1.
“ผมกลับคืนสู่ครอบครัว ตอนเกือบจะโตแล้ว ทว่าพ่อแม่ยังมองผมเหมือนเด็ก 7 ขวบ แค่ไม่สอนอะไรมาก แต่พ่อไม่กอดผมอีกต่อไป 7 ปีที่ผ่านมา คงทำให้เขาเปลี่ยนไปด้วย”
ในค่ำคืนของวันที่ 1 มีนาคม ปี 1980 ท่ามกลางอากาศแสนเย็นยะเยือก ชายคนหนึ่งขับรถไปตามทาง แสงไฟริมถนนส่องนำ ชั่วพริบตานั้น เขาสังเกตเห็นเด็กชาย 2 คน ยืนอยู่ริมถนน เนื้อตัวสั่นเทา
สิ่งนี้สร้างความแปลกใจให้กับชายคนนี้มากๆ เขาตัดสินใจจอดรถและรับทั้งคู่ขึ้นมา ทีแรกตั้งใจจะไปส่งที่บ้าน พร้อมคำถามมากมาย ผู้ปกครองที่ไหนกัน ถึงปล่อยเด็ก 2 รายมาเผชิญชะตากรรมริมถนนในค่ำคืนอันแสนมืดมิดและหนาวเหน็บแบบนี้ได้
แต่เด็กทั้ง 2 กลับจำที่อยู่ตัวเองไม่ได้ เด็กตัวโตไว้ผมหน้าม้า อายุราวๆ 14 ปี ส่วนเด็กที่เล็กกว่านั้น อายุราวๆ 5 ขวบ ทั้งคู่ไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ไหน นั่นทำให้พลเมืองดี ตัดสินใจขับรถพา 2 คนนี้ ไปที่โรงพักท้องถิ่นแทน
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นทั้ง 2 ยืนอยู่หน้าทางเข้า พวกเขาก็จำได้ว่า เด็กตัวเล็กๆ มีชื่อว่า ทิโมธี ไวท์ (Timothy White) ซึ่งหายตัวไป เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และตำรวจกำลังระดมค้นหาอยู่ในขณะนี้
นับเป็นข่าวดีอย่างยิ่ง เพราะในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็พบหนูน้อยรายนี้แล้ว
แต่อีกคนล่ะ เขาดูเหมือนเด็ก แต่ก็กำลังจะแตกหนุ่มเป็นวัยรุ่น เจ้าหน้าที่ไม่รู้ว่าคือใครกันแน่ จึงพาตัวเข้าห้องสอบปากคำ ก่อนจะพบความจริง
“ผมชื่อ สตีเว่น สเตเนอร์ อายุ 14 ปี ไม่รู้วันเกิดจริงๆ แต่น่าจะเป็นวันที่ 18 เมษายน 1965 ชื่อต้น สตีเว่น ผมแน่ใจว่านามสกุลคือ สเตเนอร์ และผมมีชื่อกลาง แต่จำไม่ได้แล้ว”
เจ้าหน้าที่ค้นข้อมูลทันที ชื่อ สตีเว่น สเตเนอร์ (Steven Stayner) เด้งออกมา ตำรวจถึงกับอ้าปากค้าง นี่เป็นคืนแห่งปาฏิหาริย์ที่น่าอัศจรรย์อย่างมาก เพราะไม่เพียงพวกเขาจะพบหนูน้อยทิโมธีที่หายตัวไปเท่านั้น
แต่พวกเขายังพบหนูน้อยสตีเว่น ซึ่งสูญหายไปในวันที่ 4 ธันวาคม ปี 1972 ตอนนั้นเด็กคนนี้มีอายุแค่ 7 ขวบ ผ่านไป 8 ปี ใครเลยจะเชื่อว่า ครอบครัวสเตเนอร์ จะได้ลูกคนนี้กลับสู่อ้อมกอดอีกครั้ง
ดึกคืนนั้น เคย์ สเตเนอร์ (Key Stayner) ได้ยินเสียงคนเคาะประตู เมื่อเปิดออกไป ก็เห็นตำรวจยืนแนะนำตัว พร้อมแจ้งข่าวดีว่า ลูกที่หายตัวไป ยังมีชีวิตอยู่ และพวกเขาจะได้พบสตีเว่นในไม่ช้า เพียงแต่ตอนนี้เจ้าหน้าที่ขอสอบปากคำเรื่องราวทั้งหมดก่อน โดยย้ำว่าจะดำเนินการพาตัวเด็กมาพบเคย์ในไม่ช้า
และตำรวจก็ทำงานรวดเร็วสมกับที่ให้สัญญาไว้ ในเวลาตี 1 ของวันที่ 2 มีนาคม สตีเว่นก็กลับสู่ครอบครัวอีกครั้ง ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชนที่รอทำข่าว เคย์ตรงเข้าหอมแก้มลูกสุดที่รัก ซึ่งบัดนี้เริ่มโตเป็นหนุ่มแล้ว ส่วนพ่อก็เข้าสวมกอดด้วยความดีใจ นักข่าวถามความรู้สึกของแม่สตีเว่น ซึ่งเธอได้ตอบไปว่า
“คุณจะถามเพื่ออะไร เขากลับมาบ้านแล้ว”
แครี่ สเตเนอร์ (Cary Stayner) พี่ชายคนโตของบ้านโล่งอกที่ได้เห็นหน้าน้องอีกครั้ง เขาเปิดเผยภายหลังว่า ตั้งแต่สตีเว่นหายตัวไป เขามักจะแอบออกจากบ้าน ไปภาวนาแก่ดวงดาว ให้ได้พบน้องเถอะ เขาทำอยู่เป็นประจำ
จนเมื่อน้องกลับมาแล้ว เขาก็ยังออกไปขอพรจากดาว ด้วยความเคยชิน ก่อนจะระลึกได้ว่า
“น้องอยู่บ้านแล้ว ผมเลยออกไปขอบคุณดวงดาวแทน”
2.
ตำรวจไม่รอช้า ขุดคุ้ยเรื่องราวของสตีเว่น จนทราบความจริงว่า ในวันที่ 4 ธันวาคม ปี 1972 ขณะหนูน้อยกำลังเดินกลับบ้าน มีรถตู้คันหนึ่งมาจอด ชายในรถรายหนึ่ง ถามว่าครอบครัวของสตีเว่นสนใจจะทำบุญไหม เมื่อได้รับคำตอบว่าสนใจ ผู้ชายบนรถจึงเสนอว่าจะขับรถไปส่งที่บ้าน
เมื่อสตีเว่นขึ้นรถไป เขาจะไม่ได้กลับบ้านอีก เป็นเวลาถึง 8 ปีด้วยกัน
รถตู้พาสตีเว่นไปขังที่บ้านหลังหนึ่ง คนที่พาเขาไป มีชื่อว่า เคนเนธ พาร์เนล (Kenneth Parnell) ชายที่มีประวัติขโมยรถ และวางเพลิง ที่สำคัญคือเขาเป็นโรคใคร่เด็ก เคยแต่งงานกับเด็กสาวอายุ 15 ปี เคยล่อลวงและข่มขืนเด็กชาย 8 ขวบ แต่แม้จะมีประวัติน่ารังเกียจแบบนี้ เขากลับติดคุกแค่ 4 ปีเท่านั้น และเมื่อเมียเด็กเขาเริ่มโตขึ้น ก็ทำให้พาร์เนลรังเกียจและทิ้งอีกฝ่ายไป
ชายผิวขาวรายนี้ ก่อเหตุอาชญากรรมมากมาย ทำงานเป็นยามที่โรงแรม และรับจ้างดูแลไร่เสริม ที่ซึ่งเขามีโอกาสไปคลุกคลีกับคนในโบสถ์ ก่อนจัดหารถตู้ ไปล่อลวงสตีเว่นมา
พาร์เนลพยายามล้างสมองเด็กน้อย บอกว่าพ่อแม่ไม่ต้องการเขาแล้ว สั่งให้เปลี่ยนชื่อ ไปศาล แล้วหลอกล่อ เอาใบรับรองว่าสตีเว่นคือลูกบุญธรรมเขา จับขังในบ้าน คุกคามทางเพศ พาเข้าโรงเรียน จ่ายเงินให้แก๊งเด็กอันธพาลคอยสอดส่องสตีเว่น เพื่อไม่ให้หนี หากมีใครสงสัยตัวตนเด็กคนนี้ พาร์เนลก็จะพาเด็กย้ายโรงเรียนหนีไปเรื่อยๆ
