มีนักเรียนหญิงคนนึง เธอถูกครูทำอนาจารหลายครั้ง เมื่อไปร้องเรียนกับ ผอ.โรงเรียนก็ถูกเพิกเฉย แล้วพูดราวกับว่าการที่นักเรียนจะถูกครูบาอาจารย์ลวนลามอาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะคนหมู่มากย่อมมีคนไม่ดีปะปน ครูบาอาจารย์สัมผัสร่างกายคือการแสดงความเอ็นดู เป็นการแสดงความรักทางจิตวิทยา (อีหยังวะ) ราวกับว่าการล่วงละเมิดทางเพศเป็นธรรมชาติของมนุษย์ร้อยพ่อพันแม่ นักเรียนหญิงคนนี้อดทนยอมเป็นเสียงเงียบมานานกว่าเธอจะกล้าออกมาพูดให้สาธารณชนได้รับรู้ ตีแผ่เพื่อให้สังคมร่วมกันสอดส่องแก้ไข ซึ่งเธอเลือกเปิดเผยในม๊อบทางการเมืองที่จัดโดยกลุ่มเยาวชนนักเรียน เพื่อที่จะปกป้องสิทธิ ศักดิ์ศรีของเธอเองและเพื่อนนักเรียนด้วยกัน และปฏิรูประบบการศึกษาของประเทศ
ก็คิดเอาเองก็แล้วกัน เธอสามารถพูดเรื่องนี้ในม๊อบได้มากกว่าโรงเรียนย่อมแสดงว่า โรงเรียนไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย เป็นอันตรายมากกว่าม็อบที่ไม่รู้ว่าจะโดนห่าฝนแก็สน้ำตาเมื่อไหร กระสุนยางจะมาทางไหน วันดีคืนดีจะมีม็อบเสื้อเหลืองกักขฬะกระหายเลือดจะเข้ามาทำร้ายหรือไม่
ช่วงวัยรุ่น อายุ 10–19 ปี ถือว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่สุดช่วงหนึ่งของพัฒนาการมนุษย์ เป็นช่วงที่มีสุขภาพดีที่สุดของอายุขัย สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีในช่วงวัยนี้ส่งอิทธิพลต่อวิถีสุขภาพไปตลอดชีวิต รวมทั้งเป็นช่วงวัยแห่งการเปลี่ยนผ่านพฤติกรรมสุขภาวะทางเพศ ขณะเดียวกันก็เป็นวัยที่มักใช้ชีวิตอยู่ภายในรั้วโรงเรียน อย่างไรก็ตามวิชาสุขศึกษา เพศศึกษาของโรงเรียนกลับไม่เอื้ออำนวยให้นักเรียนเรียนรู้เรื่องเพศมากไปกว่าต้องรักนวลสงวนตัว ออกกำลังกาย ทำงานบ้าน แทนการดูหนังโป๊หรือช่วยตัวเองสำเร็จความใคร่ เป็นความรู้ที่ไม่ก่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพเสมอภาคทางเพศ เพศสภาพเพศวิถี และความเคารพทางเพศของผู้อื่น มิพักต้องพูดถึงความหลากหลายทางเพศ
ซ้ำร้ายบรรยากาศสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนก็แสนอำนาจนิยมที่ครูมีสถานะศักดิ์สิทธิ์เป็นอีกชนชั้นหนึ่งที่สถาปนาอำนาจนำ ขณะที่นักเรียนเป็นชนชั้นที่ต่ำลงมา
ในเมื่อโรงเรียนไม่เพียงไม่สามารถสอนเรื่องเพศอย่างรอบด้านได้ แต่ยังเป็นพื้นที่อำนาจนิยม ครูอาจารย์บางคนใช้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจในนามผู้ประสาทวิชาพระคุณที่สาม อ้างว่าเอ็นดูเมตตาลวนลามสัมผัสเนื้อตัวร่างกายนักเรียน คราวนี้ไม่ว่านักเรียนจะมีเพศใด พวกเขาและเธอต่างก็ตกอยู่ในสภาวะไม่ปลอดภัย แม้ว่าตามสถิติแล้ว เด็กผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะถูกคุกคามทางเพศมากกว่าเด็กผู้ชาย
และการลวนลามทำอนาจารนักเรียนก็ไม่เพียงเป็นทั้ง
การล่วงละเมิดทางเพศเท่านั้นอย่างเดียว แต่ยังเป็น
การใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงผู้น้อยในโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจ
การที่มีนักเรียนออกมาบอกเล่าประสบการณ์การถูกล่วงละเมิดทางเพศในโรงเรียน มันจึงเป็นกระบวนการหนึ่งที่จะปฏิรูปการศึกษา ไม่เพียงปฏิรูปแต่บุคลากร สถานศึกษา อาคารสถานที่ แต่ยังรวมไปถึงเนื้อหาตำรา บรรยากาศ ระบบความเป็นธรรม ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในโรงเรียน ตั้งแต่นักเรียนยันเจ้าหน้าที่ ผู้บริหาร ที่จะต้องได้รับการปฏิรูปทั้งองคาพยพ
มันจึงต้องเริ่มจากการสนับสนุนส่งเสริมให้ครูอาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักเรียน ผู้ปกครอง สมาชิกในโรงเรียนตระหนักถึงการเคารพสิทธิเนื้อตัวร่างกาย เพศสภาพเพศสรีระซึ่งกันและกัน ยืนหยัดต่อต้านการกระทำทางเพศที่ไม่เหมาะสม ซึ่งความไม่หมาะสมนี้ไม่ใช่เรื่องชู้สาวอย่างที่โรงเรียนมักเข้าใจ เพราะอย่างโรงเรียนมัธยมศึกษานั้นคือ สถานศึกษาของนักเรียนที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์แล้ว การสอนให้รู้จักเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยย่อมดีกว่าสอนให้เก็บกดความต้องการทางเพศ
ความไม่เหมาะสมทางเพศที่โรงเรียนควรคำนึงคือ การล่วงละเมิด การคุกคาม การใช้ความรุนแรงทางเพศ ซึ่งมีตั้งแต่ข่มขืน ลวนลาม อนาจาร แอบถ่ายขณะเข้าห้องน้ำ จับแก้ผ้า เปิดกระโปรงดึงการแกง ไปจนถึงล้อเลียนเพศสภาพเพศวิถี
ครูบาอาจารย์เองก็ต้องไม่ช่วยปกป้องเพื่อนร่วมงานกันเอง ไม่เอา ‘พระคุณที่สามงดงามแจ่มใส’ ‘ความเป็นครู’ มาอ้างความชอบธรรมที่จะแสดงอำนาจเหนือเนื้อตัวร่างกายนักเรียน
ผู้ปกครองของนักเรียนเองก็มีความสำคัญต่อสุขภาวะทางเพศ อารมณ์พฤติกรรมของนักเรียนในระยะยาว ผู้ปกครองจึงต้องได้รับการศึกษาเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศเช่นกัน เตรียมพร้อมรับมือเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ผู้ปกครองจะต้องเข้าถึงข้อมูลพอๆ กับนักเรียน ทั้งผู้ถูกกระทำและผู้กระทำผิด เพื่อให้สามารถจัดการแก้ไขเยียวยาให้กับทั้งสองฝ่ายได้ ซึ่งแน่นอนย่อมไม่ใช่การไกล่เกลี่ยลอมชอม ให้เรื่องเงียบๆ จบๆ ไป เพราะนั่นยิ่งสร้างบาดแผลให้กับผู้ถูกกระทำเข้าไปใหญ่ และทำให้การล่วงละเมิดทางเพศเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ
สำหรับนักเรียน พวกเขาและเธอต้องได้รับความรู้วิธีจัดการเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศ ต้องได้รับการเรียนรู้ถึงความแตกต่างระหว่างการล้อเล่นที่เป็นมิตรกับการกลั่นแกล้ง ความแตกต่างระหว่างกระเซ้าเย้าแหย่เกี้ยวพาราสีจีบกันกับการล่วงละเมิดทางเพศ
สังคมต้องกระตุ้นไม่ให้ยอมจำนนกับสถานการณ์เช่นนี้ เพราะการเพิกเฉยย่อมนำไปสู่วงจรอุบาทว์ของการล่วงละเมิดและการตกเป็นเหยื่อ ผู้กระทำความผิดต้องได้รับการลงโทษ และรับผิดชอบการกระทำของพวกเขา ผู้ถูกกระทำต้องเรียนรู้ที่จะกล้าแสดงออกและปกป้องสิทธิเนื้อตัวร่างกาย บอกให้ผู้กระทำหยุดล้ำเส้น ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ก็ต้องร่วมกันต่อต้านการคุกคาม ไม่ใช่ทำตัวเป็นเพียงผู้ชมข่าวอาชญากรรมหน้าจอมือถือทีวี
