การไล่รื้อถอนบ้านชุมชนป้อมมหากาฬเพื่อสร้างสวนสาธารณะ อ้างว่าเพื่อเพิ่มที่นันทนาการพักผ่อนหย่อนใจ แต่การจัดภูมิทัศน์กลับเป็นทัศนะอุจาด แห้งแล้งไร้รสนิยมโล่งเตียนกว่าป่าช้า ขนาดชุมชนป้อมมหากาฬก่อนหน้าที่ถูกตีตราว่าเป็นสลัมนั้น ยังดูงดงามรื่นรมย์มีชีวิตชีวากว่า
จนทำให้เกิดความสงสัยว่าอะไรคือความหมายของ ‘สวนสาธารณะ’ ในฐานะปอดของคนเมือง สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ
เมื่อแรกมีสวนสาธารณะในประเทศ เป็นช่วงปลายสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ‘สวนลุมพินี’ เกิดจากโปรเจกต์งานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ พ.ศ. 2468 ที่ต้องการทำเป็นสวนพฤกษชาติขนาดใหญ่และมหกรรมแสดงทรัพยากรและสินค้าในประเทศ เพื่อปลุกลัทธิชาตินิยมพยุงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่กำลังเสื่อม และแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ แต่เมกะโปรเจกต์นี้ก็ไม่ได้จัดขึ้นเพราะผลัดแผ่นดินเสียก่อน จึงถูกทำให้เป็นเพียงสวนสาธารณะ
สวนลุมที่ถูกสร้างให้เป็นป่าเที่ยวเล่นแบบ Bois de Boulogne ของปารีส เปิดให้ผู้คนเข้าไปใช้ได้ตั้งแต่ พ.ศ. 2469 เป็นสวนพฤกษชาติสาธารณะที่เปิดตั้งแต่ 6 โมงถึงเที่ยงคืน ต่อมารัฐบาลไม่มีเงินดูแล เอกชนจึงเข้ามาพัฒนาจนเป็นทั้งสวนพรรณพฤกษ์และสวนสนุกที่มีเครื่องเล่นต่างๆ เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวให้กับคนกรุงเทพฯ ที่ไม่สามารถไปเที่ยวพักผ่อนตากอากาศได้ ภายในสวนลุมมีทั้งสระน้ำสำหรับเล่นน้ำอาบน้ำ พายเรือ ตกเบ็ด มีถนนให้ขี่ม้าและยวดยางพาหนะ มีสนามเล่นฟุตบอล สนามตีคลี เทนนิส แบด โรงละคร ละครสัตว์ โรงมหรสพสำหรับหนัง งิ้ว ลิเก ไปจนถึงเวทีมวย มีผู้คนไปเตร็ดเตร่เที่ยวเล่นคับคั่ง ยิ่งดึกดืนคนยิ่งเยอะ[1]
จากการศึกษาวิถีชีวิตกลางคืนของผู้คนในกรุงเทพฯ ช่วงเริ่มเข้าสู่สมัยใหม่ของวีระยุทธ ปีสาลี[2]ไฟฟ้าทำให้ชีวิตยามค่ำคืนของชาวกรุงถูกขยายและมีกิจกรรมหลากหลายขึ้น คนเตร็ดเตร่กลางดึกมากขึ้น มีบริการ พื้นที่ กิจกรรมนอกบ้านรองรับยามกลางค่ำกลางคืนมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือสวนสาธารณะ
และทศวรรษ 2460 เป็นต้นมา หนุ่มสาวเริ่มมีอิสรภาพในชีวิตนอกบ้านยามค่ำคืน การปรากฏตัวของผู้หญิงในที่สาธารณะยามค่ำคืนเริ่มได้รับการยอมรับ และวัฒนธรรมการออกเดทก็เริ่มแพร่หลายแทนการมาเยี่ยมนั่งคุยอยู่ที่เรือน หนุ่มสาวจึงออกมาจีบกันตามสถานบันเทิงเริงรมย์ เช่นสถานที่เต้นรำ โรงหนัง ร้านกินดื่ม และสวนสาธารณะ[3]
