(1)
ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 หลังจาก ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี (John F Kennedy หรือ JFK) ถูกลอบสังหารเสียชีวิตท่ามกลางปริศนามากมาย ในปี ค.ศ.1963 ตามมาด้วยการลอบสังหารอีกครั้งของ โรเบิร์ต เคนเนดี (Robert F Kennedy หรือ RFK) น้องชายคนถัดมา ระหว่างเข้าชิงตำแหน่งผู้สมัครชิงประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครต ในปี ค.ศ.1968 ชาวอเมริกาก็คิดว่า เท็ด เคนเนดี (Ted Kennedy) ส.ว. มลรัฐแมตซาชูเซตส์ วัย 37 ปี น้องชายคนสุดท้อง จากพี่น้อง 9 คน ซึ่งสองในนั้นคือ จอห์นและโรเบิร์ต น่าจะก้าวเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป ตามเส้นทางของพี่ชายได้ไม่ยากนัก
ย้อนอดีตกลับไป เท็ด ถูกตระกูลเคนเนดี ซึ่งเป็นตระกูลไอริช ผู้ทรงอิทธิพลและมั่งคั่งในแมตซาชูเซตส์ สร้างขึ้นให้เป็น ‘นักการเมือง’ ที่มีคุณภาพไม่แพ้พี่ชายทั้งสองคน เท็ดเคยเป็นทหารในกองทัพบกสหรัฐฯ 2 ปี เรียนจบกฎหมายจาก Virginia School of Law และทำงานเป็นผู้ช่วยอัยการประจำรัฐ โดยขอรับเงินเดือนเพียง 1 ดอลลาร์ เพราะบ้านมีเงินอยู่แล้ว
หาก JFK คือผู้ที่ยึดมั่นในหลักการ เป็นนักบริหารชั้นดี และ RFK คือผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายชั้นเยี่ยม ทำหน้าที่เป็น รมว.ยุติธรรม สมัยพี่ชายเป็นประธานาธิบดี เท็ดถูกครอบครัวสร้างขึ้นให้เป็นส่วนผสมที่ลงตัวของทั้งสอง เมื่อจอห์นได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี เท็ดก็ลงเลือกตั้งเป็น ส.ว. ของรัฐแมตซาชูเซตส์แทนตำแหน่งที่ว่างลงของจอห์นทันที ด้วยอายุเพียง 30 ปี และแน่นอน เขาได้รับเลือกตั้ง เป็น ส.ว. ที่อายุน้อยที่สุดในสหรัฐฯ เวลานั้น
อันที่จริงเส้นทางของเท็ด น่าจะก้าวไปสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไปในปี ค.ศ.1972 หากไม่มีความผิดพลาดครั้งใหญ่ ในคืนวันที่ 18 กรกฎาคม ปี ค.ศ.1969
(2)
คืนวันนั้น เท็ดจัดปาร์ตี้ย้อนหลัง 1 ปี ให้กับบรรดาสาวสวย Boiler Room Girls ซึ่งทำหน้าที่เป็น ‘ทีมหาเสียง’ ในแคมเปญของ RFK พี่ชาย ที่บ้านพักตากอากาศ บนเกาะแชพพาควิดดิก (Chappaquiddick) หมู่เกาะมาร์ธา วินยาร์ด รัฐแมสซาชูเซสต์ แหล่งพักร้อนสำคัญของบรรดาผู้มีอันจะกินแถบนั้น หนึ่งในบรรดาสาวสวยในงานปาร์ตี้คือ แมร์รี โจ โคเปคนี (Mary Jo Kopechne) วัย 28 จากเพนซิลเวเนีย
หากเป็นการจัดปาร์ตี้ตามปกติก็คงไม่มีอะไร แต่งานเลี้ยงในคืนนั้น กลับเป็นงานลับๆ ของบรรดาผู้ชายที่แต่งงานแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพื่อนในวงสังคมการเมือง – เจ้าหน้าที่รัฐ กับสาวสวย 6 คน โดยที่ไม่ได้เชิญภรรยา – ครอบครัว เข้าร่วมด้วย ซึ่งด้านดาร์กๆ ของคนเหล่านี้ ก็คือ มีการจัดปาร์ตี้แบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง เพียงแต่สังคมภายนอกไม่เคยรับรู้ และจะไม่มีทางรู้ได้เลยหากเกิดเหตุผิดปกติขึ้น
