1.
เดือนมกราคมปี ค.ศ.1958 สังคมอเมริกันอยู่ในความตกตะลึง เมื่อเกิดเหตุฆาตกรฆ่าสนุก (The Murder Spree) ซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของฆาตกรที่ฆ่าคนเพียงเพราะความพึงพอใจในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ได้ก่อเหตุยาวนานแบบฆาตกรต่อเนื่อง ไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน
ซึ่งความน่ากลัวของเหตุการณ์นี้คือผู้ก่อเหตุเป็นเพียงชายหนุ่มอายุ 19 ปีเท่านั้น เขาได้ก่อเหตุสังหารคนไป 11 ศพ รวมถึงพ่อเลี้ยง แม่และน้องต่างพ่อของแฟนสาวเขาเองด้วย ไม่เพียงเท่านั้นการก่อเหตุฆาตกรรมนี้กินเวลาเพียง 2 เดือนคือเดือนธันวาคม ค.ศ.1957 ถึงมกราคม ค.ศ.1958 ชายหนุ่มก่อเหตุสังหารโหดโดยมีแฟนสาววัยอยู่เคียงข้างแทบทุกครั้ง
ผ่านไป 63 ปี กับการก่อเหตุสุดสะพรึงนี้กับเรื่องราวของชาร์ลส์ สตาร์กเวเธอร์ (Charles Starkweather) กับแฟนสาวของเขาวัยเพียง 14 ปีที่ชื่อว่าแคริล แอน เฟาเกต (Caril Ann Fugate)
2.
ชาร์ลส์เกิดในครอบครัวชนชั้นแรงงานในรัฐเนบราสกา เป็นลูกคนที่ 3 จากพี่น้อง 7 คน เขามีปัญหาติดเชื้อตอนเกิด ทำให้ขามีรูปทรงแปลกๆ มีอาการติดอ่าง ตัวเล็ก ที่โรงเรียนชาร์ลส์โดนกลั่นแกล้งอยู่ตลอดเวลา จนถึงช่วงมัธยม 6 ก็ตัดสินใจลาออกจากการเรียนและไปหางานทำเป็นคนทำความสะอาดใกล้กับโรงเรียนมัธยมต้นแห่งหนึ่ง ซึ่งเพื่อนของเขาได้เป็นแฟนกับพี่สาวของแคริล นั่นทำให้ทั้งสองคนได้มารู้จักและกลายเป็นคู่รักกันตั้งแต่นั้น
ภายใต้ภาพลักษณ์เด็กขี้โรคนั้น ชาร์ลส์ซ่อนความรุนแรงไว้ เขาพยายามสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งให้กับตัวเองในเวลานั้นทั้งแต่งตัวใส่เสื้อหนังมีภาพลักษณ์ขบถและทำผมเลียนแบบเจมส์ ดีน (James Dean) ดาราภาพยนตร์ชื่อดัง แม้ว่ารูปร่างเขาจะดูไม่เหมือน ไม่เท่ ไม่สง่า ไม่ดึงดูดสาวๆ แม้แต่น้อยเลยก็ตาม แต่ชาร์ลส์ก็พยายามพอดูที่จะทำให้ตัวเองดูดีแบบดารา ซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนหนุ่มยุคนั้น ที่มีเจมส์ ดีนเป็นวีรบุรุษในดวงใจ
ความรักของทั้งสองเกิดปัญหาขึ้น เมื่อชายหนุ่มให้เด็กสาวขับรถของตัวเองเล่น ปรากฏว่ารถดันไปชนรถหลายคันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในธุรกิจของพ่อชาร์ลส์ อุบัติเหตุครั้งนี้นำไปสู่การชดใช้ค่าเสียหายและการทะเลาะอย่างรุนแรงระหว่างพ่อกับลูกชายจนนำไปสู่การไล่เด็กหนุ่มออกจากบ้าน แถมครอบครัวฝ่ายหญิงก็สั่งห้ามลูกสาวไปยุ่งเกี่ยวกับชาร์ลส์อีกต่อไป
ต่อมาชายหนุ่มลาออกจากงานเริ่มอาชีพเก็บขยะ ซึ่งให้โอกาสเขาสำรวจว่าบ้านหลังไหนเหมาะจะก่อเหตุย่องเบาบ้าง จุดนี้ชารล์สมีความตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าเขาจะเลือกทางเดินเป็นอาชญากร ถ้าถึงเวลาต้องฆ่าใคร เขาก็จะทำ
กินเวลาไม่นานศพแรกในชีวิตของชาร์ลส์ก็มาถึง
3.
