วันเด็กแต่ละปีมักจะชวนให้คิดถึงวัยเด็กว่ามันได้ประกอบสร้างให้เราเป็นอย่างนี้และไม่เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร
วันเด็กที่เพิ่งผ่านมาก็เช่นกัน
จำได้ว่าตอนเล็กๆ ครอบครัวฉันลักษณะคล้ายครอบครัวชนชั้นกลางดื่นๆ ที่เห็นได้ทั่วไปตามโฆษณาบ้านจัดสรร น้ำยาปรับผ้านุ่ม ซอสปรุงรส พวกเรามีกิจกรรมร่วมกัน นั่งดูโทรทัศน์ที่ตั้งกลางบ้านด้วยกันหลังมื้อเย็น และฉันก็มักนอนหนุนตักแม่ดูเมโลดราม่าหลังข่าวเสมอๆ (สมัยนู้น จำได้ว่ามีการ์ตูนสั้นๆให้ดูหลังข่าวจบด้วยนะเออ แล้วละครน้ำเน่าก็มาประมาณ 3 ทุ่ม ให้ดูวันละชั่วโมง)
และขณะที่นังตัวอิจฉายั่วยิ้มในจอทีวีค่อยๆ สโลว์ซบพระเอก ก่อนที่นางจะเผยอริมฝีปากสีเลือดนกบดขยี้ปากของอีกฝ่าย โลกทั้งใบของฉันก็ดับมืดลงด้วยฝ่ามืออรหันต์ของแม่ที่ปิดตาฉันเแน่น มีแต่เสียงครางของเจ้าหล่อนที่ฟังไม่ได้ศัพท์ เคล้าไปกับเสียงแซกโซโฟนที่คลออ้อยอิ่งไกลๆ กว่าดวงตาฉันจะได้รับอิสรภาพก็เป็นโฆษณาผ้าอนามัยแชมพูครีมนวดผมเสียแล้ว ฉันได้แต่เซ้าซี้ถามถึงภาพปริศนาหลังมือแม่ คำตอบที่ได้เป็นชุดเดียวกับที่ฉันเคยถามก่อนหน้านั้น “sex แปลว่าอะไร”, “น้าคนนั้นท้องได้อย่างไร”, “หนูเกิดมาได้ยังไง” ซึ่งกลับสร้างความพิศวงสนเท่ห์จนฉันร้อนใจมากกว่าเดิมเสียอีก
“เอาไว้ลูกโตก่อนแล้วค่อยรู้ก็แล้วกัน”
กว่าจะ ‘โต’ พอจนรู้ว่าเสียงอื้ออ้าอื้ออึงลึกลับนั้นคืออะไร และคนเราท้องได้อย่างไร ก็เมื่อฉันเริ่มแอบดูหนังโป๊ ดูทีวีเองคนเดียว แม้ว่าจะแอบผิดหวังเล็กน้อยเพราะมันไม่ได้มีกฤษดาภินิหารหรือโลดโผนโจนทะยาน มากไปกว่าจิตนาการของฉันที่ฟุ้งซ่านเตลิดไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่มันก็ทำให้ฉันตระหนักได้ว่า คนที่โตๆ กันแล้ว เขา ‘ทำอะไร’ กัน
ช่วงวัยจึงกลายเป็นเงื่อนไข ‘ความอันควร’ ในการเข้าถึงเรื่องเพศสัมพันธ์หรืออย่างน้อยที่สุดความรู้ว่าด้วยฟังก์ชั่นอื่นๆ ของ จู๋ จิ๋ม ปาก ดาก ตูด ที่นอกเหนือจากการสื่อสาร ระบบการย่อยอาหารและขับถ่าย ว่ามันมีอะไรอีกบ้าง ที่ไม่เพียงกลายเป็นสิ่งผูกขาดโดยผู้ใหญ่ แต่ยังเป็นสิ่งที่ต้องวางให้พ้นมือเด็ก ราวกับยาฆ่าแมลง ยาปราบวัชพืช หรือของมีคมก็ไม่ปาน
อย่างไรก็ตาม จุดจบของวัยเด็กหรือจุดเกิดของภาวะผู้ใหญ่ที่โตพอต่อเรื่องเพศสัมพันธ์ก็ไม่ได้คงที่ หากแต่ต่างกันกันไปตามบริบทสังคมไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยหรือท้องถิ่น
ในสังคมบรรพกาล ขนอวัยวะเพศเป็นเครื่องบ่งชี้ความแตกต่างระหว่างวัยเด็กกับวัยเจริญพันธุ์ ในฝรั่งเศสก่อนปฏิวัติ (Révolution française, ค.ศ. 1789-1799) วัยแต่งงานผู้ชายในยุคนั้นอยู่ที่ 14 ปี และผู้หญิงอยู่ที่ 12 ปี จนกระทั่ง ค.ศ. 1792 ที่สำนึกประชาธิปไตยเบ่งบานจนประชาชนเริ่มฉลาดพอที่จะปฏิเสธอำนาจกษัตริย์และศาสนา ในยุคนี้วัยแต่งงานก็ขยายมาสู่ 15 ปีผู้ชาย และ 13 ปีผู้หญิง และเมื่อมีประมวลกฎหมายนโปเลียน ค.ศ. 1804 วัยแต่งงานอันควรของชายก็มาอยู่ที่ 18 ปี และหญิง 15 ปี
ย้อนกลับมาดูครอบครัวเกษตรกรรมยังชีพแบบไทยๆ สมัยก่อน พอเด็กชายหมออ้อยเริ่มอุย เด็กผู้หญิงเริ่มมีเลือดไหลออกจากจิ๋มและจะไหลแบบนี้ไปทุกเดือน ก็ถือว่าโตเป็นหนุ่มเป็นสาวพร้อมทำผัวทำเมียได้แล้ว สามารถออกเหย้าออกเรือนผลิตลูกให้เยอะๆ เร็วๆ หัวปีท้ายปี จะได้ช่วยกันทำไรไถ่นา เพศสัมพันธ์ถือว่าเป็นกระบวนการสำคัญในการสร้างแรงงานอันเป็นปัจจัยการผลิตอย่างหนึ่ง
แต่ผู้นำและบุคคลสำคัญไทยหลายคนที่ไม่ได้ยึดอาชีพเกษตรกรรมก็แต่งงาน มีลูกมีเต้าตั้งแต่อายุไม่ถึง 20 ท่านผู้หญิง พูนศุข พนมยงค์ แต่งงานเมื่ออายุ 17 ปี กับปรีดี พนมยงค์ ที่อายุ 28 ปี ในพ.ศ. 2472 ท่านผู้หญิง ละเอียด พิบูลสงครามก็แต่งงานกับจอมพล แปลก พิบูลสงครามเมื่ออายุ 14 ปี ใน พ.ศ. 2459 ซึ่งขณะนั้นจอมพลยังเป็นร้อยตรีแปลก ขีตตะสังคะ อายุ 19 ปีอยู่เลย
เช่นเดียวกับชนชั้นนำในระบอบการปกครองก่อนประชาธิปไตย ที่รายได้ไม่ได้มาจากเกษตรกรรม รัชกาลที่ 5 เองก็ทรงมีพระธิดาพระองค์แรกเมื่อพระชนมายุเพียง 14-15 พรรษา กับพระพี่เลี้ยงสาวที่ห่าง 6 ปี ในพ.ศ. 2410 ก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์เสียอีก กรมพระยาดำรงราชานุภาพประสูติในพ.ศ. 2405 มีพระโอรสองค์แรก (ในบรรดาพระโอรสธิดา 37 พระองค์ แต่ไม่ได้ความว่าประสูติจากมารดาคนเดียวกันหมดนะฮะ!!! กรมดำรงฯ มีหม่อมสิริรวม 11 คน) ตอนพ.ศ. 2424 เท่ากับว่าทรงมีลูกตอนอายุ 19 พรรษา
ชนชั้นนำยุคนั้นรีบมีลูกและผลิตจำนวนมากก็เพื่อขึ้นมาสร้างฐานอำนาจทางการเมือง เหมือนที่สังคมเกษตรผลิตลูกหลานมาทำไร่ไถนาเพื่อจ่ายภาษี เพศสัมพันธ์ในวัยอันควรจึงไม่มีจุดเสถียร เพราะมาตรวัดไม่ได้อยู่ที่ช่วงอายุเท่านั้น หากแต่อยู่ที่สถานะทางสังคมของคนที่มีเพศสัมพันธ์ ว่าพวกเขาหรือเธอเกิดในชนชั้นใด มีสถานะทางเศรษฐกิจสังคมอย่างไร อยู่ยุคสมัยใดทางประวัติศาสตร์
เพียงแต่เมื่อไทยไปปรับวัฒนธรรมให้ทันสมัยจากชาวตะวันตกคริสเตียนผิวขาว เกิดระบบการศึกษาที่ซับซ้อนและต้องใช้ระยะเวลามากขึ้นในสถาบันการศึกษา
เพื่อรองรับความรู้และสาขาอาชีพใหม่ๆ ที่นำเข้ามาอีกทีเพื่อพัฒนารัฐและสังคม แทนการยังชีพด้วยเกษตรกรรมและแรงงานแบบเดิม วัยผสมพันธุ์จึงถูกชะลอให้ไกลออกไปอีก
และด้วยวัฒนธรรมสมัยใหม่ เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย สาธารณสุข อาหารและยาก็ถ่างอายุขัยมนุษย์ห่างไปมากขึ้นจนไม่มีความจำเป็นต้องรีบสืบพันธุ์เพื่อป้องกันการสูญพันธุ์ ที่อาจจะตายไปพร้อมกับการแท้งลูก พิษสุนัขบ้า บาดทะยัก กาฬโรค โรคห่าโรคเหว ฟ้าผ่า จมน้ำ ตกเขา เสือขบงูฉกจระเข้งาบ การคุมกำเนิดก็พัฒนาประสิทธิภาพมากขึ้นทั้งยาคุมยาขับ การยุติการตั้งครรภ์ หรือถุงยางอนามัย
แต่ถึงกระนั้น มันก็ดันถูกผูกขาด ‘ความอันควร’ ด้วยขวบวัย ประหนึ่งว่าการจ้ำจี้เอากันมันเป็นการศึกษาภาคบังคับ หรือ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ร้ายไปกว่านั้นยังเสือกต้องห้ามเฉพาะเด็กวัยรุ่น ทั้งๆที่เป็นวัยที่ความต้องการทางเพศพลุ่งพล่านและน่าปรารถนามีเพศสัมพันธ์ด้วยอย่างที่สุด เพราะรัฐยังคงมองเราเป็นเด็กเสมอไม่ว่าอายุเท่าไร เกิดก่อนรัฐบาลใด ผ่านเหตุการณ์รัฐประหาร และต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยมากี่ครั้งแล้วก็ตาม รัฐก็ยังคงมองว่าเราเป็นเด็ก ยังคงบัญญัติเว็บไซต์อะไรที่ควรเข้าชม หนังสือหรือหนังเรื่องอะไรควรอ่าน แอลกอฮอร์ควรซื้อกินดื่มเวลาไหนได้บ้าง
ก็ไม่อยากจะ politically incorrect หรอกนะ แต่คนพวกนี้ไม่เคยหันกลับไปดูตนเอง ที่ผ่านเข้าสู่วัยทอง ไข่ไม่ตก ฮอร์โมนไม่หลั่ง กระเจี๊ยวแข็งช้า หมอยหงอก เนื้อตัวเหลวฟ่าม ไขข้อเสื่อมคุกเข่าไม่ไหว กล้ามเนื้อหมดความยืดหยุ่น โยกมากเล่นท่าไม่ได้ สายตายาวมองระยะใกล้ก็ไม่เห็น แต่ก็ไม่ได้ออกมาตรการสอดส่อง ควบคุมกำกับ ห้ามปรามอะไร
เอาเข้าจริง เพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร อาจจะไม่น่ากังวลไปกว่า ‘เพศสัมพันธ์หลังวัยอันควร’