สวนสาธารณะและยามค่ำคืนจึงมีความสำคัญสำหรับหนุ่มสาวที่จะแสดงความรักใคร่ และแน่นอนบางครั้งมันจึงถูกใช้เป็นสถานที่พลอดรักและแสวงหาประสบการณ์ทางเพศ
และไม่เป็นการกล่าวเกินจริงเลย หากจะบอกว่าการค้าบริการทางเพศพบได้ทั่วไปทุกหนทุกแห่งในชุมชนเมืองหลวงช่วงทศวรรษ 2460 หนังสือพิมพ์บางฉบับในปี 2466 ก็กล่าวว่า ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะพบกับหญิงขายบริการทางเพศโดยบังเอิญ ในปี 2469 การค้าบริการทางเพศก็เปิดแผงยาวไปตลอดถนนราชดำเนิน สนามหลวงก็เช่นกันที่ในฤดูว่าว ยามเย็นก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมายหลายประเภททุกเพศทุกวัยตั้งแต่ชนชั้นสูง ชนชั้นศักดินา ผู้รากมากดี นักธุรกิจ หญิงสาวสมัยใหม่ หญิงแก่แม่หม้าย โสเภณี และทหาร[4]
เมื่อแรกมีสวนลุมนั้น ก็มีการ์ตูนล้อในหนังสือพิมพ์บางกอกการเมืองวันที่ 10 มิถุนายน 2469 วาดรูปเป็นชายหนุ่มดูมีฐานะพลอดรักกับหญิงสาว โอบอุ้มเคล้าคลอกันเป็นคู่ๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แวดล้อมไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้ยามค่ำคืน พร้อมคำบรรยายใต้ภาพว่า ‘ภาพกลางคืนบางแห่งในพระนคร’ ซึ่งเป็นไปได้ว่านี่คือสวนลุมพินี สวนสาธารณะสำคัญของพระนคร[5]
ป.อินทรปาลิตยังได้บรรยายสวนลุมฯ ยามเย็นไว้ใน ‘สามเกลอ พล นิกร กิมหงวน’ ตอน ‘หยาดฟ้ามาดิน’ ว่า “ ณ ที่นี้…ที่ม้าหินอ่อนริมน้ำ แลเห็นเงาดำตะคุ่มๆ เป็นคู่ๆ ที่เกาะกลางน้ำเล่า ตามสุมทุมพุ่มไม้นับสิบๆ คู่ที่เดียว”[6]
และเมื่อเริ่มมีสวนสาธารณะมากขึ้น วัฒนธรรมทางเพศนี้ก็กระจายคู่ไปกับสวนสาธารณะตามกันไปเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นสวนวังสราญรมย์ (เริ่มเป็นสวนสาธารณะเมื่อ 2503) สวนจตุจักร (เปิดทำการปี 2523) สวนรถไฟ (เปิดทำการปี 2545)
สวนสาธารณะไม่เพียงเป็นฉากรักให้คู่หนุ่มสาว แต่ยังเป็นฉากรักให้กับคู่หนุ่มหนุ่มอีกด้วย เพราะในยุคสมัยที่ยังไม่ยอมรับคนรักเพศเดียวกันอย่างเข้มงวดและแสดงท่าทีรังเกียจได้อย่างรุนแรงเปิดเผย อีกคุณูปการหนึ่งของสวนสาธารณะคือเป็นหลุมหลบภัยให้กับชายรักชาย
ในปี 2532 นิตยสารเกย์ ชื่อดัง ‘มิถุนา’ ฉบับที่ 55 ได้นิยามสวนลุมให้เป็นสวรรค์ของชาวเกย์[7]ก่อนหน้านั้น ในปี 2529 นิตยสารเกย์ชื่อดังอีกหัว ‘นีออน’ ก็ยอมรับว่าสนามหลวงเป็นสนามให้คนหนุ่มได้ ‘เล่นว่าว’ ทั้งกลางวันกลางคืนมายาวนาน[8]
