นอกจากคำว่าสลิ่มแล้ว คำฮิตอีกคำหนึ่งที่หลายคนชอบใช้ก็คือคำว่า-ลิเบอร่าน
อยากบอกว่า ถ้าให้ฟันธง-ผมชอบคำว่าลิเบอร่านมากกว่าคำว่าสลิ่มนะครับ!
ที่จริงสองคำนี้มีความเป็น ‘ไทยแท้’ อยู่ในตัวอย่างหนึ่ง คือเป็นคำที่มาเป็นแพ็คเกจร่วมกับการบังคับกล้ามเนื้อปากให้เป็นรูปร่าง คือคนไทยแต่ไหนแต่ไรมานั้นเก่งเรื่องการบังคับกล้ามเนื้อ orbicularis oris อันเป็นมัดกล้ามเนื้อที่อยู่รอบๆ ริมฝีปาก คอยบังคับให้รูปปากของเราเป็นไปดังที่ต้องการ ซึ่งถ้าบังคับไม่เก่ง ก็จะไม่สามารถแสดง ‘สีหน้า’ ออกมาได้อย่างถึงอกถึงใจถึงเครื่องพริกแกงแบบไทยๆ แต่ประการใด
ถ้าไม่เชื่อก็ลองพูดคำสองคำข้างต้นแบบเนิบๆ ดูก็ได้นะครับ เช่น สะ…หลิ่ม… ฟังดูแล้วอ่อนช้อยอ่อนหวานน่ารัก เห็นสีสันพาสเทลของขนมซ่าหริ่มอวลปนกับกะทิสีขาวหอมหวานน่ากินเป็นที่สุด หรือถ้าจะพูดว่า ลิ…เบอ…ร่าน… ถึงฟังไม่ค่อยรู้เรื่องว่าคำนี้หมายความว่าอะไร แต่ถ้ากระซิบกระซาบด้วยลีลาการเปล่งมธุรสวาจาแบบชาววังในจินตนาการแล้วละก็ รับรองว่าคำนี้ต้องหอมกรุ่นติดกระดานชนิดที่ลุกไปแล้วไม้กระดานยังติดกลิ่นร่ำน้ำอบไม่คลาย แถมหากหุบปลายคำไม่สนิท อาจนึกว่าพูดถึงดอกไม้อยู่ก็ได้ เพราะฟังคล้ายๆ ฟลอร่าๆ อะไรสักอย่าง
เพราะฉะนั้นเอาเข้าจริงแล้ว โดยตัว ‘คำ’ ของมันเอง ไม่ว่าจะสลิ่มหรือลิเบอร่าน, ถ้าจะให้ถึงอกถึงใจพระเดชพระคุณคล้ายนักเปียโนไร้รสนิยมกระแทกถล่มออกมาเป็นคอนแชร์โตหมายเลขหนึ่งของไชคอฟสกี้แบบไม่บันยะบันยังแล้วละก็ เราต้องบังคับกล้ามเนื้อ orbicularis oris ให้เก่ง (นะคะนักเรียนขา) เช่นถ้าจะพูดคำว่าสลิ่ม ก็ต้องเบะริมฝีปากบนเล็กน้อย รั้งริมฝีปากล่างขึ้นมาเป็นทัพสมทบเพื่อเปล่งพลังดันตัวสอเสือให้ขึ้นสูงลิ่ว ก่อนกระแทกกดพลังเสียงลงมาให้ต่ำแสนต่ำว่า…หลิ่ม โดยต้องกระตุกเป็นสตักคาโต (staccato) พร้อมกับสะบัดเสียงปิดแบบแม่กมให้สั้นจุ๊ด เพื่อส่งพลังจากการปิดเสียงกะทันหันให้พุ่งฝ่าอากาศไปตัดขั้วหัวใจฝ่ายตรงข้ามประดุจมีดสั้นของลี้คิมฮวง
