ไม่ว่า ‘พระธัมมชโย’ จะโดนตั้งข้อหาจากทางรัฐกี่คดีความ แต่สิ่งที่ใครต่อใครในบ้านนี้เมืองนี้ก็คงจะรู้สึกได้ไม่แตกต่างกัน (ไม่ว่าใครคนนั้นจะชอบใจหรือไม่ก็ตาม) ก็คือ ‘บารมี’ ของหลวงพ่อที่ชาวเน็ตมักจะพากันเรียกหาอย่างสั้นๆ ว่า ‘ธัมมี่’ ที่มีมากเสียจนทำให้ไม่เพียงแต่หน่วยองค์กรในทางธรรมจะรู้สึกไม่ปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังสั่นสะเทือนไปถึงอะไรๆ ในทางโลกเลยแหละ (ก็มากจนกระทั่งสร้างจานบินยานแม่ โดยไม่ต้องง้อองค์การศึกษาอวกาศระดับตัวพ่อของโลกอย่าง NASA เลยก็แล้วกัน!)
จึงไม่น่าแปลกใจอะไรนักนะครับ ที่รัฐซึ่งพยายามปกครองใครด้วยอำนาจอันเบ็ดเสร็จจะไม่ค่อยชอบหนังหน้า อะไรที่มีบารมี (ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า ดี หรือไม่ดี เพราะ ‘ผู้มีบารมี’ ไม่เคยหมายถึง ‘คนดี’ เสียหน่อยนี่เนอะ) มากเสียจนสั่นคลอนอำนาจที่เบ็ดเสร็จอย่างที่รัฐเชื่อ
แต่นี่ก็ไม่ใช่กรณีศึกษาแรก ที่รัฐไทยเข้าไปมีบทบาทในการจัดการกับพระสงฆ์ผู้มากบารมีอย่างนี้นะครับ ข้อขัดแย้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของรัฐไทย กับพระภิกษุสักรูป คงจะหนีไม่พ้นกรณีคลาสสิกอย่างกรณีของ ‘ครูบาศรีวิชัย’ (พระอินท์เฟือน สิริวิชโย) ที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยที่ประเทศไทยยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อมาจาก ‘สยาม’ โน่นเลย
และถึงแม้ว่า สยาม จะเป็นคำที่ถูกใช้เรียกดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และปริมณฑลรายรอบมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้วก็เถอะ แต่สยามเมื่อครั้งกระโน้น ก็ไม่ได้มีเสื้อผ้าหน้าผมเหมือนอย่างประเทศไทยทุกวันนี้เอาเสียเลยสักนิด
สำคัญที่สุดก็คือ สยามในยุคโน้นยังไม่มีขอบเขตและดินแดนที่ชัดเจนเลยเสียหน่อย แถมประชากรทั้งหมดก็ไม่ได้รวมเข้าสู่ศูนย์กลาง เพราะยังจัดการคนกันด้วยระบบไพร่ (ซึ่งแปลว่ากำลังคนทั้งหมดไม่ได้ขึ้นอยู่กับหลวง ไพร่จำนวนมากเลยทีเดียวที่สังกัดเข้ากับมูลนาย และเป็นกำลังให้กับมูลนาย ไม่ใช่กับรัฐอย่างที่มักจะเข้าใจกันผิดๆ)
สยามเพิ่งมารวมศูนย์อำนาจได้อย่างจริงจังเมื่อสามารถเลิกไพร่ เลิกทาส (ซึ่งเป็นกระบวนการต่อเนื่องถึงกัน เพราะเป็นการนำกำลังคนทั้งหมดในแผ่นดินเข้ามารวมไว้กับหลวง ไม่ใช่แยกไปสังกัดมูลนายดังเดิม) และทำข้อตกลงในการปักปันเขตแดนทางซีกเทือกเขาพนมดงเร็กกับฝรั่งเศสในชั้นต้นได้สำเร็จ อันทำให้ชนชั้นนำสยามทั้งหลายสามารถหลับตาพริ้ม แล้วนึกถึงดินแดนรูปขวานทองได้ลางๆ เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2448 ตรงกับช่วงปลายของแผ่นดินรัชกาลที่ 5 เท่านั้นแหละ
และก็เป็นด้วยเหตุผลข้างต้นนี่เองนะครับ ที่ทำให้ ‘สยาม’ กลายเป็นรัฐที่ปกครองด้วยระบอบ ‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์’ คือรวบอำนาจทุกอย่างเข้าสู่ศูนย์กลางโดยเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ เป็นครั้งแรก ไม่ใช่เป็นมาตั้งแต่อยุธยา หรือปีมะโว้อย่างที่มักจะอ้างกันผิดๆ