ชายหนุ่มฆ่าคนตายครั้งแรกในวันที่ 30 พฤศจิกายนต่อเนื่องวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ.1957 ตอนนั้นเขาอยากจะซื้อของให้กับแฟนสาวแคริลที่ยัง (แอบ) คบหากันต่อ อย่างไรก็ดีเขาพยายามขอเครดิตเอาของขวัญที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งมาก่อนแล้วค่อยจ่ายเงินทีหลัง ซึ่งเด็กปั๊มปฏิเสธ ชาร์ลส์จึงจากไปและขับรถกลับมาใหม่โดยพกปืนมาด้วย เขาก่อเหตุปล้นเงินจากมินิมาร์ทของปั๊มและลักพาตัวเด็กปั๊มไป ในจังหวะหนึ่งเหยื่อรู้ดีว่าถ้าเขาไม่สู้ก็ต้องตายแน่ จึงพยายามต่อสู้จนได้รับบาดเจ็บและถูกอาวุธปืนจ่อหัวยิงปลิดชีพ
วินาทีนั้นชาร์ลส์ค้นพบว่าตัวเองมีอำนาจ แปรสภาพจากเด็กที่มีพฤติกรรมต่อต้านสังคมกลายเป็นฆาตกรอย่างเต็มตัว เขาเอาศพเด็กปั๊มทิ้งริมทาง แล้วเอาเงินที่ก่อเหตุปล้นมาไปซื้อเสื้อผ้าใหม่
น่าเสียดายว่าในเวลานั้นตำรวจเข้าตรวจสอบเหตุฆาตกรรมนี้แล้วมองว่าเด็กปั๊มซึ่งเป็นอดีตทหารเรือน่าจะถูกฆ่าโดยคนจรที่ผ่านเข้ามาในเมืองแล้วก่อเหตุปล้นปั๊ม จึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก นั่นทำให้อีกเดือนต่อมา ชาร์ลส์จึงได้ลงมือฆ่าคนอีกครั้ง
วันที่ 21 มกราคม ค.ศ.1958 ชาร์ลส์เดินทางไปบ้านของแฟนสาวซึ่งเวลานั้นไปเรียนหนังสือ เขาพบหน้าพ่อเลี้ยง และแม่แท้ๆ ของแฟนสาว เวลานั้นทั้งสองกำลังดูแลลูกสาววัย 2 ขวบอยู่
ไม่มีใครตระหนักว่ากำลังเผชิญกับปิศาจ
พวกเขาสั่งให้ชาร์ลส์เลิกยุ่งกับลูกสาวของตัวเอง
เหตุการณ์หลังจากนี้ยังคงสับสน เพราะไม่มีพยานอยู่ในที่เกิดเหตุ ว่ากันว่า แคริลกลับมาที่บ้านแล้วพบว่าพ่อเลี้ยง แม่ และน้องสาวของตนต่างถูกฆ่าจนหมด โดยพ่อเลี้ยงถูกยิงที่หัว แม่ถูกยิงเข้าที่หน้าและโดนปืนไรเฟิลกระแทกซ้ำ ถึงจุดนี้ทุกคนยังสงสัยว่าเด็กสาววัย 2 ขวบตายอย่างไร
จากการตรวจสอบหลักฐานคาดว่า เธออาจจะร้องไห้ระหว่างที่ชาร์ลส์ลงมือฆ่าพ่อกับแม่ ด้วยความรำคาญเขาจึงปามีดไปปักร่างเธอ แต่ก็มีข้อมูลว่าเขาได้รัดคอและกระหน่ำแทงเด็กหญิงวัย 2 ขวบจนตาย แล้วเอาศพไปทิ้งในถังขยะ ส่วนศพของพ่อและแม่นั้นก็กระจายทิ้งซ่อนไว้นอกบ้าน เมื่อแคริลกลับจากโรงเรียน เธออ้างในเวลาต่อมาว่า ชาร์ลส์ขู่จะฆ่าเธอด้วยหากไม่ร่วมมือ หรือพยายามหลบหนี