โดยเฉพาะนักเรียนที่ดูเหมือนจะเป็นกลุ่มที่มีอำนาจและกำลังน้อยในโรงเรียน จำเป็นต้องรู้ว่าการล่วงละเมิดไม่ใช่ความผิดของพวกเขาหรือเธอ ต้องไม่อายและกล้าเผชิญหน้าที่จะเปิดเผยรายงานล่วงละเมิดทางเพศกับอาจารย์หรือผู้บริหารของโรงเรียนและเคลื่อนไหวต่อสู้จนกว่าการคุกคามจะหยุดลง การเรียกร้องของนักเรียนผู้ถูกกระทำคนหนึ่งย่อมเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ที่จะยกมาตรฐานระบบให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยมากขึ้น แต่ถ้าหากโรงเรียนเพิกเฉยไม่สนหินสนแดดก็ต้องนำไปสู่การฟ้องร้องโรงเรียนเช่นกัน
ดังนั้นเด็กนักเรียนที่กล้าออกมาพูดว่าเขาหรือเธอ
ตกเป็นเหยื่อการคุกคามทางเพศในโรงเรียน เธอไม่ใช่เหยื่อที่ต้องเวทนา แต่คือซุปเปอร์ฮีโรที่ช่วยให้เพื่อนๆและนักเรียนคนอื่นปลอดภัยที่พวกเราต้องขอบคุณ
ถ้าหากโรงเรียนยังไม่มีความรู้ความเข้าใจมากพอกับการสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องการคุกคามทางเพศ มันก็มีวิทยากร องค์กรหน่วยงานที่ทำงานด้านนี้ รู้เรื่องนี้มากมายที่จะเชิญมา หาง่ายพอๆ กับเปิดคลิปคนทำแท้ง คนคลอดลูกให้นักเรียนดูให้หวาดกลัวการมีเซ็กซ์ หรือนิมนต์พระมาอบรมจัดค่ายธรรมะ แถมยังมีคุณค่าได้ประโยชน์กว่าให้กองทัพมาปฐมนิเทศน์ ฝึกระเบียบวินัยนักเรียน หรือจัดอบรมโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์การรักชาติ โครงการรณรงค์ปลุกจิตสำนึกรู้คุณแผ่นดิน เยาวชนส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม โครงการค่ายคนดีมีวินัย ที่ยิ่งจะเสริมสร้างอำนาจนิยมอันเป็นต้นตอความไม่ปลอดภัยในสถานศึกษา
และสำหรับบุคคลภายนอกรั้วโรงเรียนนั้น เท่าที่ทำได้อย่างน้อยและง่ายที่สุดคือไม่ไปซ้ำเติม ไม่ด่าทอขยี้ผู้ถูกคุกคามล่วงละเมิดทางเพศ ลำพังการล่วงละเมิดและการคุกคามทางเพศก็เป็นการกระทำที่ระยำตำบอนด้วยตัวของมันอยู่แล้ว แต่ที่ร้ายและต่ำตมไปกว่านั้นคือผู้ที่ซ้ำเติมผู้ถูกละเมิดถูกคุกคาม นี่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่า คนเราต้องมีระดับจิตใจแค่ไหน หรือหลงเหลือสามัญสำนึกไว้เท่าไหรถึงไปตอกย้ำซ้ำเติมผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ เที่ยวไปด่าขยี้หาว่าประจานตัวเอง ไปอ่อยเค้าก่อน ชอบแต่งตัวยั่วยิ้ม ไม่รักนวลสงวนตัวเอง โดยปราศจากการตัดสินวิพากษ์วิจารณ์ผู้กระทำ ซึ่งนั่นแหละคือการสนับสนุนการคุกคามล่วงละเมิดทางเพศในเวลาเดียวกัน ปิดปากกดให้ผู้ถูกกระทำหุบปากอยู่เงียบๆในมุมมืดต่อไป ปล่อยให้ผู้กระทำมีอิสระที่จะเที่ยวไปคุกคามทางเพศผู้อื่นตามใจชอบ
อ่านเพิ่มติม
Edward J. Mentell. What to Do To Stop Sexual Harassment at School. Educational Leadership. 51,3 (November 1993) pp. 96-97
Eva Witkowska. Sexual harassment in schools. Prevalence, structure and perceptions. Institutionen för folkhälsovetenskap, Department of Public Health Sciences, 2005.
Robert W. Blum, Kristin Mmari, Caroline MoreauIt. Begins at 10: How Gender Expectations Shape Early Adolescence Around the World. Journal of Adolescent Health 61 (2017) pp. 53-54