ช่วง 5 ทุ่มของคืนนั้น ส.ว.เท็ด เคนเนดี ออกจากงานปาร์ตี้ ขอกุญแจรถจากคนขับรถส่วนตัวของเขา เพื่อขับไปส่งแมร์รี โจ กลับโรงแรมในระยะทางไม่ไกลมาก แต่รถของเท็ด กลับออกนอกเส้นทางโดยไม่ทราบสาเหตุ และขับรถตกสะพานข้ามคลองเล็กๆ บนเกาะแชพพาควิดดิก จนรถพลิกคว่ำ หลังคาพาดกับสะพานลงไปกองในช่องแคบ เท็ดว่ายน้ำออกมาจากซากรถ ขึ้นฝั่งมาได้
แต่แมร์รี โจ ติดอยู่ในรถที่กำลังจมลงในน้ำ
แล้วเท็ด ส.ว. วัย 37 ปี ผู้ที่น่าจะเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปได้ไม่ยาก ก็ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต เมื่อเขาปฏิเสธที่จะแจ้งตำรวจ เพื่อช่วยชีวิตแมร์รี โจ ออกจากรถที่กำลังจมน้ำ แต่ตัดสินใจเดินเท้ากลับไปยังบ้านที่จัดงานปาร์ตี้ บอกกับเพื่อน 2 คน ให้กลับไปยังที่เกิดเหตุ ช่วยกันนำตัวแมร์รี โจ ออกจากซากรถ แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถพาเธอออกมาได้ จากกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากเกินไป
เหตุการณ์หลังจากนั้นก็คือ เพื่อนซี้ 3 คน ซึ่งเคยเป็น ‘ทนาย’ ด้วยกันทั้งหมด ถกเถียงกันหน้าตู้โทรศัพท์ว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า เพื่อนเขายืนยันว่าเรื่องนี้ควรจะรีบแจ้งตำรวจอย่างรวดเร็ว แต่เท็ดกลับเลือกที่จะไม่แพ่งพรายเรื่องนี้กับใคร เขาเลือกที่จะกลับไปนอนที่โรงแรมแทน ขณะที่เพื่อนอีก 2 คน ก็กลับไปยังบ้านที่จัดงานปาร์ตี้ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมทั้ง 3 ถึงตัดสินใจเช่นนั้น..
(3)
รุ่งเช้าวันที่ 19 กรกฎาคม เท็ดทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาลงมายังล็อบบี้โรงแรม คุยเรื่องการแข่งขันแล่นเรือใบที่เกิดขึ้น 1 วันก่อนหน้ากับเพื่อนฝูง หลังจากนั้นเขาก็ใช้โทรศัพท์ตู้เดียวกับที่ยืนถกเถียงกันกลางดึกคืนก่อนหน้า โทรหาบรรดาผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองอีกหลายคน แต่กลับเลือกที่จะไม่รายงานเจ้าหน้าที่
อีกด้านหนึ่งที่จุดเกิดเหตุ หลังจากชาวประมงพบซากรถ เจ้าหน้าที่กู้ภัย นักประดาน้ำ ต่างก็พยายามนำศพของ แมร์รี โจ ออกจากเบาะหลังรถยนต์สีดำคันใหญ่ ซึ่งจอดคว่ำคาอยู่ในคลอง ใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาที ก็นำศพออกมาได้ ตำรวจเช็คประวัติเจ้าของรถ ไม่ใช่ชื่อใครอื่น แต่เป็นชื่อ ส.ว.เท็ด นั่นเอง
คำให้การอย่างเป็นทางการของเท็ดก็คือ เขาขับรถ เตรียมไปส่งแมร์รี โจ ยังที่พัก แต่ไม่คุ้นเส้นทาง เลยขับหลงจนตกสะพาน ตัวเขาออกจากรถได้ แต่จำไม่ได้ว่าออกมาอย่างไร เขาพยายามดำน้ำลงไปช่วยผู้โดยสารที่นั่งมาด้วยกันแล้ว แต่ด้วยกระแสน้ำ และความมืด เลยไม่สามารถทำอะไร หลังจากนั้น จึงกลับไปเพื่อนที่งานปาร์ตี้ และขอให้คนที่งาน ขับรถกลับไปส่งที่โรงแรม หลังจากได้สติในช่วงเช้า จึงรีบติดต่อตำรวจทันที..
