาดโอกาสแอบส่องดูความจริงและความสนใจของมนุษย์จำนวนมหาศาล ข้อมูลที่ดิบและจริง หลายสิ่งไม่มีใครยอมบอกหากไปสอบถามตรงๆ หรือสังเกตภายนอกก็ไม่รู้ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ย้อนแย้ง ปอกออกมากี่ชั้นก็ไม่รู้หมด บางข้อมูลก็เกินกว่าที่เราจะคาดคะแนหรือใช้สัญชาตญาณได้
ในผลรวมการเสิร์ช Google พบว่าคนที่มีลูกจะรู้สึกเสียใจว่าไม่น่ามีเลย มากกว่าคนที่ไม่มีลูกถึง 3.6 เท่า สิ่งนี้เป็นความลับในใจที่อาจบอกใครไม่ได้ แต่บอกในช่องเสิร์ช แน่นอนว่าคนที่อยากมีลูกมาอ่านเจอข้อมูลนี้ก็คงไม่ได้เปลี่ยนใจง่ายๆ
คนเรามักจะเป็นอีกคนเวลาไม่มีใครจ้องมองดูอยู่ เมื่อเราอยู่คนเดียวกับคอมพิวเตอร์ สิ่งที่เราส่องดู สิ่งที่ค้นหาเกิดจากความอยากรู้และความสงสัยจริงๆ สืบหาวิธีแก้ปัญหาที่พบจริงๆ ที่ไม่เคยบอกใคร คนเลือกสารภาพหรือค้นหาข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นความเป็นห่วงเรื่องสรีระร่างกายของตัวเอง เซ็กซ์ สติปัญญาของลูก โรคซึมเศร้า การทำแท้ง ความทุกข์ในความสัมพันธ์ต่างๆ ฯลฯ
การสืบค้นเรื่องเรื่องเซ็กซ์และร่างกายที่อับอายไม่บอกใคร
แบบสำรวจสอบถามรื่อง Sex มักให้ข้อมูลผิดเพี้ยน เพราะเป็นเรื่องที่คนมักไม่ยอมตอบความเป็นจริงด้วยความเขินอาย พบว่า คนอเมริกันบอกว่าตัวเองมีเซ็กซ์บ่อยกว่าความจริงไปหลายเท่าตัว ผู้ชาย hetero sexual บอกว่าตัวเองมีเซ็กซ์มากกว่าผู้หญิง hetero เมื่อนำตัวเลขที่ได้ไปลองคำนวณดู กลับไม่ตรงกับยอดขายของถุงยาง เราต่างบอกความลับมากมายกับ Google โดยที่เราไม่รู้ตัว
คนอเมริกันเพียง 25% ตอบแบบสอบถามว่าดูหนังโป๊ แต่หนังโป๊ (porn) เป็นคำค้นหายอดฮิตเสียยิ่งกว่า สภาพอากาศ (weather) อีก อย่ามาแอ๊บ!
