1.
“เมื่อไม่มีพยาน เราก็ต้องใช้ข้อมูล”
เดือนพฤศจิกายน ปี 2010 มีคำสั่งจากโรงพักพื้นที่ ให้ตำรวจนำสุนัขของทางการ ฝึกภารกิจดมค้นหาสิ่งของที่ชายหาดกิลโก รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
มันเป็นการฝึกปฏิบัติตามปกติ เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีในวันนั้น ความไม่ปกติก็เกิดขึ้น เมื่อสุนัขตัวหนึ่ง ได้กลิ่นอะไรบางอย่าง แล้วลากเจ้าหน้าที่ไปยังป่าใกล้ๆ กับหาด หลังจากนั้น มันก็ส่งสัญญาณว่ามีอะไรบางอย่างถูกฝังในนี้
เมื่อเจ้าหน้าที่ลงมือขุด พวกเขาก็พบซากกระดูกคล้ายมนุษย์ ถูกฝังไว้ โดยร่างถูกห่ออยู่ในกระสอบอีกชั้น พอเป็นแบบนี้ ตำรวจก็สั่งปิดล้อมจุดเกิดเหตุทันที ทางสุนัขได้กลิ่นบางอย่างเพิ่ม หลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน พวกมันก็พบชิ้นส่วนกระดูกของมนุษย์ ถูกฝังใกล้ๆ บริเวณที่พบศพเป็นจุดแรกมากขึ้นเรื่อยๆ
ทางการนำกระดูกที่พบไปตรวจสอบอย่างละเอียด การตรวจค้นใช้เวลา 2-3 วัน ในที่สุดก็พบว่า มีร่างที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นมนุษย์ ถูกนำมาฝังบริเวณป่าใกล้หาดนี้ รวมกัน 4 ศพด้วยกัน
เมื่อแพทย์ชันสูตรโดยละเอียด ก็พบว่า ทั้ง 4 ร่างนี้ เป็นเพศหญิงทั้งหมด
“พวกเธอเป็นใครกัน”
นี่คือคำถามที่เหล่านักสืบสงสัย คาดว่าหญิงสาวทั้ง 4 ราย น่าจะถูกฆาตกรรม โดยการรัดคอ แล้วถูกนำมามาฝังรวมกันแบบนี้ เพื่ออำพรางศพ หากเป็นผู้ก่อเหตุคนเดียวกัน การกระทำของเขาจะสร้างความหวาดผวาให้ตำรวจทันที
เพราะเท่ากับว่าเจ้าหน้าที่กำลังรับมือกับฆาตกรต่อเนื่องนั่นเอง
และหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ก็คือ ต้องล่าจับนักฆ่าคนนี้มาให้ได้
นี่คือการสืบสวนที่ใช้เวลาถึง 13 ปี ทุกอย่างเริ่มจากศูนย์ ไม่มีพยานชี้ชัด ไม่มีหลักฐานอะไรแจ่มแจ้ง ตำรวจต้องงมเข็มกลางมหาสมุทร ค่อยๆ ต่อจิ๊กซอว์เรื่องนี้ ทีละนิด ทีละหน่อย
เพื่อล่าจับผู้ก่อเหตุ ที่นักข่าวตั้งฉายาให้ว่า ‘นักฆ่าแห่งหาดกิลโก’
2.