ส่วนลิเบอร่านนั้น แม้ต้องการผลแบบเดียวกัน แต่กล้ามเนื้อรอบปากทำงานคนละแบบ เริ่มต้นด้วยการดึงคนฟังขึ้นไปสูงลิบด้วยคำว่า-ลิ ที่เป็นวรรณยุกต์ตรีอันมีเสียงสูงราวนกไนติงเกล โดยริมฝีปากต้องฉีกแบะออกจากกันแต่พองามเพื่อให้ลิ้นที่ขึ้นไปกระทบเพดานปากปลดปล่อยเสียงออกมาสั้นจุ๊ด จากนั้นก็กดต่ำ แต่ไม่ใช่ต่ำเหมือนหลิ่มที่ต่ำแบบเสียดคล้ายแทงแท่งอะไรสักอย่างลงมาจากที่สูง แต่คำว่า-เบอ, เป็นความต่ำขนาดใหญ่มโหฬารเหมือนปาก้อนดินเหนียวเขละๆ ลงพื้น จากลิที่สูงลิบ ต้องปล่อยของเน่าตกมาเผละมาแบะบานบิ๊กเบิ้มอยู่แทบเท้า แลดูชิงชังน่ารังเกียจเป็นที่ยิ่ง โดยริมฝีปากยามพูดคำว่าเบอนั้น ก็ควรจะแสยะออกไปยังทิศประจิมกับบูรพา (เพราะมักไม่อยากฉีกแสยะไปในทิศอุดรกับทักษิณ) โดยให้รูปปากมีลักษณะเป็น arch โค้งคว่ำ ก่อนเปล่งพลังขั้นสุดท้ายออกมาด้วยคำว่า-ร่าน ที่ต้องกระแทกเสียงกระดกลิ้นรัวเหมือนปืนกลด้วยความถี่ 20,000 เฮิร์ตซ์ โดยจะมีข้อได้เปรียบคำว่าหลิ่มอยู่นิดหน่อย เนื่องจากคำว่าร่านนั้นสะกดด้วยสระอา จึงลากเสียงให้ยาวยืดได้ไม่รู้จบ (ถ้าน้ำลายของคำว่าหลิ่มจากอีกฝ่ายจะไม่กระเซ็นเป็นฝอยเข้าปากไปเสียก่อน) แล้วค่อยม้วนลิ้นกระทบเพดานปากสวยๆ ด้วยแม่กนในตอนจบ
เพราะฉะนั้น การขนานนามคนอื่นว่าเป็นสลิ่มหรือลิเบอร่าน จึงเป็นศิลปะการแสดงขั้นสูง คือต้องฝึกกล้ามเนื้อรอบปากให้แข็งแรง แต่แค่นั้นยังไม่พอ เพราะหากต้องการให้เกิดผลแบบแม็กซ์แวลู คือมีคุณค่าที่คุณคู่ควรเต็มเปี่ยมสมกับที่อุตส่าห์ลงแรงพ่นลมปากออกมาแล้วนั้น ก็ต้องให้ orbicularis oris ออกแรงไปรั้งดึงกล้ามเนื้อมัดอื่นๆบนใบหน้าด้วย เพื่อสร้างริพเพิลเอฟเฟ็กต์เป็นคลื่นกระเพื่อมต่อเนื่องกันไปให้ถึงที่สุด เช่นบังคับกล้ามเนื้อ risorius ที่ช่วยการแสยะยิ้มให้เสียดแสยงได้ยิ่งๆขึ้นไป หรือกล้ามเนื้อ corrugator บริเวณคิ้ว ที่ต้องขมวดให้ดูถมึงทึงประหนึ่งยักษ์วัดโพธิ์ เพื่อความโก้น่าเกรงขามบางประการ แต่ที่ไม่พึงให้ขยับสักเท่าไหร่ คือกล้ามเนื้อ Nasalis ตรงจมูก เพราะมันทำหน้าที่หุบปีกจมูก ขยับมากประเดี๋ยวไพล่จะทำให้จมูกดูพะเยิบพะยาบราวจมูกหมูสูดหาเห็ดทรัฟเฟิลล้ำค่าในราวป่า เสียบุคลิกนักรบผู้กล้ากร้าวกร่างไปหมด
(ป.ล. แม้จะเอ่ยคำเหล่านี้อยู่หลังคีย์บอร์ดในห้องนอนตามลำพัง ก็ควรตั้งจิตเคียดแค้นเปล่งเสียงออกมาดังๆด้วยนะครับ จะได้เหมือนการลงอาคมผ่านคำบนหน้าจอไปด้วยในตัว)
การบังคับกล้ามเนื้อเพื่อให้เกิดผลสูงสุดเป็นเรื่องที่ต้องฝึกให้เชี่ยวชาญ มิฉะนั้น เอ่ยคำว่าสลิ่มหรือลิเบอร่านไปก็คงไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่ ผู้ฟังรังแต่จะนึกถึงขนมหรือดอกไม้ไปโน่น
โดยส่วนตัวแล้วให้คะแนนความคิดสร้างสรรค์กับคำว่า ‘ลิเบอร่าน’ เหนือคำว่าสลิ่มอยู่นิดนึงนะครับ เพราะปกติแล้ว ถ้าจะด่ากันแบบ ‘ไทยๆ’ ให้ถึงกึ๋นแล้วละก็ เราจะต้องด่ากันโดยยกเรื่องเพศมาประกบประกอบด้วยราวกับกินไส้กรอกปลาแนม อาทิเช่น คุณพักตราอิตถีเพศ / คุณชายลึงค์เอ๊ย / จงไปร่วมประเวณีกับมารดาคุณ ณ บัดนี้เถิด / นางแพศยายาใจ / คุณหญิงดอกไม้สุวรรณภูมิ / นางลักเพศอาวุโส หรืออะไรทำนองนี้ ไม่ว่าเรื่องที่ด่านั้นจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศก็ตามที
เพราะฉะนั้น การด่าคนอื่นว่า-สลิ่ม, แบบไม่มีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงทำให้คะแนนตกไปราว 0.85% ในขณะที่การใช้คำว่า ‘ร่าน’ ใน ‘ลิเบอร่าน’ นั้น ต้องถือว่าได้บวกคะแนนความเป็นไทยแท้เจ้าแห่งการด่าโดยผูกเครื่องเพศเข้ากับถ้อยคำอีกราว 12.77% เพราะคำว่า ‘ร่าน’ ในความหมายเดิมแท้ของมันก็คือความอยากใคร่ในทางกามารมณ์ ที่จริงมีอีกสองความหมาย คือหมายถึงรีบด่วน (แต่ไม่ค่อยเห็นใครใช้กัน) กับใช้เรียกหนอนพิษหรือบุ้ง (คือเรียกว่าหนอนร่าน) แต่ส่วนใหญ่เวลาพูดว่าร่าน คนมักนึกถึงความอยากมีเพศสัมพันธ์เสียทั้งนั้น
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าไม่ร่าน-จะรู้จักโลกและรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างไร มัวมานั่งพับเพียบหุบความปรารถนาทุรนนั่งร้อยพวงมาลัยอยู่กับบ้านก็คงเข้าใจอะไรๆ ไม่ค่อยได้นักหรอก แต่ในอีกฝั่งก็มีคนนินทากันเยอะนะครับว่า-อีพวกลิเบอรัลเนี่ย สุดท้ายก็ชอบทะเลาะแตกคอกันเอง เป็นเพราะไปร่านระริกๆๆๆๆ ผสมพันธุ์กับนั่นโน่นนี่ไม่คิด แล้วที่สุดก็ต้องเจ็บกลับมา!