ครูบาศรีวิชัยเกิดเมื่อ พ.ศ. 2421, บรรพชาเป็นสามเณรใน พ.ศ. 2439, จากนั้นจึงค่อยบรรพชาเป็นพระภิกษุในเรือน พ.ศ. 2442 และดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2445 ซึ่งก็ตรงกับช่วงเปลี่ยนผ่านของสยาม จากสยามเดิมมาเป็นสยามใหม่ที่ว่านี่แหละครับ
‘บารมี’ ของครูบาศรีวิชัยเป็นที่เลื่องระบืออย่างจงหนักขึ้นเรื่อยๆ ท่านงดเว้นการเสพหมาก เมี่ยง และบุหรี่โดยสิ้นเชิง เมื่ออายุได้ 26 ท่านก็เริ่มงดเว้นการฉันเนื้อสัตว์ ซ้ำยังฉันเพียงวันละมื้อเดียว โดยมักจะเป็นผักต้มที่ใส่เพียงเกลือและพริกไทย บางครั้งก็ไม่ฉันข้าวเป็นเวลานาน และงดเว้นการฉันผักบางชนิดอีกต่างหาก
แน่นอนว่าการที่ครูบาศรีวิชัยมีศีลาจารวัตรที่งดงามและเคร่งครัดอย่างนี้ ย่อมนำไปสู่ข่าวลือเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์อื่นๆ ผู้คนในสมัยนั้นจึงได้มาขอให้ท่านอุปัชฌาย์ให้เป็นจำนวนมาก
และปัญหาก็เริ่มมาจากตรงนี้แหละ…
ธรรมเนียมการบวชของล้านนาในสมัยนั้น ต่างจากยุค คสช. ครองเมืองด้วย ม.44 อย่างในสมัยเราเป็นอย่างมาก เพราะให้ความสำคัญกับระบบพระอุปัชฌาย์ อาจารย์กับศิษย์ พูดง่ายๆ ว่าพระอุปัชฌาย์หนึ่งรูปจะมีวัดอยู่ในการดูแลจำนวนหนึ่ง เรียกว่าเจ้าหมวดอุโบสถ โดยคัดเลือกจากพระที่มีผู้เคารพนับถือ ที่เรียกว่า ‘ครูบา’
ระดับ ครูบาศรีวิชัย ย่อมต้องอยู่ในตำแหน่งหัวหมวดพระอุปัชฌาย์แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งอยู่แล้ว ตามจารีตของล้านนาแล้วจึงมีสิทธิ์ที่จะบวชให้กับกุลบุตรได้ และด้วยบารมีของครูบาศรีวิชัยจึงทำให้มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ในขั้นมหาศาล จนแทบจะนับเป็นกองทัพย่อมๆ ได้เลยทีเดียว
ลองนึกดูง่ายๆ ก็ได้นะครับ ‘ล้านนา’ ที่เพิ่งจะถูกผนวกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยามอย่างเป็นออฟฟิเชียลได้ไม่กี่ปี อยู่ๆ ก็มีพระสงฆ์ผู้มากบารมี ที่มีคณะศิษยานุศิษย์มากมายอย่างกับเป็นกองทัพ ศูนย์กลางของรัฐที่ประเทศกรุงเทพฯ ซึ่งประกาศตนเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ณ ขณะจิตนั้น จะมัวแต่มานั่งมองตาปริบๆ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแน่
และไม่ว่าเหตุผลแท้จริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม รัฐกรุงเทพฯ ก็ได้อ้างพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 (พ.ศ. 2446) ที่มีความตอนหนึ่งระบุว่า
“พระอุปัชฌาย์ที่จะบวชกุลบุตรได้ ต้องได้รับการแต่งตั้งตามระเบียบการปกครองของสงฆ์จากส่วนกลางเท่านั้น”
เจ้าคณะแขวงลี้ (แน่นอนว่าเป็นพระที่ได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลาง และยึดโยงฐานันดรสงฆ์จากขั้วบางกอก) และนายอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ซึ่งวัดบ้านปาง ที่ครูบาศรีวิชัยเป็นเจ้าอาวาส ตั้งอยู่ในนั้น จึงได้นำกำลังตำรวจเข้าจับกุมครูบาท่านเป็นครั้งแรก (ฉากเหตุการณ์คุ้นๆ นะครับ แหม่) เมื่อ พ.ศ. 2451 หลังปีที่สยามเลิกทาส และตกลงเบื้องต้นในการปักปันเขตแดนประเทศสยามระวางสุดท้ายเพียง 3 ปี ด้วยข้ออ้างว่า ครูบาท่านบวชผู้อื่นโดยไม่รับอนุญาตจากทางรัฐ