ถึงตรงนี้ หนูน้อยวัย 7 ขวบ อยู่ในอาการสับสน คิดว่าพ่อแม่ไม่รักเขาจริง กอปรกับความกลัวที่พาร์เนลปลูกฝัง จึงทำให้เขาไม่กล้าหนี แต่ในใจนั้น เขายังคิดถึงครอบครัวที่แท้จริงอยู่เสมอ
“ผมถามตัวอยู่เสมอว่า พ่อกับแม่ไปอยู่ที่ไหน หรือพาร์เนลจะพูดจริงๆ ว่าพ่อกับแม่ไม่ต้องการผมอีกแล้ว”
แม่ของสตีเว่นรอลูกกลับจากโรงเรียนอยู่นานมาก เมื่อไม่มา ก็ออกตามหา นำไปสู่การแจ้งความ และการระดมกำลังค้นหา แต่วันเวลาผ่านไป ความหวังก็ริบหรี่ สิ่งนี้สร้างความปวดร้าวให้กับครอบครัวอย่างมาก แต่ทุกคนก็ยังหวังว่า สตีเว่นจะกลับมาบ้านอีกครั้ง
8 ปีผ่านไป สตีเว่นเริ่มโตเป็นหนุ่ม พาร์เนลเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ และย้ำว่า “เอ็งแก่เกินไปแล้ว” นั่นทำให้เขาไปลักพาตัวทิโมธีมา สิ่งนี่เอง เป็นเหตุให้เด็กหนุ่มวัย 14 ปีตัดสินใจ เขาจะไม่ยอมให้ทิโมธี วัย 4 ขวบ ต้องเจอประสบการณ์เลวร้ายแบบเขาอีกต่อไป
ดังนั้นสตีเว่นจึงอาศัยจังหวะพาร์เนลออกไปทำงานข้างนอก จูงมือพาทิโมธีหนีออกมา
นับเป็นความกล้าหาญอย่างยิ่ง
สุดท้ายตำรวจบุกรวบตัวพาร์เนลได้สำเร็จ ทั้งทิโมธีและสตีเว่นต่างให้การในชั้นศาลเอาผิดชายวิปริตคนนี้ อย่างไรก็ดีในตอนนั้น ความผิดเกี่ยวกับเด็ก โทษยังไม่เข้มข้นมาก นั่นทำให้ศาลตัดสินให้เขาติดคุกแค่ 7 ปี และต้องโทษจริงๆ แค่ 5 ปีเท่านั้น ก็ได้ออกมาใช้ชีวิตข้างนอก
แต่เจ้าตัวก็โดนจับกุมอีกครั้ง หลังพยายามซื้อบริการเด็ก 4 ขวบ และคราวนี้ ตามกฎหมายของรัฐแคลิฟอร์เนีย พาร์เนล เคยติดคุกมาแล้ว 2 ครั้ง หากต้องเข้าเรือนจำเป็นครั้งที่ 3 เขาจะต้องถูกจำคุกสถานหนัก
“ชายคนนี้ ถือเป็นบุคคลอันตรายต่อเด็กอย่างยิ่ง”
จอมใคร่เด็ก ตายไปในปี 2008 ขณะอายุ 76 ปี ในโรงพยาบาลของเรือนจำ ชีวิตของเขายาวนานกว่า สตีเว่น ซึ่งต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก โดนเพื่อนที่โรงเรียนล้อเรื่องการถูกลักพาตัว แต่ก็เติบโตมาอย่างมีความสุข ทำงานอยู่ร้านพิซซ่า เจอสาวสวย หลงรัก แต่งงาน มีลูก ได้โอกาสเป็นพ่อและสามีที่ดีมากๆ แก่ครอบครัว
สตีเว่นเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อ ไปออกสารคดี เล่าชีวิตที่แสนเจ็บปวดของตัวเอง โดยเขาเชื่อว่า หากไม่โดนลักพาตัวไป ครอบครัวก็คงไม่ปวดร้าวแบบนี้ แม้สังคมและสื่อจะยกย่องให้เขาเป็นวีรบุรุษ แต่ชายคนนี้ยืนยันว่าไม่อยากได้คำชมเหล่านี้เลย