หลังพบ 4 ศพถูกฝังที่หาดกิลโก เจ้าหน้าที่จากทุกฝ่ายก็ระดมกำลังเข้ามาสืบสวนทันที เริ่มแรก พวกเขาให้กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบดีเอ็นเอซากศพเหล่านี้ เพื่อหาอัตลักษณ์ พร้อมๆ กันนั้น ทางการได้ตรวจสอบการแจ้งความหญิงสาวหายตัวไปอย่างลึกลับ รอบจุดเกิดเหตุดังกล่าว
รายชื่อหญิงสาวที่หายตัวไป มีจำนวนมากมายก่ายกอง แถมบางกรณี ตำรวจท้องที่ยังฟันธงว่าพวกเธอเลือกจบชีวิตตัวเอง ด้วยการไปโดดหน้าผาที่หาด เพื่อจมน้ำทะเลตาย บางรายก็คาดว่าน่าจะเสพยาเกินขนาดจนเสียชีวิต
พฤติกรรมที่ตำรวจรวบรวมเกี่ยวกับผู้หญิงที่หายตัวไปนั้น ส่วนใหญ่เป็นเด็กที่หนีออกจากบ้าน บางคนติดยา และบางรายเป็นโสเภณี
พวกเธอเป็นกลุ่มคนที่ทางการให้ความสนใจน้อยมาก นั่นเป็นอีกด้านมุมกลับที่เหล่านักฆ่ารู้ดี จึงเลือกเหยื่อที่เป็นผู้หญิงเหล่านี้
แต่เพราะการเจอ 4 ศพที่หาดกิลโก นั่นทำให้ตำรวจอยู่เฉยไม่ได้ พวกเขาสั่งลุยคดีนี้เต็มที่ หลังจากใช้เวลาตรวจสอบข้อมูลทุกอย่างอยู่หลายเดือน พวกเขาเริ่มคัดแยกหญิงที่สูญหายไปรอบหาดได้ ก่อนจะไปตระเวนขอตัวอย่างดีเอ็นเอจากครอบครัวที่หญิงสาวหายตัวไป แล้วนำมากางเทียบเคียงกับอัตลักษณ์ของศพที่พบ
นั่นทำให้พวกเขารู้ชื่อ 4 สาวผู้ถูกฝังในหาดแห่งนี้ได้สำเร็จ
ขอย้ำว่าขั้นตอนการตรวจสอบดังกล่าว ไม่เหมือนที่เราดูในซีรีส์สืบสวนสอบสวน และมันใช้เวลานานมากกว่าจะค้นพบความจริงตรงนี้
เมื่อตำรวจได้ชื่อ ก็ได้เวลาตรวจสอบประวัติ ในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็พบจุดร่วมน่าสนใจของผู้เสียชีวิต นั่นก็คือทั้งหมดทำงานเป็นโสเภณี และสามารถหาซื้อบริการได้ผ่านเว็บไซต์เดียวกันด้วย
นั่นหมายความฆาตกรที่ฆ่าพวกเธอ ใช้บริการเลือกเหยื่อจากเว็บไซต์นี้
ความคืบหน้าขยับมากขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อตำรวจพบเส้นผม 3-4 เส้นอยู่ในกระสอบที่ใส่ศพ เมื่อตรวจอย่างละเอียด ก็พบว่าไม่ใช่ของหญิงสาวที่ตาย
นี่เป็นเบาะแสสำคัญ ที่คาดว่าเส้นผมเหล่านี้ จะเป็นของคนร้ายนี่เอง
แต่เมื่อนำไปตรวจดีเอ็นเออย่างละเอียด เจ้าหน้าที่ไม่พบข้อมูลในสารบบ ซึ่งเป็นไปได้ว่าเจ้าของผมนี้ ไม่เคยโดนจับแม้แต่ครั้งเดียว
ข่าวร้ายนี้ สร้างความยากลำบากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เมื่อไม่รู้เจ้าของดีเอ็นเอ ตำรวจก็ต้องระดมกำลังสืบสวนพยานทั้งหมด
โดยช่วงเวลานั้น เจ้าหน้าที่ได้รับเบาะแสจากเพื่อนคนตาย ที่เล่าว่าก่อนที่หญิงสาวจะหายตัวไป เธอได้ขึ้นรถคันใหญ่ มีผู้ชายร่างท่วม ใส่แว่นหนาเตอะ รูปร่างเหมือนหมี เขารับเพื่อนของเธอ แล้วขับรถออกไป ก่อนหายตัวไปชั่วกาล
มันถือเป็นเบาะแสสำคัญ แต่เมื่อตำรวจเอาข้อมูลรถเข้าระบบ ก็ปรากฏว่าไม่พบอะไรทั้งสิ้น
เจ้าหน้าที่เหมือนเจอทางตัน จนคดีค้างคา แต่เหล่านักสืบที่งานรัดตัว ก็ยังปลีกหาเวลามาไขคดีนี้เป็นงานอดิเรก ด้วยความหวังว่าจะรู้ตัวนักฆ่าคนนี้ได้
ในสักวัน
3.