จากนั้นจนถึง พ.ศ. 2479 ครูบาศรีวิชัยก็มีปัญหาระหองระแหงกับรัฐส่วนกลางมาตลอด ด้วยมีการกักขัง และปล่อยตัวท่านอยู่หลายครั้ง เนื่องด้วยข้อกล่าวหาที่ถึงไม่พูดตรงๆ ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเป็น ‘ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ’ เอ๊ย! ไม่ใช่ ‘ผู้มีอิทธิพล’ ต่างหาก
เพราะในระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว ครูบาท่านก็ได้แสดงศักยภาพบารมีของท่านด้วยการรื้อซ่อม-รื้อสร้าง วัดและปูชนียสถานสำคัญของล้านนาเป็นจำนวนมาก โดยไม่จำเป็นต้องง้ออำนาจรัฐ หรือเงินงบประมาณจากหลวงเลยแม้แต่สลึงเดียว
ที่สำคัญคือการสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ ซึ่งใช้เวลาเพียง 5 เดือน กับอีก 22 วัน โดยที่รัฐกรุงเทพฯ ไม่ได้มีส่วนร่วมเลยสักนิด แถมในระหว่างการสร้างทางนั่นเองที่มีเหตุพระสงฆ์ในล้านนารวม 90 วัด ขอลาออกจากการปกครองคณะสงฆ์ ไปขึ้นกับการปกครองครูบาศรีวิชัยแทน จนทำให้เกิดเหตุการคุมตัวครูบาท่านไปที่บางกอกเป็นครั้งสุดท้าย
และเอาเข้าจริงก็ไม่มีใครตอบได้ชัดๆ หรอกว่า ครูบาท่านไม่รู้กฎหมายจริงๆ หรือเป็นการอารยขัดขืนต่อรัฐกรุงเทพฯ ของท่าน จึงทำให้ท่านถูกจับ-ปล่อยๆ อยู่อย่างนี้ ยิ่งข้อเท็จจริงที่สำคัญอีกอย่างก็คือ การที่ล้านนาก็เพิ่งถูกผนวกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยามก็ในช่วงชีวิตของท่าน อย่างที่บอกเอาไว้แล้วข้างต้น
ในส่วนของรัฐเองก็เป็นที่เข้าใจได้นะครับว่า ทำไมจึงต้องพยายามสอดส่องครูบาศรีวิชัยเสียอย่างจงหนัก
ก็รัฐในยุคนั้นยังมีตัวอย่างจากประวัติศาสตร์ที่ไม่ไกลนัก ให้เห็นถึงกรณีของพระสงฆ์ที่มากบารมีจนพอที่จะรัฐเป็นของตนเองอย่าง กรณีเจ้าพระฝาง เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาแตก หรือเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก (ญาครูขี้หอม) ที่อพยพลูกศิษย์จากเวียงจันทน์ 3,000 คน ไปสร้างเมืองจำปาสัก ในช่วงร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ซ้ำร้ายล้านนาในยุคนั้นมีการจำแนกพระสงฆ์ตามจารีตท้องถิ่นออกถึง 18 นิกาย โดยแต่ละนิกายก็เกี่ยวพันกับชนชาติต่างๆ ที่ไม่ใช่ไทยให้อีกเพียบ เช่น นิกายขีน (ไทยขีน/ไทยเขิน นิกายยอง (มาจากเมืองยอง) นิกายเชียงใหม่ เป็นต้น และครูบาศรีวิชัยก็ยึดถือปฏิบัติตามแนวนิกายเชียงใหม่ผสมนิกายยอง ไม่ใช่พุทธมหานิกาย หรือธรรมยุติกนิกาย อย่างบางกอกอีกต่างหาก
แน่นอนครับว่า เราไม่สามารถเปรียบเทียบหลวงพ่อธัมมี่ (ภาษาชาวเน็ต) กับครูบาศรีวิชัยได้อย่างหมดจด เพราะมีเงื่อนไขอะไรต่อมิอะไรอีกสารพัด ที่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่มีทางจะเหมือนกันทุกกระเบียดไปได้เลย (อย่างน้อยครูบาศรีวิชัยท่านก็ไม่ได้สร้างจานบินขึ้น โดยไม่ต้องง้อองค์การ NASA เหมือนกับวัดพระธรรมกาย :P) สิ่งที่น่าสนใจจะนำมาเปรียบเทียบระหว่างพระภิกษุทั้งสองรูปนี้มีเพียง บารมีของสงฆ์ ที่ส่งผลสะเทือนต่ออำนาจของรัฐที่ดูเหมือนจะรวบอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ (แต่ตัวของรัฐเองกลับรู้สึกชวนให้รู้สึกอนิจจัง เพราะคิดว่าตนเองง่อนแง่นเสียเต็มประดา ด้วยบารมีของศรัทธาและความเชื่อ) ไม่ได้หมายรวมถึงแง่มุมอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย