ผมเคยเขียนถึง Kazuo Ishiguro ไปแล้วทีหนึ่งเมื่อครั้งที่เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมเมื่อปีที่ผ่านมา แต่ด้วยฤกษ์งามยามดีที่เร็วๆ นี้ นักอ่านชาวไทยกำลังจะได้อ่านผลงานอีกเล่มหนึ่งของเขาที่ยังไม่เคยถูกตีพิมพ์เป็นภาษาไทยมาก่อน ผมเลยถือโอกาสเขียนถึงหนังสือเล่มนี้ก่อนที่จะวางแผงจริงๆ จังๆ ในช่วงปลายเดือนี้ครับ
The Buried Giant (หรือที่ฉบับภาษาไทยใช้ชื่อว่า ‘ยักษ์ใต้พิภพ’) คือนวนิยายเล่มล่าสุดของ Ishiguro (2015) ก็อย่างที่หลายๆ คนอาจรู้กันว่าเขาไม่ใช่นักเขียนที่ขยันผลิตผลงานออกมาถี่ๆ นัก กว่าจะคลอดหนังสือออกมาสักเล่มหนึ่ง เขาก็บ่มเพาะอยู่หลายปี ซึ่งแม้ว่า The Buried Giant จะเป็นผลงานที่แฟนๆ ต่างรอคอย แต่ในเวลาเดียวกัน นวนิยายเรื่องนี้ก็สร้างความงุนงงให้กับเหล่านักอ่านอยู่เหมือนกันครับ
เพราะ Ishiguro เป็นนักเขียนที่รู้จักกันในแง่ที่ว่า งานเขียนของเขาแต่ละเล่มนั้นไม่ค่อยเหมือนกันสักเท่าไหร่ กล่าวคือ แม้จะมีจุดเชื่อมโยงบางอย่างคล้ายๆ กัน แต่นวนิยายของเขาแต่ละเรื่องมักโฟกัสไปที่อะไรใหม่ๆ อยู่ตลอด ไม่ค่อยจะวนซ้ำอยู่กับบรรยากาศ หรือฉากหลังเดิมๆ สักเท่าไหร่ ตัวอย่างเช่น An Artist of the Floating World ก็บอกเล่าเรื่องราวของญี่ปุ่นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 The Remains of the Day ก็ถ่ายทอดชีวิตของพ่อบ้านอังกฤษในช่วงหลังสงคราม หรือ Never Let Me Go ก็บอกเล่าชีวิตของเด็กกลุ่มหนึ่งในบ้านเด็กกำพร้าแห่งหนึ่งในชนบทของประเทศอังกฤษ
แต่กับ The Buried Giant เราอาจพูดว่า Ishiguro มาแปลกกว่าเรื่องอื่นๆ ก็คงได้ เพราะนับตั้งแต่ฉากหลังของเรื่อง ที่เขาพาเราย้อนเวลากลับไปสู่ชนบทอังกฤษช่วง 1500 ปีก่อน ยุคกลางที่แสนจะฉ่ำแฉะ หมองหม่น และทึมเทา ในช่วงเวลานี้ ชาว Britons และ Saxons กำลังทำสงครามห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดอย่างที่ในประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ เพียงแต่ว่า ในโลกของ The Buried Giant กลับไม่ได้มีเพียงมนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีภูติ ยักษ์ และมังกร อาศัยร่วมอยู่กับพวกเราด้วย
ตรงนี้แหละครับที่เล่นเอานักอ่านหลายๆ คนถึงกับงุนงง เพราะแม้อาจแปลกใจที่ Ishiguro เลือกอังกฤษในยุคกลางเป็นฉากหลัง แต่สิ่งที่น่าฉงนยิ่งกว่าคือ ทำไมอยู่ๆ Ishiguro ถึงนึกครึ้มเขียนนวนิยายแฟนตาซีขึ้นมาล่ะ
The Buried Giant เริ่มต้นเรื่องราวผ่าน Axl กับ Beatrice คู่รักสูงวัยคู่หนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ของชาว Britons ที่ต่างก็ไม่ค่อยจะสนใจกันและกันสักเท่าไหร่ หากอย่างน้อยๆ Axl กับ Beatrice ก็รักกันและกันมาก เฝ้าทะนุถนอม และดูแลซึ่งกันและกันอย่างที่สภาพร่างกายจะพึงอนุญาตให้ทำได้ เพียงแต่ในช่วงวัยที่เริ่มจะแก่ชราของทั้งสอง อะไรหลายๆ อย่างก็ไม่ง่ายเหมือนครั้งที่พวกเขายังอยู่ในวัยหนุ่มสาว เรี่ยวแรงก็ร่อยหรอ ความทรงจำก็โรยรา ในระดับที่พวกเขาเริ่มจะจดจำชื่อช่ือ ใบหน้า หรือเหตุการณ์ใดๆ ในอดีตไม่ค่อยได้อีกต่อไป
ในทางหนึ่งมันอาจเป็นผลลัพธ์จากขวบวัยที่ค่อยๆ หย่อนยาน แต่แล้ว Ishiguro ก็เริ่มจะเปิดเผยให้เราเห็นว่า อาการหลงลืมต่างๆ นี้ อาจไม่ได้มีสาเหตุมาจากความแก่ชราเสียทีเดียว นั่นเพราะไม่เพียงแต่ Axl กับ Beatrice เท่านั้นที่ต้องรับมือกับอาการหลงๆ ลืมๆ แต่ชาวบ้านในหมู่บ้านของพวกเขา หรือในพื้นที่ห่างไกล ไม่ว่าจะเป็นชาว Britons หรือ Saxon ต่างก็ประสบปัญหาความทรงจำร่วงหายเช่นเดียวกัน ซึ่งต้นเหตุก็ไม่น่าจะใช่อะไรอื่น นอกเสียจากหมอกประหลาดที่คอยช่วงชิงความทรงจำ อย่างไม่เลือก ไม่ว่าเรื่องดี หรือเรื่องร้าย สำคัญ หรือไม่สลักสำคัญ
The Buried Giant คือหนังสือที่แผ่ขยายไปด้วยความเศร้า อย่างที่บรรยากาศคล้ายๆ กันนี้เคยได้ปกคลุมนวนิยายเล่มอื่นๆ ของ Ishiguro ในเล่มนี้ เขาบอกเล่าเรื่องราวของอดีตอันห่างไกล ผ่านน้ำเสียงและภาษาที่แสนพร่าเลือน และชวนฝัน อย่างที่ Ishiguro เองก็จงใจจะผลักคนอ่านออกจากเรื่องเล่าของเขาให้ไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ราวกับว่าเราเองก็ถูกปกคลุมอยู่ด้วยหมอกหนาไม่ต่างอะไรกับตัวละคร เรื่องราวของ The Buried Giant ดำเนินไปภายใต้ความคลางแคลง และไม่อาจวางใจ อย่างที่เราเองก็ย่อมจะพอจินตนาการได้ ว่าเมื่อไม่อาจเชื่อได้อีกต่อไปว่าความทรงจำใดๆ ที่เราเชื่อว่าจดจำได้มีความจริงปะปนอยู่แค่ไหน หรือเป็นเพียงจินตนาการประกอบสร้าง ที่เราทึกทักขึ้นมาเองเพราะไม่รู้อีกต่อไปแล้วว่าอะไรคือความจริง
แน่นอนครับ ขึ้นชื่อว่าแฟนตาซีแล้ว The Buried Giant จึงมีฉากหลังของการผจญภัย สงคราม หรือกระทั่งการปะทะกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์ประหลาดในเรื่อง เพียงแต่ความตื่นตาตื่นใจทำนองนี้ ย่อมเป็นจุดสำคัญในนวนิยายเรื่องอื่นๆ กลับถูกบอกเล่าอย่างห่างเหิน ไม่มีอาการตื่นเต้น หรือชวนให้ลุ้นตามแต่อย่างใด ผมได้ไปเห็นนักอ่านต่างชาติคนหนึ่งเขียนไว้ทำนองว่า “ถ้าเป็นหัวใจ หนังสือเล่มนี้ก็คงไม่เคยเต้นผิดจังหวะเลยสักครั้ง คือเรื่อยๆ เอื่อยๆ” อย่างที่เขาใจได้ครับ ว่าจุดนี้อาจถือเป็นข้อติติงหนึ่งที่บางคนอาจมีต่อนวนิยายเล่มนี้ ยิ่งพอรู้ว่าเป็นแฟนตาซี มียักษ์ มีมังกรด้วยแล้ว ทำไมถึงไม่เลือกจะหยิบฉวยองค์ประกอบต่างๆ นี้มาสร้างความตื่นเต้นกันล่ะ