กินเวลาผ่านไปหลายปี ดูเหมือนทุกอย่างจะชะงัก แต่เหล่านักสืบก็ไม่ยอมแพ้ พวกเขาใช้เวลาตรวจสอบหลักฐาน ไปคุยกับพยาน แม้ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน เจ้าหน้าที่จะอาศัยช่วงวันหยุดไปพบ สอบถาม
ความพยายามนี้ ทำให้พวกเขาพบเบาะแสสำคัญอีกชิ้น นั่นก็คือ ในปี 2009 หรือ 2 ปีก่อนจะพบศพ น้องสาวของผู้ตายรายหนึ่งที่ถูกฝังร่าง ณ หาดกิลโก ได้รับสายซึ่งโทร.มาโดยเครื่องของพี่สาวตัวเอง แต่กลับเป็นเสียงผู้ชาย ที่รับสารภาพว่า
“กูฆ่าพี่มึงเอง”
ชุดสืบสวนโรงพักดึงหลายหน่วยงานเข้ามาตรวจสอบ เช่นเอฟบีไอที่มีเครื่องมือประสิทธิภาพกว่า นั่นจึงนำไปสู่การเช็กสัญญาณโทรศัพท์ หรือศัพท์บ้านเรา เรียกว่าการล้มเสานั่นเอง
วิธีการล้มเสานั้น เอฟบีไอได้ตรวจสอบเบอร์ที่คนร้ายโทร.หาน้องสาวเหยื่อ พวกเขาพบว่ามีการโทร.ในพื้นที่ไม่ไกลจากจุดฝังศพ จากการสันนิษฐาน พวกเขาคาดว่าการโทร.นัดโสเภณีนั้น ฆาตกรน่าจะใช้มือถือแบบโทร.แล้วทิ้ง เพื่อให้เจ้าหน้าที่สาวถึงตัวไม่ได้
อย่างไรก็ดี สิ่งที่นักฆ่าหัวหมอรายนี้คาดไม่ถึง นั่นก็คือตำรวจนำเอาเบอร์โทรศัพท์ผู้เสียชีวิต ทั้ง 4 รายมาวาง แล้วเช็กตามเสาโทรศัพท์ทั่วทั้งอเมริกา เพื่อดูว่าช่วงก่อนหายตัวไปนั้น พวกเธอได้คุยกับใครบ้าง และมือถืออยู่ตรงส่วนไหนในโลกนี้
ขั้นตอนนี้กินเวลาหลายปี ในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็พบว่ามือถือของผู้ตายทั้งสี่นั้น สายสุดท้ายที่ได้รับมาจากเบอร์มือถือโทร.แล้วทิ้ง มีพิกัดการโทร.จากพื้นที่เดียวกันหมดเลย โดยจุดที่คนร้ายใช้มือถือโทร.นั้น อยู่ในละแวกชุมชนเงียบสงบแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก
ชุดสืบสวนสันนิษฐานความเป็นไปได้ว่า ฆาตกรอาจจะขับรถไปโทร.ที่จุดนี้ หรือก็แค่พักอาศัยอยู่บริเวณนั้นเท่านั้น
น่าเสียดายที่เจ้าหน้าที่ตัดประเด็นเรื่องปืนออกไป เพราะพวกเขาพบว่าศพที่ตายนั้น ล้วนถูกฆ่ารัดคอ จับมัดยัดใส่กระสอบแล้วฝังที่ชายหาดกิลโก จึงไม่ได้สนใจประเด็นว่าฆาตกรมีปืนครอบครองหรือไม่
ถ้าหากพวกเขาตรวจเรื่องการครอบครองอาวุธปืน ของคนที่พักอาศัยในบริเวณที่ฆาตกรใช้โทร.หาเหยื่อ เจ้าหน้าที่จะพบชายคนหนึ่ง ที่มีอาวุธปืนครอบครอง มากถึง 97 กระบอกด้วยกัน
แม้จะเป็นปืนที่ถูกกฎหมาย แต่ปริมาณการถือครอง ก็เยอะเกินไป และหากเช็กเรื่องนี้สักนิด เจ้าหน้าที่ก็อาจไขคดีได้เร็วกว่าเดิมไปหลายปีด้วย
อย่างไรก็ดี นี่เป็นบทเรียนที่เหล่านักสืบยอมรับความผิดพลาด เพราะพวกเขามุ่งเน้นการเช็กสัญญาณโทรศัพท์มือถือมากกว่า
แน่นอนว่าวิธีการทำงานตรงนี้ ไม่ได้ทำกันเพียงอาทิตย์หรือเดือนเดียว ในประเทศกว้างใหญ่อย่างอเมริกา แม้จะเป็นพื้นที่เล็กๆ ระหว่างเสาโทรศัพท์ 2 จุด แต่มันก็มีการโทร.เข้าออกมากมาย
ทางการต้องใช้เวลาแยกแยะเบอร์ไหนเกี่ยว เบอร์ไหนไม่เกี่ยวอยู่หลายปีทีเดียว กว่าจะตีกรอบล้อมความเป็นไปได้ขึ้นมา
แม้ยังไม่อาจระบุเบอร์มือถือตัวคนร้ายได้อย่างชัดเจน แต่ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสืบสวน ก็ยกระดับไปอีกขั้น เพราะเอฟบีไอได้แสดงแสงยานุภาพเพิ่มไปอีก
นั่นก็คือ แม้ตำรวจจะรู้ดีว่าฆาตกรรายนี้ ใช้มือถือแบบโทร.แล้วทิ้ง ทำให้ตามเจ้าของเครื่องไม่ได้ แต่เจ้าหน้าที่มีเครื่องมือใหม่ โดยตั้งสมมุติฐานว่า แม้คนร้ายจะใช้วิธีลวงเหยื่อ แบบไม่ให้ใครตามเบอร์ได้ แต่ในยุคสมัยนี้ เขาจะต้องมีโทรศัพท์มือถือที่ใช้เป็นประจำในกระเป๋ากางเกงแน่นอน
ดังนั้นหากเช็กให้ละเอียด ตำรวจะพบว่าช่วงเวลาที่มีการโทร.หาโสเภณีเหล่านี้ มีเบอร์มือถืออะไรบ้าง อยู่ในจุดการโทร. หากเช็กกับการโทร.คุยกับเหยื่อ 4 ราย หากมีเบอร์ซ้ำกันทั้ง 4 จุด พวกเขาก็จะรู้ได้ทันทีว่า นี่คือเบอร์ของฆาตกรคนนี้อย่างแน่นอน
นักสืบขยับเข้าใกล้ตัวคนร้ายไปอีกขั้นแล้ว
4.
หลายปีผันผ่าน แม้จะใกล้รู้ตัวคนร้ายเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนความก้าวหน้าก็ยังมืดมน กระนั้นเหล่านักสืบหน้าใหม่ก็ต่างหมุนเวียนกันเข้ามาทำคดี ทุกคนทำงานอย่างไม่ลดละ
แล้วอยู่ดีๆ หน่วยงานตำรวจรัฐ ซึ่งอยู่นอกวงโคจรของการสืบสวนนี้ ก็ดันพบเบาะแสสำคัญขึ้นมาได้ โดยการพบรถต้องสงสัยที่ตรงกับรถที่พยานแจ้งว่า เหยื่อขึ้นไป โดยรถคันนี้มีผู้ครอบครองเป็นชายคนหนึ่ง
สำหรับสาเหตุที่ตำรวจรัฐพบเบาะแสสำคัญนี้ได้ นั่นก็เพราะพวกเขาใช้เซิร์ฟเวอร์ที่พัฒนาก้าวล้ำไปกว่าโรงพัก เพราะตำรวจรัฐต้องใช้จับความเร็ว เขียนใบสั่งรถ จึงมีข้อมูลเรื่องรถทั่วประเทศคลอบคลุมกว่า
ผ่านไป 12 ปี ตำรวจก็มีผู้ต้องสงสัยคนแรกขึ้น เจ้าหน้าที่รีบล็อกเป้าทันที หากไม่ใช่จะได้ตัดออกไป โดยมีการสะกดรอยเจ้าของรถคันนี้ มีการตรวจสอบการใช้มือถือ ทุกอย่างลงล็อก เพราะเบอร์ของชายคนนี้ อยู่ในละแวกจุดที่มีการโทร.หาเหยื่อก่อนหายตัวไปทั้งสิ้น
นักสืบที่ดูแลเรื่องนี้เผยว่า เจ้าหน้าที่ไม่มีพยานจะแจ้งชัดเจน ข้อมูลทุกอย่าง รายละเอียดเล็กน้อยในคดีนี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ในการล่าจับฆาตกรต่อเนื่องคนนี้
เมื่อไม่มีพยานชี้ชัด ตำรวจจึงต้องลุยเอง พวกเขาเข้าเก็บถาดพิซซ่าที่ชายคนนี้กิน เก็บตัวอย่างในขยะที่เขาเอาไปทิ้ง
ในอดีตนั้นเจ้าหน้าที่มีดีเอ็นเอเส้นผมคนร้าย ที่ไม่รู้ว่าเป็นของใครอยู่แล้ว แต่ตอนนี้พวกเขามีนวัตกรรมใหม่ นั้นก็คือเอาดีเอ็นเอนิรนามนี้แหละ มาสร้างแผนผังดีเอ็นเอขึ้นมา
เทคโนโลยีตรงนี้ ทำให้ตำรวจจับกุมคนร้ายได้หลายราย ปิดคดีปริศนาไปมากมายแล้ว
อธิบายแบบรวบรัดก็คือ การสร้างแผนผังดีเอ็นเอนั้น เป็นการเอาดีเอ็นเอหนึ่งมา แล้วตรวจสอบว่าไปตรงกับดีเอ็นเอใครบ้าง ซึ่งในอเมริกา มีบริษัทที่ให้บริการตรวจสอบเรื่องนี้ เราสามารถเอาดีเอ็นเอตัวเองไปให้ เข้าระบบ แล้วก็จะได้ทราบว่าใครเป็นญาติเราบ้าง
เดิมนั้น มันใช้ในการค้นหาพ่อแม่แท้ที่จริงของเด็กที่ถูกรับไปเลี้ยง หรือต้องการตามหาญาติมิตรที่สูญหายบ้าง พอมีคนเอาตัวอย่างดีเอ็นเอไปให้บริษัทเอกชนเยอะ ตำรวจก็เห็นด้านดีอีกมุม นั่นก็คือเอาผังดีเอ็นเอไปล่าจับฆาตกรดีกว่า
โดยเส้นผม 3-4 เส้นที่พบในจุดเกิดเหตุนั้น ครั้งนี้ตำรวจเอาไปเทียบกับถาดพิซซ่า แล้วสร้างผังขึ้นมา จนพบว่าดีเอ็นเอมันตรงกัน โดยเมื่อเช็กอย่างละเอียด พวกเขาพบว่าเส้นผมที่พบนั้น มีดีเอ็นเอของภรรยาชายปริศนาคนนี้ด้วย
เมื่อเจ้าหน้าที่ย้อนดูข้อมูลย้อนหลัง ก็พบว่าช่วงเวลาก่อนการหายตัวไปของหญิงสาวทั้งสี่ ชายคนนี้นอกจากจะอยู่ในละแวกการโทร.ของคนร้ายแล้ว ภรรยาของตัวเอง ก็ไม่อยู่บ้านอีกด้วย นั่นหมายความว่า เขาใช้เวลาเมียไม่อยู่ ออกไปเรียกโสเภณี แล้วลวงไปฆ่า
เมื่อเป็นแบบนี้ เจ้าหน้าที่จึงรวบรวมหลักฐานเป็นข้อมูลกว่า 13 ปี ยื่นขออำนาจศาล เพื่อออกหมายจับเร็ก ฮิวเออร์มันน์ (Rex Heuermann) ชายร่างท่วมวัย 59 ปี อาชีพสถาปนิกและครูสอนม.ปลาย
ชายที่ทางการระบุว่ามีปืนในครอบครองทั้งหมด 97 กระบอกด้วยกัน
ข้อมูลตรงนี้สร้างความหวาดผวาให้กับเจ้าหน้าที่อย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องวางแผนรวบตัวอย่างละเอียดถี่ถ้วนที่สุด
“เอาตามตรง ผมกลัวนะ ไม่รู้ว่าชายคนนี้จะคิดอะไร ถ้าเขารู้ตัวก่อนว่า จะโดนจับ แล้วเกิดคลั่ง ก่อเหตุกราดยิงขึ้นมาจะทำไง”
5.