เขาแค่อยากเป็นเด็ก 7 ขวบ ที่เดินกลับบ้าน ไปพบแม่อย่างปกติสุข ในวันที่ 4 ธันวาคม ปี 1972 เท่านั้น
สตีเว่นขอแค่นี้ แต่แล้ว ณ วันที่ 16 กันยายน ปี 1989 เขาก็ถูกรถชน ขณะขี่มอเตอร์ไซต์ไปทำงาน ปิดฉากชีวิตด้วยวัยเพียง 23 ปีเท่านั้น ทิ้งลูก 2 คนไว้บนโลก
ส่วนทิโมธี เด็กน้อยเติบโตมา และได้ทำงานเป็นผู้ช่วยนายอำเภอ โดยใช้เวลาว่างตระเวนสอนเด็กให้ระวังภัยจากคนแปลกหน้า จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อแบบเขา อย่างไรก็ดีชะตาชีวิตทิโมธีก็คล้ายกับสตีเว่น ในปี 2010 ด้วยวัยเพียง 35 ปี เขาก็จากโลกไปด้วยสภาวะเส้นเลือดอุดตันในปอดที่บ้านของตัวเอง
อดีตเด็ก 2 คน ผู้ยืนทระนงต่อหน้าคนที่ลักพาตัวเขาไป จากโลกนี้ไปอย่างแสนสั้น ทิ้งเรื่องราวความกล้าหาญสูงสุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีได้
เรื่องราวมันควรจะจบลงแบบนี้ ทว่าโลกไม่ได้สวยงามขนาดนั้น
มันยังมีอะไรที่เลวร้ายกว่านี้ ..อีกมาก
3.
19 ปี หลังจากสตีเว่นพาทิโมธี หนีออกมาได้สำเร็จ เดือนมีนาคม ปี 1999 ดูเหมือนตำรวจรัฐแคลิฟอร์เนีย กำลังเผชิญคดีสำคัญ เมื่อมีฆาตกรต่อเนื่องไล่ฆ่าผู้หญิงในอุทยานแห่งชาติอยู่
เอฟบีไอเข้าตรวจสอบเหตุนี้อย่างละเอียด พวกเขาพบร่างหญิงสาว วัย 42 ปี ซึ่งพาลูกสาว 1 คน และนักเรียนแลกเปลี่ยนชาวอาร์เจนติน่า มาเที่ยวป่า และไม่มีโอกาสได้กลับออกมาอีกเลย
เมื่อสามีไม่เห็นภรรยานั่งเครื่องกลับมา จึงติดต่อบริษัทเช่ารถ ติดต่อกับโรงแรม การค้นหาจึงปูพรมปิดอุทยานแห่งชาติ ก่อนจะมีบุคคลนิรนามส่งแผนที่ปริศนา วงกลมจุดบางอย่างในแผนที่ พร้อมข้อความว่า “เราสนุกกับสิ่งนี้มาก” ทางเจ้าหน้าที่ไปตามจุด ก็พบร่างของบุคคลทั้ง 3 ถูกฆาตกรรมอย่างเหี้ยมโหด
ใครคือผู้ก่อเหตุสยองนี้
เดือนกรกฏาคม ปีเดียวกัน หญิงสาววัย 26 ปี หายตัวไปในอุทยานแห่งนี้ เจ้าหน้าที่ไปตรวจที่พัก แล้วพบร่องรอยการต่อสู้ ห่างออกไป 800 เมตร พวกเขาก็พบร่างไร้ลมหายใจของผู้หญิงคนนี้ ศพถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมมากๆ
4 ศพ ถูกสังเวยในป่าแห่งนี้ โดยฝีมือของฆาตกรต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดีมีพยานแจ้งว่า พวกเขาพบรถจิ๊บคันหนึ่งขับอยู่ใกล้ๆ จุดพบศพ เมื่อตำรวจตรวจสอบเจ้าของ ก็เลยได้เชิญตัวชายคนนี้มาสอบสวนทันที