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ผลชันสูตรศพของแมร์รี โจ พบว่าเธอยังมีชีวิตอยู่นานหลายนาที และแพทย์ผู้ชันสูตร ก็ลงความเห็นว่า
หากมีการช่วยเหลืออย่างทันเวลา
เธอก็ไม่น่าจะเสียชีวิตด้วยสภาพนี้
(4)
ไม่นานหลังจากนั้น ทีมที่ปรึกษาทางการเมือง ซึ่งเตรียมพาเขาก้าวเข้าสู่สนามชิงชัยประธานาธิบดีในปี ค.ศ.1972 กลายเป็นทีมที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ให้ตัว ส.ว.หนุ่ม หลุดพ้นจากคดี ‘ฆาตกรรม’ โดยทันที ภาพลักษณ์ของเท็ดป่นปี้ ไม่มีเหลือ คงเหลือเพียงอย่างเดียวคือ ทำอย่างไรให้ที่สุดแล้วเกิด ‘อภินิหารทางกฎหมาย’ ทำให้นักการเมืองผู้มั่งคั่งอย่างเขาหลุดคดี และสังคมไม่มองเขาเป็นผู้ร้ายจนเกินไป
แน่นอนการไม่แจ้งเจ้าหน้าที่และหน่วยกู้ภัยในคืนนั้น ทำให้ตำรวจไม่สามารถตรวจระดับแอลกอฮอล์ในเลือดได้ เครื่องมือทางการเมืองของตระกูลเคนเนดียังเดินหน้าต่อด้วยการวิ่งล็อบบี้ไม่ให้มีการชันสูตรศพซ้ำ รวมถึงพยายามวิ่งเต้นแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ไม่ให้สื่อมวลชน – นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามเล่นข่าวนี้จนหนักเกินไป
โชคเข้าข้างก็ตรงที่ วันที่ 16–20 กรกฎาคม นั้น เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ยานอวกาศอพอลโล 11 ออกเดินทางไปยังดวงจันทร์ และวันที่ 20 กรกฎาคม หนึ่งวันหลังจากเหตุการณ์ที่แชพพาควิดดิก เป็นวันที่ นีล อาร์มสตรอง (Neil Armstrong) ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์พอดี ทำให้ข่าวใหญ่ข่าวนี้ กลบเรื่องฉาวโฉ่ของตระกูลเคนเนดีจนมิดชิด
ศาลเขตแมตซาชูเซตส์ตัดสินในอีก 1 สัปดาห์ให้หลังด้วยข้อหาเล็กน้อยให้ลงโทษ 2 เดือน แต่ให้รอลงอาญา และพักใช้ใบขับขี่เป็นระยะเวลาสั้นๆ หลังจากเท็ดสารภาพผิดเรื่องการหลบหนีจากที่เกิดเหตุ
(5)
แต่ในทางการเมือง ภาพลักษณ์ที่สูญเสียไปแล้ว ไม่สามารถกลับคืนมาได้ง่ายๆ เท็ดออกทีวี แถลงข่าวกับสาธารณชนอย่างเป็นทางการ บอกว่าคืนนั้น เขาไปงานปาร์ตี้เพียงคนเดียว ไม่สามารถพาภรรยาไปด้วยได้ ด้วยเหตุผลทางสุขภาพของภรรยา เขาไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์ หรือไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายก่อนที่จะเกิดเหตุ แต่ยอมรับว่าการกระทำของเขาหลังจากนั้น เป็นเรื่องที่ ‘ไม่อาจยอมรับได้’ และ ‘ฟังไม่ขึ้น’ ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม เรื่องทั้งหมดไม่ได้มีสาเหตุเบื้องหลังอย่างอื่น นอกจากเขาอยู่ท่ามกลางอาการช็อก ตกใจ และไม่รู้จะทำตัวอย่างไร เขาขอให้ชาวแมตซาชูเซตส์ ช่วยกันตัดสินใจว่าตัวเขา ควรจะลาออกจากตำแหน่งหรือไม่ จากความผิดพลาดครั้งนี้ อีกทั้งพวกเขายังสามารถความเชื่อใจ ส.ว. คนนี้อยู่ต่อไปไหม
สื่อมวลชนต่างเห็นตรงกันว่า
การแถลงข่าวของเท็ด
ถือเป็นจุดตกต่ำที่สุดของตระกูลเคนเนดี
ทำลายทุกอย่างที่ผ่านมาซึ่งพี่ชาย 2 คนเคยสร้างไว้อย่างราบคาบ ยิ่งไปกว่านั้นแทนที่เท็ด จะอาศัยโอกาสนี้แถลงข่าวลาออกจากความรับผิดชอบที่เกิดขึ้น เท็ดกลับผลักภาระให้ชาวแมตซาชูเซตส์เป็นผู้ตัดสินใจแทน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสังคมการเมืองอเมริกัน
มีการพยายามรื้อคดีนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหลายรอบหลังจากนั้น แต่ไม่เคยไปได้ไกลกว่าชั้นสอบสวน กับคำให้การในแบบเดิมของเท็ด – พยานคนอื่นรอบที่เกิดเหตุ เพราะหลักฐานหายไปจากเหตุการณ์หมดแล้วในคืนวันนั้น
มิหนำซ้ำ แรงกดดันจากที่เรื่องนี้เกิดขึ้นในรัฐแมตซาชูเซตส์ ที่ซึ่งเครื่องมือทางการเมืองของตระกูลเคนเนดีมีอิทธิพลอย่างหนัก ก็ทำให้ทั้งตำรวจ อัยการ และศาล ระมัดระวังอย่างมากในการทำคดี ให้ไม่ ‘ลงลึก’ จนเกินไป
(6)
เท็ด พยายามกู้ชื่อเสียง และหาทางกลับไปเป็นผู้สมัครประธานาธิบดีของพรรคอีกหลายครั้ง แต่เมื่อใดก็ตามที่คนนึกถึงเขา เหตุการณ์ที่แชพพาควิดดิกก็ตามมาหลอกหลอนเสมอ ปี ค.ศ.1979 ระหว่างที่เดโมแครตกำลังตามหาตัวผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เนื่องจากประธานาธิบดี จิมมี คาร์เตอร์ (Jimmy Carter) คนเดิม มีคะแนนต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เท็ด ก็ถูกคาร์เตอร์ ‘ย้อน’ เรื่องแชพพาควิดดิก กลายเป็นไม้ตายช่วงท้ายของการคัดตัวผู้สมัครอีกครั้ง ทำให้ในที่สุดเขาก็แพ้การหยั่งเสียง หาตัวผู้สมัครในรอบนั้น และปิดเส้นทางการเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไปตลอดกาลด้วยวัยเพียง 47 ปี
ถึงกระนั้นเอง ฐานการเป็นส.ว.ของเขายังคงเหนียวแน่น หลังเกิดเหตุการณ์ เท็ด ยังชนะการเลือกตั้ง ส.ว.รัฐแมตซาชูเซตส์ต่อเนื่องยาวนานอีก 7 ครั้ง และเป็นหนึ่งใน ส.ว. ‘น้ำดี’ ของเดโมแครต กระทั่งถึงสมัยประธานาธิบดี บารัค โอบามา (Barack Obama) ในปี ค.ศ.2009 ก่อนที่เท็ดจะเสียชีวิตคาเก้าอี้ ส.ว. ด้วยโรคมะเร็งสมองในวัย 77 ปี
เท็ดเขียนหนังสือบันทึกความทรงจำออกจำหน่ายหลังเขาเสียชีวิต พูดถึงเหตุการณ์ที่แชพพาควิดดิกว่า ไม่มีวันไหนเลยที่เขาไม่นึกถึง… ซ้ำยังรู้สึกเสียใจมาตลอดที่ทำลายชีวิตทางการเมืองของทั้งตัวเองและตระกูลเคนเนดีลงในวันนั้น แต่ทั้งหมดไม่มีอะไรที่จะใกล้เคียงกับความรู้สึกของครอบครัวของแมร์รี โจ ที่ต้องสูญเสียครั้งใหญ่เช่นกัน
แต่ในอีกแง่หนึ่ง สื่ออเมริกัน และคนอเมริกา กลับมองเรื่องนี้ว่าเป็นตัวอย่างที่คนมีเงิน มีอำนาจ มีอิทธิพลอย่างตระกูลเคนเนดี จะ ‘พ้นผิด’ ได้เสมอ