และนอกจากนี้ จริงๆ คนอาจไม่ได้มีเซ็กซ์เท่าที่เขากล่าวอ้าง ผลการเสิร์ชถึงการความสัมพันธ์ที่ไม่มีเซ็กซ์ (sexless relationship) มีเยอะเป็นรองอันดับสองแค่ ความสัมพันธ์ที่มีความรุนแรง (abusive relationship) อาจจะช่วยปลอบประโลมได้ดีว่าจริงๆ แล้วคู่รักคนอื่นก็ไม่ได้มีเซ็กซ์กันบ่อยครั้งเท่าไหร่ เป็นไปได้ว่าอีคนที่ลงรูปอวดผัวทั้งหลายจริงๆ เธออาจจะนํ้าตาตกในเสิร์ชว่า ทำไมแฟนไม่ยอมร่วมรักด้วย อยู่ลับๆ ก็ได้
หนังโป๊ยอดฮิตแห่งยุคอย่าง Great Body, Great Sex, Great Blowjob นำแสดงโดย James Deen มียอดชมมากกว่า 80 ล้านครั้ง แต่แทบไม่เคยเห็นใครแชร์ลงบน Facebook นอกจากตัวดารานักแสดงเองและคนส่วนน้อยมากๆ สะท้อนให้เห็นว่าหากเราส่องมองโลกจาก Facebook อย่างเดียวก็จะได้เห็นแค่ความจริงบางส่วนเสี้ยวที่คนเขาอยากบอกโลกเท่านั้น
บางครั้งส่องดูเทรนด์การเสิร์ชก็อาจพบข้อมูลที่แปลกประหลาดไม่คาดคิดมาก่อน เช่น ที่ประเทศอินเดีย หนังโป๊ประเภทที่ฮิตผิดหูผิดตา คือแนวผู้ชายดื่มนํ้านมจากหน้าอกของภรรยา และคำค้นหา My husband wants to + Breastfeed him ขึ้นมาเป็นอันดับแรก
คนมากมายไม่มั่นใจในร่างกายของตัวเอง ผู้ชายมักหมกมุ่นกังวลกับอวัยวะเพศของตัวเองเป็นส่วนใหญ่ พวกเขาเสิร์ชเกี่ยวกับอวัยวะเพศมากกว่า ปอด ตับ เท้า หู จมูก คอ สมอง รวมกันเสียอีก โดยส่วนใหญ่กังวลว่าเจ้าหนูจะเล็กเกินไป ในขณะที่ผู้หญิงจำนวนมากก็เสิร์ชเรื่องอวัยวะเพศผู้ชายแต่มักบ่นว่าใหญ่ไป ทำให้เกิดความเจ็บปวดและเลือดออกขณะมีเซ็กซ์ ส่วนผู้หญิงกังวลกับอวัยเพศของตัวเองเรื่องกลิ่น
จริงๆ แล้วผู้หญิงไม่มั่นใจในหลายๆ ส่วนของร่างกาย และผู้หญิงก็เสิร์ชเรื่องอวัยวะเพศตัวเองเหมือนกัน โดย อันดับ 1 ห่วงเรื่องกลิ่น พวกเธอกังวลว่าอวัยวะเพศของเธอกลิ่นเหมือนปลา หัวหอม แอมโมเนีย เนื้อเน่า ฯลฯ มีผู้หญิงเสิร์ชอยากให้หน้าอกใหญ่เป็นล้านครั้ง (ผู้ชายก็ชอบดูหนังโป๊หน้าอกใหญ่เหมือนกัน) แต่เทรนด์อยากมีก้นใหญ่เพิ่งจะมาฮิตในไม่กี่ปีมานี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ในปี 2004 คนยังเสิร์ชหาวิธีทำให้ก้นเล็กอยู่เลย โดยค่านิยมเริ่มจากรัฐที่มีคนผิวสีเยอะมาก่อน จากนั้นจึงเริ่มกระจายตัวไปทั้งประเทศอเมริกา อาจเรียกได้ว่าเป็น Kardashian effect
หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วจะรู้ข้อมูลมากมายเหล่านี้ไปทำไม ข้อคิดจากข้อมูลการค้นหาเหล่านี้คือ “อย่าเอาภายในของเราไปเปรียบเทียบกับภายนอกของคนอื่น” จริงๆ แล้วโลกของทุกคนเต็มไปด้วยความความสัมพันธ์และความจริงที่ยุ่งเหยิง มีคนอีกมากมายก็ไม่มั่นใจในตัวเอง ความวิตกกังวลหม่นหมองใจอาจไม่ได้แสดงออกมาอยู่บนหน้า timeline หรือใน Instagram แค่นั้นเอง
ลองเสิร์ชดูเล่นๆ ว่าในประเทศไทย คนสงสัยว่าอะไรบ้าง
นั่นแหละ มีคนมากมายกังวลว่า ฉันปกติไหม เราจะแปลกไปรึเปล่า เลยอยากจะหยิบยกคำพูดของ Matt Haig จากหนังสือ Reasons to Stay Alive ที่ช่วยปลอบใจเราได้ดีมาก เขาบอกว่า
“There is no standard normal. Normal is subjective. There are seven billion versions of normal on this planet.”