กินเวลาไม่นาน คำรับสารภาพก็คายออกมา เหมือนดังเช่นฆาตกรต่อเนื่องรายอื่นๆ พวกเขาภูมิใจกับการฆ่า มันเหมือนถ้วยรางวัลสำคัญของชีวิต ชายหนุ่มรับว่าได้สังหารหญิงสาวไป 4 ศพ โดยเขาตั้งใจฆ่าหญิงสาวที่มากัน 3 คนอยู่นานแล้ว และได้สะกดรอยตาม เมื่อสบโอกาส ก็ใช้ป่าเป็นเวทีฆาตกรรม
ส่วนหญิงสาววัย 26 ปีนั้น เขาเอาปืนจี้ให้เธอไปที่พัก แต่อีกฝ่ายขัดขืนต่อสู้ จึงถูกยิงตาย แล้วเอาศพลากไปทิ้ง
ชายคนนี้รับสารภาพต่อเจ้าหน้าที่อย่างเรียบง่าย และยังอนุญาตให้สื่อมาสัมภาษณ์ด้วย โดยเขาบอกกับนักข่าวว่า
“ผมอยากให้โลกรู้เรื่องราวนี้ และอยากได้รับการปฏิบัติจากสื่อ เหมือนที่น้องผมเคยได้รับ”
นักข่าวและตำรวจฉงนกับคำพูดนี้ จึงลองค้นประวัติชายคนนี้อย่างละเอียด ก่อนจะช็อกตกตะลึง เพราะน้องชายของฆาตกรต่อเนื่องคนนี้มีนามว่า สตีเว่น สเตเนอร์
ส่วนนักฆ่าสุดโหดคนนี้คือพี่คนโตแห่งตระกูลสเตเนอร์ ชายที่เคยอ้อนวอนดวงดาว ขอให้น้องกลับบ้านอย่างปลอดภัย
แครี่ สเตเนอร์
4.
แครี่อายุ 11 ปี ตอนที่สตีเว่น ถูกลักพาตัวไป และอายุได้ 17 ปี ตอนน้องชายคนนี้กลับมาบ้าน สิ่งที่เพื่อนๆ แครี่รู้สึกคือ เขามีความอิจฉาน้อง เพราะเมื่อสตีเว่นกลับมา สื่อให้ความสนใจ พ่อกับแม่เอ็นดูเขา และแครี่ก็เป็นเหมือนคนไร้ตัวตน
“สตีเว่นได้ของขวัญทุกอย่าง ได้เสื้อผ้าใหม่ๆ และได้รับความสนใจไปหมด”
ในภาพถ่ายที่สตีเว่นถูกแม่และพ่อกอด ตอนกลับมาพบครอบครัวครั้งแรก แครี่ใส่หมวกเบสบอล ขณะที่คนอื่นยิ้มกันหมด เขากลับเป็นคนเดียวของบ้านนี้ ที่ไม่ทำแบบนั้น
ทั้ง 2 นอนในห้องเดียวกันและเข้ากันไม่ได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ดีพอสตีเว่นตาย แครี่ก็ดิ่งเข้าสู่ยาเสพติด เขาไปอยู่กับลุง ที่ต่อมาถูกยิงตาย ทีแรกเจ้าหน้าที่สรุปว่ามันคือการถูกตีนแมวสังหารขณะปล้นทรัพย์ แต่ต่อมา ตำรวจจะพบว่า ลุงถูกฆ่าโดยแครี่ต่างหาก ถือเป็นศพแรกให้หลานคนนี้ฝึกฝนเส้นทางฆาตกรต่อเนื่อง
ยิ่งชายคนนี้เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งป่วยทางจิต อยู่ในสภาวะตัวตนแหลกสลาย แครี่ชอบเล่าเรื่องราวจินตนาการถึงการเดินเข้าไปในร้านค้าและฆ่าทุกคนในนั้น เพื่อนๆ แนะนำให้เขาไปพบหมอ แต่แทนที่จะทำตามคำบอกกล่าวของมิตรสหาย เขาเลือกจะไปทำงานโรงแรม ใกล้อุทยานแห่งชาติ
