ฉันโดนแบน
ไม่ใช่สิ ไม่ใช่จากกระทรวงวัฒนธรรมหรือ สสส. นี่มันเจ็บยิ่งกว่านั้น คือฉันโดนเฟซบุ๊กแบน!!
ข้อหาคือ ระบบเกิดความสงสัย (ฉันนึกเป็นภาพมาร์ค ซักเกอร์เบิร์กนั่งเอียงคอเอานิ้วจิ้มแก้ม ดูรูปฉันแล้วพูดว่า “เอ๊~~ คนนี้ใครน้าาาาา”) ว่าชื่อบัญชีผู้ใช้งานของฉันไม่ใช่ชื่อจริง จึงบันดาลให้เกิดอาเพศแก่ตัวตนในเฟซบุ๊กของฉัน ที่จะต้องหายไปก่อนจนกว่าระบบจะตรวจสอบยืนยันจนมั่นใจ ว่าฉันคือฉัน คืออินทิรา เจริญปุระจริงๆ
ก็ทำเอาหงุดหงิดหัวใจมากอยู่ หงุดหงิดจนโดนล้อว่าอาการหนักนะเนี่ย หงุดหงิดจนต้องมานั่งคิด วิเคราะห์ แยกแยะว่าอะไรดลใจให้ระบบมันสงสัยฉันขึ้นมา ก็มีคนเสนอมาว่าอาจจะโดนรายงานจากผู้ประสงค์จะกลั่นแกล้งแต่ไม่ประสงค์จะออกนามไปทางระบบ มันเลยต้องตรวจสอบให้
ฉันทำอะไรผิดวะ ไม่มี้~ ออกจะน่ารักเรียบร้อยอยู่ในศีลธรรมอันดีของเฟซบุ๊กจะตาย ความเคลื่อนไหวล่าสุดก่อนจะถูกแบนก็มีแค่เรื่องการรีวิวหนัง (คืออวด–ไม่สิ ไม่ได้อวด เรียกว่าเล่าสู่กันฟังก็แล้วกัน ว่าไปดูหนังเรื่องนั้นเรื่องนี้มาแล้ว) พอระลึกถึงกิจกรรมเล่าหนังนี้ออกมาดังๆ ผู้ฟังก็สมอ้างทันที ว่า “นี่ไง เธอสปอยล์หนังหรือเปล่า คนเลยรีพอร์ต”
สปอยล์คืออะไร? แค่ไหนคือสปอยล์?
สารภาพตรงๆ ว่าตอนเด็กๆ ฉันไม่เห็นเคยได้ยินอะไรที่มีความหมายตามนี้มาก่อน (คือคำว่าสปอยล์แบบเข้าใจได้ร่วมกันทั่วโลกมันเพิ่งโผล่มาในช่วงหลังๆ นี่เอง) อาจเพราะโลกแห่งความบันเทิงรอบตัวฉัน สร้างงานขึ้นมาจากแหล่งที่มาที่มีคนรู้อยู่แล้ว นั่นก็คือการผลิตหนังจากนวนิยาย ดังนั้นความกดดันจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร เพราะยังไงคนก็รู้อยู่แล้วว่าโกโบริต้องตาย ก็จะตายซ้ำตายแซะซักกี่เวอร์ชั่นก็ได้ แต่ขอให้เรื่องระหว่างทางมันโดนใจคนดูซึ่งเป็นผู้เคยอ่านนวนิยายมาก่อนเป็นพอ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป โลกก็ได้รู้จังกับภาพยนตร์เรื่องเดอะ ซิกส์ เซนส์สัมผัสสยอง ซึ่งเลื่องลืออื้ออึงกันมาก ว่าถ้าใครมาเฉลยปมของเรื่องจะต้องได้เห็นดีกัน มีการตัดเพื่อนตัดพี่ ฟันคอริบเรือน ขับออกจากเมืองอะไรๆกันประมาณนั้น
ตัวฉันซึ่งเป็นนักแสดงอยู่แล้ว ซึ่งหมายความว่าถ้าไม่ได้อ่านบทก็ไม่รู้จะทำการแสดงอะไรมาหลอกลวงคนดู ถือว่าค่อนข้างมีภูมิคุ้มกันอันคงทนต่อการสปอยล์ในระดับแข็งแรง (ลองนึกถึงนักแสดงที่พอรู้ตอนจบแล้วเล่นไม่ออก ทำใจไม่ได้ หรือเที่ยวไปเฉลยความลับตัวละครให้ใครๆ รู้สิ–ชีวิตในวงการคงสดใสสิ้นดี) รู้แล้วก็เล่นได้ รู้แล้วก็ดูซ้ำได้