ทั้งสองอยู่ในบ้านหลังเกิดเหตุเป็นเวลา 6 วันด้วยกัน อยู่กันอย่างสบายและไม่สนใจ 3 ศพที่เน่าในตัวบ้านด้วยซ้ำ แคริลไม่ให้ใครเข้ามาในบ้านอ้างว่าป่วยเป็นหวัดจึงขอให้ใครที่จะเข้ามาในบ้านกลับไปให้หมด อย่างไรก็ดีผ่านไปหลายวัน คุณย่าของแคริลขู่ว่าถ้าไม่ให้ใครเข้าไปในบ้านจะแจ้งตำรวจมาตรวจสอบ ทั้งสองจึงได้ฤกษ์ออกเดินทาง ด้วยการฆ่าคนอีกครั้ง
คราวนี้พวกเขาหนีไปหาเพื่อนสนิทครอบครัวของชาร์ลส์ ขณะที่รถติดหล่ม เขาคนนั้นอาสาจะช่วยเหลือ แต่ผลที่ได้คือถูกยิงตาย แคริลให้การเวลาต่อมาว่า การสังหารโหดครั้งนี้ทำให้เธอต้องเคารพเชื่อฟังคนรักอย่างสุดจิตสุดใจ
ช่วงค่ำวันเดียวกันนั้น คู่รักคู่นี้ได้ก่อเหตุฆ่าอีก 2 ศพ โดยเป็นวัยรุ่นชายหญิงอายุ 17 ปีกับ 16 ปี ฝ่ายชายโดนยิงที่หัวจากข้างหลังถึง 6 นัด ชาร์ลส์พยายามข่มขืนวัยรุ่นหญิงแต่ไม่สำเร็จจึงใช้ปืนยิงและเอามีดแทงที่ท้อง จุดนี้ชาร์ลส์บอกว่าคนฆ่าคือแคริลที่อิจฉาวัยรุ่นหญิงที่ดูสวยกว่า จึงเอามีดกระหน่ำแทง แต่แคริลยืนยันว่าเธอนั่งอยู่ในรถตลอดการสังหารโหดนี้
วันรุ่งขึ้นคู่รักนักฆ่าขับรถไปหาบ้านเหมาะๆ เพื่อจะใช้เป็นที่กบดาน พวกเขาจึงได้ฆ่านักธุรกิจชายและภรรยา พร้อมกับสังหารโหดคนใช้รวมเป็น 3 ศพ เมื่อตำรวจพบศพครอบครัวนี้จึงมีการระดมกำลังค้นบ้านหลังต่อหลัง เจ้าหน้าที่พิทักษ์มาตุภูมิถูกส่งมาเพื่อรับมือกับฆาตกรสังหารโหดนี้ทันที
แต่ไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้แต่อย่างใด
ชายหญิงสุดโหดคู่นี้ยังได้ก่อเหตุชิงรถยนต์โดยการสังหารเจ้าของรถที่เป็นผู้ชายโดยรัวยิงไป 9 นัด ซึ่งเป็นศพสุดท้ายของพวกเขา เพราะหลังจากนั้นรถที่ทั้งคู่ชิงมาเกิดมีปัญหา ขณะพยายามซ่อมรถ ก็มีคนผ่านมาเห็น โดยที่ศพของเจ้าของรถคนเดิมยังอยู่ที่เบาะหลัง ทีแรกชาร์ลส์ชักปืนคู่พลเมืองดีที่มาช่วย แต่โดนแย่งปืนไปได้ จังหวะนั้นเจ้าหน้าที่ขับรถผ่านมาเห็นพอดี ตอนนั้นเองแครีลรีบลงจากรถแล้วตะโกนออกมาว่า
“เขาจะฆ่าฉัน เขาเป็นบ้า พึ่งฆ่าคนตายมา”
เจ้าหน้าที่ได้ยินแบบนั้นจึงรีบเข้าดูแลแคริล ส่วนชาร์ลส์ขึ้นรถขับหลบหนีออกไป มีการแจ้งสกัดจับกันยกใหญ่ ไม่นานชาร์ลส์ก็โดนจับ หลังเจ้าหน้าที่ล้อมรถและยิงถล่มรอบคัน ทำให้ชาร์ลส์ได้รับบาดเจ็บ ทางการขู่ว่าหากคิดสู้จะโดนวิสามัญ
ตอนนั้นชายหนุ่มเลือกที่จะฆ่าตัวตาย แต่เหมือนนรกยังไม่ต้อนรับเมื่อกระสุนปืนเขาหมด จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากการมอบตัวต่อตำรวจ
ปิดฉากการตะลอนเที่ยวของคู่รักที่ฆ่าไป 11 ศพ ในเวลาไม่ถึง 60 วัน
4.