เพื่อจะได้ลงมือฆ่าคน
พ่อแม่ของแครี่ให้การว่า สิ่งที่ลูกคนโตก่อเหตุลงไป เพราะครอบครัวละเลย ไม่เอาใจใส่ เพราะมัววุ่นอยู่แต่การหาตัวสตีเว่น จึงไม่รู้ว่าบุตรของตัวเองมีอาการป่วยทางจิต
หากพาร์เนลไม่ลักพาตัวสตีเว่น ครอบครัวสเตเนอร์ก็จะได้อยู่กันพร้อมหน้า พ่อกับแม่จะได้เอาใจใส่ลูกๆ อย่างเท่ากัน และอาจสกัดกั้นไม่ให้แครี่ เป็นฆาตกรต่อเนื่องได้
แต่ชีวิตและโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีคำว่าถ้า
ศาลจึงชี้ว่า แครี่มีสติขณะลงมือก่อเหตุ ไม่ได้ป่วยเป็นบ้าแต่อย่างใด นั่นทำให้ลูกขุนตัดสินให้ชายคนนี้มีความผิด ทุกวันนี้เขาถูกจองจำในคุก
เพื่อรอการประหารชีวิต
5.
โศกนาฏกรรมของครอบครัวสเตเนอร์ เป็นเรื่องที่สร้างความตกตะลึงให้กับสังคมอย่างมาก แครี่มีวี่แววป่วยทางจิตมาก่อนการหายตัวไปของน้องหรือไม่ การลักพาตัวสตีเว่นส่งผลต่อพี่คนโตมากน้อยแค่ไหน การกลับมาของน้องคนนี้ สร้างบาดแผลให้กับแครี่หรือไม่
จนทำให้เขากลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องแบบนี้
คำถามเหล่านี้ ไร้คำตอบอย่างชัดแจ้ง แต่ก็มีคนชี้ว่า มีหลายครอบครัวที่เผชิญเหตุการณ์เหมือนครอบครัวสเตเนอร์ กระนั้นก็ไม่ได้มีจุดจบแบบเดียวกัน ด้านตัวของสตีเว่นเองก็เติบโตมากับบาดแผล แต่ก็พยายามอยู่กับมัน พยายามสร้างโลกที่ดี พยายามสอนบทเรียนให้เด็กๆ พยายามมีครอบครัวที่ดี เช่นเดียวกับทิโมธี
ทั้ง 2 อาจจากโลกนี้เร็วเกินไป แต่ก็ทำให้เห็นว่าความเลวร้ายที่ประสบพบเจอ ไม่อาจทำอะไรพวกเขาให้กองทรุดย่ำแย่ได้ ทั้ง 2 ยังมุ่งมั่นสร้างความดีงามให้กับโลกและผู้คนรอบตัวตลอดชีวิต
ด้านนักข่าวที่ลงไปเกาะติดเรื่องนี้ ได้ย้ำว่า บาดแผลที่น้องโดนลักพาตัวไป จนทำให้คนในครอบครัวเสียสูญนั้น ไม่ใช่สาเหตุที่พาพี่คนโตเข้าสู่โลกแห่งฆาตกร
เพราะแครี่ได้เผยความรู้สึกที่ไปฆ่าคนว่า “ผมโคตรภูมิใจเลย กับสิ่งนี้ คุ้มค่ากับที่รอคอยมากว่า 30 ปีแล้ว”
ประโยคนี้เองที่ทำให้นักข่าวเข้าใจทุกข้อสงสัย ก่อนจะสรุปเรื่องราวแห่งโศกนาฏกรรมของครอบครัวสเตเนอร์ว่า
“ต่อให้สตีเว่นไม่ถูกลักพาตัว แครี่ก็จะกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องอย่างแน่นอน”
“นั่นจึงทำให้ มรดกของสตีเว่นจะได้รับการเล่าขานถึงความกล้าหาญตลอดกาล ส่วนการฆ่าของแครี่นั้น มันจะถูกลืมเลือน ..
..และไม่มีใครจดจำ”
อ้างอิงจาก