เนื่องจากในยุคสมัยที่โอกาสเกย์จะเปิดเผยตัวเองเป็นไปได้ยาก แถมสุ่มเสี่ยงโดนรังเกียจเดียดฉันท์ ด่าทอตัดขาดจากครอบครัว เพศวิถีรักเพศเดียวกันต้องถูกเก็บหลบๆ ซ่อนๆ ในโลกรักต่างเพศนิยม คู่รักเกย์จะไปกระหนุงกระหนิงกันในร้านอาหาร ร้านกาแฟในห้างก็กลัวคนเห็น จะจูงมือเข้าโรงแรมก็อายสายตาพนักงาน กลัวถูกนินทา ต่อให้มีสถานบันเทิงเกย์บ้างแต่ก็เก้อเขินเกินไปที่จะโผล่หน้าเข้าไป กลัวเจอคนรู้จักแล้วเอาไปเมาท์มอย ในยุคนั้นบาร์เกย์ ซาวน่าเกย์ก็มีแต่นักท่องเที่ยว ตัวแม่และเกย์ที่กล้าหาญชาญชัยเท่านั้นนี่แหละที่จะเดินเฉิบๆ เข้าไป
แต่ไหนแต่ไรสวนสาธารณะจึงเป็นพื้นที่ปลอดภัยของเกย์พอจะหลบสายตาประชาชีได้บ้าง แถมไม่ต้องเสียเงินเสียทองอะไร สามารถเดินเข้าไปได้เลย หลังสุมทุมพุ่มไม้จึงเป็นพื้นที่สบายใจของคู่รักชายหนุ่มได้นอนหนุนตัก กอดกระหวัด อิงซบกัน นัดพบกัน บ้างก็มาปักปลักแสวงหาเพื่อนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอ แต่มีเพศสภาพเพศวิถีเดียวกัน บางคู่มาหาที่นี่แล้วไปต่อกันข้างนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาโพล้เพล้ผีตากผ้าอ้อม เพราะยิ่งลับตาไม่ค่อยมีใครเห็น[9]
ในพื้นที่ปลอดคนพลุกพล่าน ท่ามกลางหมู่มวลพฤกษานานาพันธุ์ และเสียงนกกาของสวนคือพื้นที่สาธารณะที่พอจะเจียดให้พวกเขามีอิสระในการแสดงเพศวิถีได้บ้าง และแสวงหาความสุขทางเพศตามอัตภาพ
ในนิยาย เรื่องสั้น ไปจนถึงประสบการณ์เสียวของคนรักเพศเดียวกันจึงเป็นฉากให้กับตัวละครแสวงหาความสุขทางเพศและเปิดเผยตัวตน ไม่เพียงแต่นิยายคนรักต่างเพศเท่านั้น
ไม่ว่าเพศวิถีเพศสภาพใด สวนสาธารณะยามมืดคือบรรยากาศโรแมนติกที่เหมาะแก่การพลอดรัก อากาศเย็นสบายแสงไฟเย็นตาแสนอำนวย ใต้ร่มเงาของแมกไม้ตามละเมาะเกาะแก่ง ดอกไม้แสนสวยส่งกลิ่นหอมชู่ช่อจากผืนหญ้า จั๊กจั่นเรไรบรรเลงขับขาน กลายเป็นจักรวาลคู่ขนานกับป่าคอนกรีตนอกรั้วสวนสาธารณะ
การมีเซ็กซ์ในสวนสาธารณะไม่ว่าเพศวิถีใดจึงไม่ใช่เรื่องน่าตระหนกตกใจเพราะถือว่าอยู่คู่กันกับวัฒนธรรมการใช้สวนสาธารณะ
ยิ่งอารามตกใจประโคมข่าวยิ่งแสดงถึงความไม่มีความรู้รอบตัว และยิ่งดูไม่มีวุฒิภาวะหากผู้มีหน้าที่ดูแลควบคุมเที่ยวไปโยนให้เป็นพฤติกรรมทางเพศของชาวต่างชาติจนต้องกุลีกุจอติดป้ายประกาศเพิ่มภาษาห้าม หรือประกาศท้าให้รางวัลนำจับคนมีเพศสัมพันธ์ในสวน[10]
ความพยายามลดอรรถประโยชน์ของสวนสาธาณะให้นับวันยิ่งแคบลง เช่นเดียวกับระยะเวลาในการใช้สอยต่างหากที่น่าตกใจ นอกจากโอกาสที่เราสามารถใช้สวนเหลือเพียงเฉพาะช่วงเช้าตรู่ถึงพลบค่ำเท่านั้น ประโยชน์ของมันยังเหลือเพียงเพื่อออกกำลังกายรักสุขภาพ พักผ่อนหย่อนใจ ปิกนิกของครอบครัว ที่ความหมายของครอบครัวยังคงอยู่ที่เดิมไม่มีพัฒนาการอะไร คือมีแค่พ่อแม่ลูก ไม่ได้รวมไปถึงครอบครัวสมัยใหม่บางครอบครัวที่เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวต่างลูก ถือว่าสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกครอบครัวด้วยเช่นกัน เพราะที่สวนห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้า
เซ็กซ์ในสวนสาธารณะถูกห้ามไม่ใช่เพราะส่งเสียงดังซี้ดซาดรบกวนคนพักผ่อน หรือทำกันเผ็ดร้อนจนไม้ดอกไม่ประดับเสียหาย ทั้งที่ปัญหามันควรจะเป็นการทิ้งถุงยางเกลื่อนกลาดไม่ช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม หากแต่เป็นห้ามเพราะเซ็กซ์ด้วยตัวของมันเองถูกมองว่าเป็นเรื่องลามกอนาจารเสื่อมเสีย ด้วยเหตุนี้พวกเขาและเธอจึงไม่ได้เอากันอล่างฉ่างขวางหูขวางตาใคร เขาทำในที่ที่เล็งไว้แล้วว่าลับตาคน แม้แต่กล้องวงจรปิดก็ส่องไม่ถึง หรือเป็นกล้องที่ไม่สามารถใช้งานได้จริง
หากจะมีใครต้องกังวลและเพิ่มมาตรการสอดส่องตรวจตราซอกมุมต่างๆ ในสวนสาธารณะ ไม่ใช่เพราะเซ็กซ์ในสวนเป็นความไม่ปลอดภัยต่อผู้ใช้สวน หากแต่สะท้อนถึงโอกาสที่จะเกิดความไม่ปลอดภัยแก่ผู้ใช้สวนต่างหาก เพราะการที่เขาเอากันจนเสร็จได้ง่าย ก็เป็นดัชนีชี้วัดว่าเป็นพื้นที่ที่ก่ออาชญากรรมได้ง่ายเช่นกัน ซึ่งทั้งจี้ปล้น ชิงทรัพย์ ทำร้ายร่างกายใช้ระยะเวลาสั้นกว่าเอากันซะอีก
อ้างอิงข้อมูลจาก
[1] วีระยุทธ ปีสาลี. (2557). กรุงเทพฯ ยามราตรี. กรุงเทพฯ : มติชน, น. 104-107.
[2] วีระยุทธ ปีสาลี. (2556). ชีวิตยามค่ำคืนในกรุงเทพฯ พ.ศ. 2427-2488. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต วิชาประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
[3] วีระยุทธ ปีสาลี. (2557). กรุงเทพฯ ยามราตรี. กรุงเทพฯ : มติชน, น. 189-191.
[4] Scot Barme. (2002). Woman, man, Bangkok : love, sex, and popular culture in Thailand. Lanham, Md. : Rowman & Littlefield, pp. 81-82.
[5] Ibid.
[6] อ้างถึงใน วีระยุทธ ปีสาลี,2557,น.195.
[7] ขจรฤทธิ์ รักษา. (2532). สวนลุมฯ สวรรค์ชาวเกย์,มิถุนา ฉบับที่55, น. 64-73.
[8] ชัย มนตรี. (2529). สนามหลวง,นีออน ฉบับที่ 19, น.86-88.
[9] ขจรฤทธิ์ รักษา. (2532). สวนลุมฯ สวรรค์ชาวเกย์,มิถุนา ฉบับที่55,น. 64-73.
[10] prachatai.com; www.khaosod.co.th; www.khaosod.co.th/monitor-news