ด้วยเหตุนี้ พอเป็นคำว่า-ลิเบอร่าน ผมเลยคิดว่าน่าสนใจมากนะครับ เพราะคำนี้มีไว้ประชดประเทียดเสียดสีพวกที่เรียกตัวเองว่าเป็นลิเบอรัล (Liberal) หรือเสรีนิยม ซึ่งก็แหม! พอใครประกาศว่าตัวเองเป็นเสรีนิยมเข้าให้หน่อยละก็ หลายคนไม่ค่อยคิดถึงเรื่องอื่นหรอกนะครับ นอกเหนือไปจากเรื่องเซ็กซ์ แล้วจะไปโทษใครก็ไม่ได้นะครับ ก็อ้ายอีพวกเสรีนิยมเหล่านี้น่ะ เอะอะอะไรก็แก้ผ้าประท้วง เปิดนมต้มบ้างล่ะ โชว์พวงบ้างล่ะ เปิดตูดก้นโชว์จิ๋มจั๊กกะแร้บ้างล่ะ ใครเขาจะอยากไปดูสมบัติลี้ลับซุกหีบของพวกแก (หือ!) เห็นแล้วอยากถลกผ้าถุงเอาตะหลิวชี้หน้าด่าให้ไปเกิดใหม่กันเลยทีเดียว ทำตัวกันแบบนี้มัน ‘ร่าน’ ชัดๆ เพราะฉะนั้นจงอย่าเรียกตัวเองว่าลิเบอรัลเลย รับคำว่าลิเบอร่านใส่กะโหลกไปเถอะ
สำหรับผม คำด่านี้เลยมีอัจฉริยภาพมากนะครับ เพราะมันสำแดงความเป็นไทยแท้ๆ ออกมาหลายเรื่อง ทั้งความสามารถชั้นสูงในการเล่นคำ บิดคำ แล้วยังเอาคำที่บิดนั้นไปรับใช้อุดมคติแห่งการด่าตามรากแบบไทยๆ ที่ฝังลึกอยู่ในสำนึกแสนงามของเราอีกด้วยด้วย
แต่ไม่เท่านี้หรอกนะครับ เพราะคำว่า ‘ร่าน’ นั้น มันมีความหมายเหมือนกับอยากดิ้นริกๆๆๆ (ถ้าอยากฝึกกล้ามเนื้อใบหน้า ก็เติมไม้ยมกไปได้อีกเยอะๆ เลยนะครับ จากนั้นก็ให้ฝึกออกเสียง ริกๆๆๆ สนุกมากครับ) ไปผสมพันธุ์กับสิ่งต่างๆ ซึ่งเอาเข้าจริง คำนี้มันก็เหมาะกับจริตของพวกลิเบอรัลจริงๆ นะครับ
ก็ด้วยความที่เป็นเสรีนิยมนี่แหละครับ คนที่สมาทานเสรีนิยมเลยมีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง คือสามารถ ‘ผสมพันธุ์’ กับอุดมการณ์อื่นๆ ได้อีกร้อยแปดอย่าง เพราะคุณสมบัติสำคัญของเสรีนิยมที่แท้จริงก็คือต้องเสรีน่ะนะครับ จะมาบอกว่าเอ็งต้องเสรีแบบเดียวกับข้า อย่างนี้ไม่ใช่เสรีหรอกครับ ดังนั้นเสรีนิยมก็ต้องสมาทานความคิดเรื่องความเท่าเทียมและเสรีภาพทั้งหลาย เช่น freedom of speech, freedo of religion, free market และอื่นๆ อีกมากมาย จึงแปลว่า เหล่าลิเบอรัลทั้งหลายต่างก็แตกกอไปผสมรวมกับหลักคิดอื่นได้สารพัด จนไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (ซึ่งอาจไม่จำเป็นก็ได้) โดยแต่ละคนจะแอบเอาแนวคิดของตัวเองไป ‘ผสมพันธุ์’ กับแนวคิดนั้นโน้นนี้อย่างละนิดละหน่อย แล้วแนวคิดอื่นๆ เหล่านั้นก็ย่อมต้องมีหลักการที่ไม่เหมือนกันใช่ไหมครับ ดังนั้น พวกลิเบอรัลทั้งหลายก็เลยไม่ค่อยจะเหมือนกันไปด้วย ความ ‘ร่าน’ จึงมีผลให้เกิดความแตกต่างหลากหลายทางความคิดไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าไม่ร่าน-จะรู้จักโลกและรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างไร มัวมานั่งพับเพียบหุบความปรารถนาทุรนนั่งร้อยพวงมาลัยอยู่กับบ้านก็คงเข้าใจอะไรๆ ไม่ค่อยได้นักหรอก แต่ในอีกฝั่งก็มีคนนินทากันเยอะนะครับว่า-อีพวกลิเบอรัลเนี่ย สุดท้ายก็ชอบทะเลาะแตกคอกันเอง เป็นเพราะไปร่านระริกๆๆๆๆ ผสมพันธุ์กับนั่นโน่นนี่ไม่คิด แล้วที่สุดก็ต้องเจ็บกลับมา!