เมื่อนำตัวชาร์ลส์มาสอบปากคำ เขาสารภาพการก่อเหตุทั้งหมดเอง ทีแรกตำรวจสงสัยว่าแคริลรู้เห็นเป็นใจมากแค่ไหน ซึ่งเจ้าหน้าที่คิดว่าแคริลโดนลักพาตัวมา และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าครอบครัวโดนฆ่าตายหมดแล้ว แคริลร้องไห้ต้องการคุยกับพ่อแม่ ด้วยวัย 14 ปีเจ้าหน้าที่จึงรู้สึกสงสารเธอ แถมชาร์ลส์ยังบอกว่าแฟนสาวเขาไม่เกี่ยวกับเหตุฆาตกรรมครั้งนี้
อย่างไรก็ดีตำรวจพบหลักฐานเพิ่มเติม เช่น ชิ้นส่วนหนังสือพิมพ์ที่ถูกตัดเก็บเรื่องราวการเสียชีวิตของครอบครัวแคริล ซึ่งหญิงสาวเก็บไว้กับตัว การจะบอกว่าเด็กสาวคนนี้โดนลักพาตัวมาและต้องทนยอมอยู่กับแฟนหนุ่มด้วยการถูกบังคับก็ค่อนข้างเชื่อยาก
เมื่อมีหลักฐานว่าในจังหวะหนึ่งของการตะลอนของทั้งคู่ แคริลไปทานข้าวในร้านอาหาร ส่วนชาร์ลส์วุ่นอยู่กับการซ่อมรถนอกร้าน จุดนั้นแคริลอยู่กับสาวเสิร์ฟ และชายหนุ่มมากมายที่มากินข้าวในร้าน ถ้าเธอคิดจะหนีจริง ตอนนั้นทำไมเธอถึงไม่คิดทำ หากโดนบังคับจริง ทำไมไม่ร้องขอความช่วยเหลือ ไม่เพียงเท่านั้นในเวลาต่อมามีข้อมูลว่าระหว่างการหลบหนีทั้งสองยังได้วางแผนให้แคริลเป็นเหยื่อมีความพยายามจะเอาเชือกมัดมือเธอให้เกิดแผลจะได้หลอกเจ้าหน้าที่ได้
ในเวลาต่อมาชาร์ลส์เองก็เปลี่ยนคำให้การ
และบอกว่าแคริลเองก็มีส่วนร่วมกับการฆาตกรรมด้วย
หลักฐานทั้งหมด ทำให้เจ้าหน้าที่ตั้งข้อหาแก่ชาร์ลส์ เขาถูกประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้าในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ.1959 ส่วนแคริลนั้นถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม นับเป็นเด็กหญิงอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา ณ ตอนนั้นที่ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม
5.