วันที่ 15 กรกฏาคม ปี 2023 ตำรวจพร้อมอาวุธครบมือ ลงจากรถ แล้วบุกล้อมเร็กที่กำลังเดินสบายอยู่แถวบ้าน เจ้าหน้าที่ยืนกันเป็นวงกลม ปิดทางหนีของผู้ต้องสงสัยในฉับพลัน และหากเขามีปืน ทางการก็พร้อมสู้
อย่างไรก็ดีตัวเร็กนั้น ไม่ได้มีท่าทีสติแตกอะไรเลย เขาไม่ได้พกปืน แถมยังยินยอมให้จับแต่โดยดี พร้อมแจ้งสิทธิ์พบทนาย และไม่ขอให้การใดๆ ทั้งสิ้น
ข่าวการจับกุมนี้ สร้างความตื่นตกใจให้คนในชุมชนอย่างมาก เพราะไม่คิดว่าเร็ก ชายร่างท้วม ที่มีครอบครัวอบอุ่น มีลูก 2 คน จะเป็นฆาตกรโหดที่สังหารหญิงสาว แล้วเอาร่างไปฝังไว้ที่หาดกิลโกได้
แม้เร็กจะยืนกรานปฏิเสธข้อหาเป็นฆาตกรต่อเนื่อง แต่ตำรวจมีหลักฐานทุกอย่างชัดเจนมาก เพราะรวบรวมมาหลายปี ทางอัยการก็มั่นใจว่าจะสามารถเอาผิดเขาได้
คดีนี้กลายเป็นเรื่องฮือฮาในอเมริกาอย่างมาก ไม่เพียงเพราะมันใช้เวลากว่า 13 ปี แต่เนื่องจากวิธีการสืบสวนของตำรวจมันก้าวล้ำมาก ใช้ทั้งสัญญาณโทรศัพท์ ดีเอ็นเอ ข้อมูลรถ โดยมีคำให้การพยานที่น้อยมากๆ เบาะแสทุกอย่างล้วนเกิดจากการรวบรวมข้อมูลทั้งนั้น หาใช้น้ำคำจากมนุษย์ไม่
นี่จึงทำให้มันเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แน่นหนาเพียงพอเอาผิดเร็กได้อย่างสบายๆ เลยทีเดียว
และเมื่อทางการมั่นใจ กินเวลาไม่นาน อดีตโสเภณีหลายคนก็ออกมาเผยว่า พวกเธอเคยเป็นลูกค้าเร็ก และชายคนนี้หยาบคายมาก มีการทำร้ายพวกเธออย่างรุนแรง พอรู้ข่าว อดีตโสเภณีต่างก็ช็อกที่รอดตายมาได้ และพวกเธอก็พร้อมให้ข้อมูลความกักขฬะของชายคนนี้
ด้านเพื่อนสมัยเรียนม.ปลายของเร็ก ก็ออกมาพูดว่า ตอนเป็นเด็ก เร็กถูกรังแกบ่อยมาก เพราะร่างอ้วน เป็นคนที่ไม่โดดเด่นอะไรเลย ไม่สู้คน ไม่กล้าหือกับใคร จนโดนแกล้งหลายครั้ง จนตัวโตเหมือนหมีนั่นแหละ การแกล้งจึงหยุดไป แต่ไม่มีใครรู้ว่า มันจะกลายเป็นปมในใจชายคนนี้หรือไม่ จนส่งผลให้ต้องไปเป็นฆาตกรต่อเนื่อง
เพื่อนบ้านของเร็กเผยว่า แม้เขาจะช็อกที่เร็กเป็นนักฆ่าหาดกิลโก แต่พอมานึกย้อนดู ก็พบว่าชายคนนี้เลี้ยงลูกแบบเข้มงวดมาก ไม่ค่อยให้มาสุงสิงกับใคร ตอนที่ลูกสาวเร็กได้รถคันแรก เขาอยากเดินไปบอกเด็กเหลือเกินว่า
“หนูสตาร์ทรถ แล้วขับหนีไปจากบ้านหลังนี้เถอะ”
ถึงวันนี้เร็กยังปิดปากเงียบ ไม่เผยแรงจูงใจ ยืนยันว่าตัวเองไม่ผิด ขณะที่เมียและลูกสาว ยังคงอยู่ในบ้าน ซึ่งคาดว่าเป็นจุดที่ฆาตกรรายนี้ จะตัดสก็อตเทป ก่อนไปมัดรัดสังหารเหยื่อด้วย
แต่แม้ชายคนนี้จะไม่พูดอะไร แต่ทางการก็มั่นใจว่าหลักฐานที่สืบสวนมาหลายปี จะพูดแทนตัวเหยื่อ ในนามของความยุติธรรมได้คลอบคลุมทั้งหมด
6.
ในที่สุด 13 ปีแห่งการไล่ล่า ก็จบสิ้นลง แม้จะกินเวลานานไปสักหน่อย แต่สุดท้ายเจ้าหน้าที่ก็คืนความยุติธรรมให้กับครอบครัวเหยื่อได้สำเร็จ
อย่างไรก็ดี ถึงวันนี้ แม้นักฆ่าแห่งหาดกิลโกจะสิ้นฤทธิ์ แต่ความผิดเขายังไม่จบสิ้น เจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลคดีนี้ เผยกับนักข่าวว่า ทางตำรวจยังคงค้นหา ตรวจสอบข้อมูลคนหายมากมาย เพื่อดูว่าพวกเธอเหล่านี้ อาจจะตกเป็นเหยื่อของเร็กหรือไม่
“เพราะพวกเราไม่เคยเชื่อว่า ตลอด 13 ปีที่ผ่านมา เขาจะฆ่าหญิงสาวไปแค่ 4 ศพเท่านั้น”
อ้างอิงจาก