“คนเขาเสียเงินมาซื้อความเซอร์ไพรส์ไงเธอ เขาไม่ได้ดูอย่างเธอดูนี่หว่า” เสียงเดิมให้คำตอบอย่างระอาแก่ฉัน
เออ จริงด้วยเนอะ คือฉันก็มัวแต่ไปคิดว่า ถึงรู้แจ้งแทงตลอดแล้ว ความสนุกก็เพราะเรารู้นี่ล่ะ ดูทั้งที่รู้จะได้เห็นลูกเล่นที่เขาหยอดเอาไว้เบี้ยบ้ายรายทาง ว่าลงรายละเอียดอ่อยเหยื่อเราไว้แค่ไหน จะม้วนตัวกลับมาเก็บตะเข็บเหล่านี้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์เพียงใด
แต่หลายๆ คนเขาจ่ายเงินเพื่อจะมาซื้อความ ‘เฮ้ยยยยยยยยยย’ ในโรงหนัง แล้วถ้ามีอ้ายอีหน้าไหนดันมาเฉลยเสียแล้ว ความตื่นตกใจนั้นก็จะลดลงไปจนถึงขั้นงอแงเหม็นเบื่อ ไม่ดูแม่งแล้วในที่สุด
แต่ฉันว่าที่คนไม่ชอบให้สปอยล์นั้น นอกจากสาเหตุการโดนขโมยห้วงเวลา ก็น่าจะมีอีกเหตุผลหนึ่ง
นั่นคือมันทำให้เรากลายเป็นคนธรรมดา
ทุกคนอยากเป็นคนพิเศษที่ได้รู้ความลับก่อนใคร
หรืออย่างน้อยถ้าไม่ได้รู้ก่อนใคร มึงกับกูมารู้พร้อมกันก็ยังดีวะ อย่างน้อยเราก็มีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลพร้อมๆ กันโดยไม่ถูกกีดกัน (ประเด็นนี้คำ ผกาหรือนักวิชาการทางสังคมควรนำไปวิเคราะห์ให้กว้างขวาง เพราะฉันรู้สึกว่าแหลมคมมาก)
นี่เองที่ทำให้คอซีรีส์แทบจะไม่กล้าคุยกับใครหรือสไลด์นิ้วผ่านฟีดส์เฟซบุ๊กตอนเช้าหลังการออกอากาศของตอนล่าสุด เพราะกลัวจะโดนขโมยห้วงเวลา และขวนขวายรีบหามาดูให้รู้แก่ตาตัวเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้ตัวเองตกไปอยู่ในหมู่บ้านหลังเขา ความเจริญเข้าไม่ถึง ฟังแต่เสียงตามสายไม่มีเคเบิลทีวี ว้ายๆ เชยจังเลยอะแก เค้ารู้กันตั้งนานแล้ว อะไรแบบนี้
แต่จะพูดไปทำไมมี ฉันทำเป็นนึกขึ้นได้จากเดอะ ซิกเซนส์และซีรีส์ โดยแกล้งเป็นลืมไปได้อย่างไร ว่าหนังสือพิมพ์รายวันสมัยก่อนนั้น (เดี๋ยวนี้ยังมีอยู่ไหมก็ไม่รู้) มีบทละครโทรทัศน์ลงเป็นตอนๆ ล่วงหน้าให้ แถมถ้าใครอินแรงขึ้นไปอีกระดับ ก็สามารถไปซื้อหนังสือเรื่องย่อประกอบภาพดาราละครสี่สีสวยสดมาเสพให้ชื่นฉ่ำได้ก่อนใคร เอาไปเปียเพื่อนได้ว่า “ว้ายยยยย ชั้นรู้แล้วย่ะว่าพระเอกนางเอกมันได้กัน และมรดกก็ตกเป็นของตระกูล”
เออ ว่าแต่มีใครอยากรู้บ้างมั้ย ว่าตกลงบรูซ วิลลิสในเดอะ ซิกส์ เซนส์นี่มัน….