ดังนั้น คำว่าลิเบอร่าน จึงเป็นคำที่มีระดับความสร้างสรรค์ในการด่าระดับปรนิมมิตวสวัตดีกันเลยทีเดียว คำว่าสลิ่มนั้นสู้ไม่ค่อยได้ เพราะแรงแต่เพียงเสียงของคำ แต่ความหมายไม่หยั่งลึกไปถึงรากสักเท่าไหร่
คุณอาจจะสงสัยว่า แล้วผมมาเล่าให้คุณฟังทำไมเป็นวรรคเป็นเวรเรื่องสลิ่มกับลิเบอร่าน
คืออย่างนี้ครับ ฟังดูเผินๆ เราอาจรู้สึกว่าสลิ่มกับลิเบอร่านนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตคนละขั้วกัน เจอกันเมื่อไหร่เป็นต้องโผนเข้าตบตีกันทุกทีไป แต่คุณรู้ไหมครับ ผมพบว่ามีคนไม่น้อยทีเดียวที่พบว่าบางวันก็ถูกคนอื่นเรียกว่าเป็นสลิ่ม บางวันก็ถูกเรียกว่าเป็นลิเบอร่าน เล่นเอาเดาตัวเองไม่ถูกเลยว่าแท้จริงแล้วเป็นคนแบบไหนกันแน่
เขาบอกว่า-ลิเบอร่านมักจะเรียกคนอื่นที่ลิเบอร่านน้อยกว่าตัวเองว่าสลิ่ม
และสลิ่มก็มักเรียกคนอื่นที่สลิ่มน้อยกว่าตัวเองว่าลิเบอร่าน
ด้วยเหตุนี้ ไอ้คนที่สลิ่มนิดๆ ลิเบอร่านหน่อยๆ ก็เลยมักจะเกิดอาการ ‘เหวอแดก’ ไม่ค่อยจะรู้หรอกครับว่าตัวเองเป็นอะไร แถมทั้งสลิ่มและลิเบอร่านยังชอบพูดแบบเดียวกันอีกนะครับว่าคนพวกนี้น่าสงสาร เป็นพวกดวงตาไม่เห็นธรรม สองก็ไม่เอาสามก็ไม่เอา หรือไม่ก็ชอบลอยตัวเหนือปัญหา รอให้ฝ่ายชั้นชนะแล้วค่อยมาตีกินละซี้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นพวกไว้ใจไม่ได้อย่างที่สุด แต่ในเวลาเดียวกัน คนทั้งสองกลุ่มก็อยากได้ไอ้พวกกลางๆ นี้ไปเข้ากลุ่มด้วยเหมือนกันนะครับ เพราะจะได้เป็นการเพิ่มสมัครพรรคพวกของตัวเอง เรื่องทั้งหมดมันก็เลยยุ่งขิงติงนังกันไปหมด
และความคิดทั้งหมดนี้ ก็กลั่นตัวมาเป็นหยดเข้มข้นที่ปลายลิ้น ซิมพลิฟายด์ทุกสิ่งในสังคมด้วยอัจฉริยภาพเหนือกว่าไอน์สไตน์ กลายมาเป็นคำสั้นๆ ว่าสลิ่มและลิเบอร่าน-นี่แหละครับ
เราจึงอยู่ในสังคมที่ชาญฉลาดมากในด้านการสร้างคำนะครับ
แต่ที่สำคัญ อยากบอกคุณทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า-สิ่งมีชีวิตที่เป็นทั้งสลิ่มและลิเบอร่านในตัวเดียวกันนั้นมีอยู่จริงๆ นะครับ,
อย่างน้อยก็ผมนี่แหละ!