“ไม่มีความธรรมดาที่เป็นมาตรฐาน ความปรกติขึ้นอยู่กับผู้มอง และโลกนี้ก็มีความธรรมดาอยู่เจ็ดพันล้านเวอร์ชั่น”
สบายใจได้ ไม่ว่าจะหน้าตาอย่างไร แปลกอย่างไร ไม่มั่นใจในตัวเองเรื่องไหน ในโลกนี้เราไม่ได้ทุกข์และประสบปัญหาอยู่คนเดียวบนโลกแน่นอน หากลองเสิร์ชดูใน Google แล้วจะพบว่ามนุษย์คนอื่นก็มีทุกข์ในเรื่องต่างๆ ที่คล้ายๆ กับเรา และในทางกลับกัน ผลการค้นหาบางอย่างก็ทำให้พบว่า เรื่องที่เราคิดว่าแปลกมากๆ อาจเป็นเรื่องธรรมดากว่าที่เราคิด
ล่าสุดคือแบรนด์ AXE ได้นำความไม่มั่นใจที่อยู่ในช่องเสิร์ชมาสร้างแคมเปญโฆษณา Find Your Magic หยิบเอา insight ความไม่มั่นใจของผู้ชายมาเล่าได้น่ารักดี เป็นของเมืองนอก เลยหยิบมาให้ดู (ไม่ได้เป็น advertorial นะ)
สิ่งที่คนไทยให้ความสนใจ ผ่าน Google Trend
บางเรื่องที่วงสังคมของเรากำลังสงสัยสนใจอย่างเข้มข้น ประเภทที่ตื่นเช้ามาทุกคนเหมือนซุบซิบบ่นอุบอิบหรือฮาเฮอยู่ในห้องเดียวกัน กลับไม่ได้ขยายไปเป็นความสนใจของมวลชนคนในประเทศเลย
ต่อไปนี้คือคำค้นหาที่โผล่มาใน Google Trend ของประเทศไทยบ่อยครั้ง
- ทุกวันที่ 1 และ 16 คนไทยจะเสิร์ชผลหวยและเลขเด็ด จนติดท็อปลิสต์ของ Google Trend อยู่เสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลง เป็นสิ่งที่เห็นชัดที่สุด
- กีฬา เช่น มวย ฟุตบอล ผลบอล
- กอสสิปชีวิตดารา เช่น ตํ่าตมไม่หยุด
- ข่าวโศกนาฏกรรม เช่น ฆาตกรรม คดีสะเทือนขวัญ ชื่อคนดังที่เพิ่งเสียชีวิต
- นโยบายรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคน เช่น ลงทะเบียนคนรายได้น้อย สิ่งเหล่านี้แทบไม่มีพูดถึงอยู่ใน news feed ของเราเลย
- เรื่องอื่นๆ ที่เป็นประเด็นในสังคมตามวาระ เช่น My Mate Nate, Miss Grand, หรือหน้ากากหอยนางรม
Google Trend อาจเป็นยาชั้นดีสำหรับการศึกษาส่องดูความสนใจของคนส่วนใหญ่ เพราะเราก็คงติดอยู่ใน filter bubble มวลข่าวสารข้อมูลที่กรองมาแล้วว่าเพื่อนของเรา คนที่ทำงาน หรือคนที่เพิ่มเป็นเพื่อนใน Facebook สนใจ คนที่เราเลือก follow และ connect มักจะมีความสนใจและค่านิยมในแบบที่เราพึงพอใจอยากจะรู้ จนลืมไปเลยว่าคนส่วนใหญ่เขาอาจจะไม่เหมือนเราเลย
ส่องดูประวัติการสืบค้นอาจพบอีกตัวตนของคุณ
จริงๆ เมื่อกลับไปส่องดู แล้วประวัติค้นหาข้อมูลของผู้เขียนน่าเบื่อมากๆ ไม่น่าตื่นเต้น หรือบางครั้งก็น่าอาย เช่น ในวันเสาร์หนึ่ง เราหมดเวลาจำนวนมากแอบเสิร์ชสอดส่องดูไอดอล BNK48 เพราะเห็นคนพูดถึงเยอะ เราได้เห็นความสงสัยของตัวเองค่อยๆ ลามไปเรื่อง ดาราวัยรุ่นในยูทูบที่มีมีคดีฉาวอยู่ในเน็ต ชื่อว่า Jake Paul สิ่งเหล่านี้ไม่มีโพสไว้อยู่ในไทม์ไลน์ Facebook, Twitter, หรือ Instagram ใดใดของเราเลย เป็นความสงสัยสนใจที่ล่องหนและไม่ได้บอกใครเลย
สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือความกระโดดไปมาของความคิดที่โคตรแรนด้อมไม่เป็นระบบระเบียบ ความสนใจที่กระโดดไปมา เราอาจเสิร์ชของที่อยากกิน เสิร์ชดูหน้าดาราที่เพื่อนพูดถึง ไปพร้อมๆ กับเสิร์ชหาชื่ออัลบั้มแรกของวงที่ชอบ และเสิร์ชหาความหมายของคำยากที่เพิ่งเจอ
ประวัติการท่องไปในโลกอินเทอร์เน็ตของแต่ละคนอาจเป็นโลกอีกใบที่เราไม่เคยบอกใคร
เช่นสิ่งที่เราสนใจลึกๆ เงียบๆ คนเดียว แต่อาจน่าเบื่อสำหรับคนอื่น หรือความสงสัยที่ผุดขึ้นมา แล้วพบว่าคนอื่นก็สงสัยเหมือนกัน เช่น Joseph Gordon Levitt มีเชื้อเอเชียรึเปล่า (คำตอบคือไม่มี) อินเทอร์เน็ตที่น่ารักทำให้เราอยากรู้ข้อมูลที่เราไม่รู้ว่าจะรู้ไปทำไมได้ง่ายดายขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ Google จะยํ้าว่าข้อมูลของเราเป็นนิรนามทั้งหมด ไม่มีการขายข้อมูลแน่นอน ถ้าไม่สบายใจจริงๆ ที่จะให้ Google เก็บข้อมูลเหล่านี้ ก็สามารถลบข้อมูลได้ หรืออาจต้องเปลี่ยนไปใช้ search engine DuckDuckGo ที่สัญญาว่าจะไม่ track การสืบค้นของคุณเลย
ส่องดูประวัติการสืบค้น Google ของคุณ
แม้ปัจจุบันสาขาวิทยาศาสตร์ข้อมูล (data science) จะยังใหม่มาก โลกความเป็นจริงเป็นสิ่งที่ยุ่งเหยิงและยังห่างไกลจากการทำนายอนาคตโลกทั้งมวลได้อย่างแม่นยำด้วยอัลกอริทึมใดใด ดูอย่างการทำนายผลเลือกตั้งอเมริกาครั้งล่าสุดก็ผิดโผไปไกล ยังมีข้อชำรุดที่ต้องปรับปรุงอีกมาก แต่สาขาอาชีพนี้ก็ดูใกล้เคียงกับอาชีพนักอนาคตประวัติศาสตร์ในหนังสือนิยาย sci-fi ของไอแซค อสิมอฟ ที่เราอ่านตอนเด็กๆ มาก รอดูว่ามันจะพัฒนาต่อไปในทิศทางไหนและนำไปใช้ประโยชน์อย่างไรได้บ้าง
หลายสิ่งบางทีก็ไม่รู้ว่าจะรู้ไปทำไม แต่อาจทำให้พบว่า มนุษย์ต่างมีเรื่องลับที่ปกปิดไว้ ความสงสัยที่น่าอาย คำถามโง่ๆ และแฟนตาซีที่ไม่กล้าถามใคร หรือความปรารถนาลับๆ ที่ไม่เคยได้แพร่งพรายบอกใคร แต่ได้บรรจุแอบซ่อนไว้อยู่ในประวัติการสืบค้น Google ของเรา
ข้อมูลความลับของมนุษยชาติเหล่านี้ อาจทำให้สบายใจได้ว่า ไม่ได้มีเราที่ไม่มั่นใจอยู่คนเดียว และเราไม่ได้แปลกอยู่คนเดียว เพราะคนทุกคนอาจจะแปลกกันหมด อยู่ในความเสรีที่อินเทอร์เน็ตพาเราไปไหนก็ได้ สงสัยอะไรก็ได้ ในยามที่ไม่มีใครเห็น