เด็กสาวติดคุกไป 18 ปี ในปี ค.ศ.1976 แคริลวัย 33 ปีก็ได้รับการปล่อยตัวออกมา เธอยืนยันมาตลอดว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ถูกชาร์ลส์ลักพาตัวมาและต้องจำยอมอยู่กับเขา เมื่ออกจากคุกแคริลเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่เงียบๆ เปลี่ยนชื่อตัวเองและทำงานเป็นผู้ช่วยภารโรงในโรงเรียนแห่งหนึ่งในรัฐมิชิแกน ในปี ค.ศ.1996 เธอพยายามยื่นเรื่องไปยังคณะกรรมการลดโทษในการช่วยพลิกคำตัดสินของศาล และประกาศว่าเธอคือผู้บริสุทธิ์ในคดีนี้เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของตัวเอง
แน่นอนว่ามันไม่ใช่อำนาจของคณะกรรมการที่จะทำเรื่องนี้ พวกเขาจึงปฏิเสธไป ขณะที่คนในรัฐเนบราสกา สมาชิกครอบครัวเหยื่อหลายคนยังไม่หายโกรธแค้นตัวเธอ และย้ำว่าหากเธอกลับมาในเมืองนี้อีก จะไม่ได้กลับออกไปแน่นอน
ล่าสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีก่อน แคริลในวัย 77 ปีได้ยื่นเรื่องไปอีกครั้ง ซึ่งทางผู้ว่าการรัฐเนบราสการ่วมตัดสินและแจงว่า คณะกรรมการชุดนี้ไม่มีอำนาจพลิกคำตัดสิน การยื่นครั้งนี้มีญาติครอบครัวผู้เสียชีวิตส่วนหนึ่งร่วมให้กำลังใจ และคิดว่าเด็กหญิงวัย 14 ปีในตอนนั้นไม่น่าเกี่ยวข้องกับเหตุฆาตกรรม แต่แค่ถูกหลอกล่อลวงโดนบังคับ มันเป็นข้อมูลใหม่ที่เพิ่มมากขึ้นจากงานวิจัยว่า แฟนสาวของฆาตกรบางคนจำยอมในสภาวะถูกบังคับให้ร่วมก่อเหตุถูกครอบงำ ไม่อาจหลุดพ้นจนต้องร่วมกระทำความผิดด้วย
อย่างไรก็ดีก็ยังคงมีผู้สูญเสียสมาชิกครอบครัวจากเหตุดังกล่าว
เห็นด้วยกับคำตัดสินของคณะกรรมการแล้ว
และไม่เห็นด้วยว่าเธอคือผู้บริสุทธิ์จริง
ที่จริงชีวิตของแคริลหลังออกจากเรือนจำนั้นค่อนข้างดี เธออยู่อย่างสงบ รับจ้างไปดูแลเด็กๆ ตามบ้าน หลายครั้งเธอมักจะนำเกมส์ ขนมติดไม้ติดมือมาให้เด็กๆ ที่ต้องไปรับจ้างดูแลเสมอ ถึงขนาดว่าในเวลาต่อมาเด็กสาวที่แคริลช่วยดูแลแต่งงาน ยังได้เชิญตัวเธอไปร่วมงานด้วย
ในปี ค.ศ.2007 แคริลวัย 64 ปีได้แต่งงานครั้งแรกกับชายชราวัยแก่กว่าเธอ และมีลูกเลี้ยงติดจากสามี 4 คนด้วยกัน โชคร้ายที่ 6 อาทิตย์หลังการแต่งงานทั้งสองขับรถประสบอุบัติเหตุ แคริลบาดเจ็บสามีเสียชีวิต ทางตำรวจเดินทางมาตรวจสอบคดีอย่างแน่ชัดว่าแคริลไม่ได้วางแผนฆาตกรรมแต่อย่างใด ในเวลาต่อมาตำรวจเลิกการสืบสวน ลูกเลี้ยงของเธอก็ไม่ได้สนใจหรือมีเรื่องต้องสงสัยแม่เลี้ยงคนนี้แต่อย่างใด
เรื่องราวของคู่รักสุดโหดนี้ได้ถูกผลิตฉายซ้ำเป็นภาพยนตร์ เป็นเพลง เป็นเรื่องราวมากมาย ถูกนำมาเป็นแรงบันดาลใจดัดแปลง สร้างภาพลักษณ์เป็นวีรบุรุษหนุ่มสาวจอมขบถและเล่าขานอย่างแสนเศร้า แคริลเคยพูดถึงเหตุการณ์ในอดีตว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดในตอนนั้น
“คุณไม่รู้หรอกว่ามันเป็นอย่างไรกับการเป็นคนที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าถูกรังเกียจ”