1.
23 กันยายน ค.ศ.1983 เจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริการับแจ้งเหตุทะเลาะวิวาทภายในร้านอาหารเคเอฟซี ร้านขายไก่ทอดชื่อดังกระหึ่มโลก ผู้แจ้งเป็นลูกสาวของพนักงานที่เดินทางมาหาแม่หลังร้านปิดไปเกือบชั่วโมงครึ่ง แต่เมื่อไปถึงร้านกลับพบเพียงความเงียบและความว่างเปล่า เธอเดินไปที่หลังร้าน ประตูไม่ได้ล็อก มองเข้าไปภายในเห็นร่องรอยทะเลาะวิวาท ข้าวของกระจัดกระจาย แต่ไม่พบใครในร้านอีกจึงรีบแจ้งตำรวจทันที
นักสืบถูกระดมมาที่จุดเกิดเหตุ พบคราบเลือดในร้าน โดยเฉพาะเครื่องคิดเงิน เมื่อตรวจสอบพบว่าพนักงานที่ทำงานอยู่ 3 คนหายตัวไป ก่อนเที่ยงคืนวันนั้น หญิงสาวท้องแก่มาที่ร้านเคเอฟซีแห่งนี้พร้อมแจ้งว่าสามีของเธอไม่ได้กลับบ้าน เขาบอกว่าจะมาคุยกับเพื่อนที่ร้าน
ตำรวจสรุปว่ามีผู้สูญหายถูกพาตัวไปจากร้านแห่งนี้รวม 5 คนด้วยกัน
เช้าตรู่วันต่อมา เจ้าหน้าที่ภาคสนามโรงกลั่นน้ำมันพบศพ 4 รายนอนเรียงคว่ำหน้ากัน ทุกคนถูกยิงเสียชีวิต จึงแจ้งตำรวจ ปรากฏว่า คนตายทั้งหมดคือผู้สูญหายไปจากร้านเคเอฟซีเมื่อคืน จุดพบศพห่างจากจุดเกิดเหตุถึง 24 กิโลเมตรด้วยกัน
เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดพวกเขาพบศพที่ 5 เป็นพนักงานร้านหญิง มีร่องรอยถูกข่มขืน มีร่องรอยพยายามต่อสู้ เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า คนร้ายซึ่งยังไม่รู้ว่ามีกี่คนก่อเหตุปล้นร้านเคเอฟซี แล้วเหมือนอะไรบางอย่างจะไม่เป็นใจ จึงพาคนในร้านทั้งหมดขับออกไปยังสถานที่รกร้างห่างไกลผู้คน สัญญากับเหยื่อว่าถ้าทุกคนเชื่อฟัง จะได้รับการปล่อยตัว
แต่โทษของการเชื่อฟังคือ ทั้ง 5 คนถูกจ่อยิงที่หัวและคอจนเสียชีวิต เมื่อกระสุนนัดแรกดังขึ้น คาดว่าพนักงานหญิงน่าจะพยายามออกวิ่งเอาตัวรอด แต่หนีไม่พ้น หรือเธออาจถูกลากไปข่มขืนก่อนถูกฆ่าก็เป็นได้
เหตุการณ์นี้กลายเป็นเรื่องเขย่าขวัญไปทั่วรัฐเท็กซัส นักสืบ เจ้าหน้าที่ถูกสั่งระดมให้มาไขคดีให้ได้ ขณะที่สื่อมวลชนเรียกเหตุการณ์สุดสยองนี่ว่า ‘การฆาตกรรมสังหารโหดที่ร้านเคเอฟซี’
2.
ตำรวจตรวจสอบจุดพบศพโดยละเอียด พบว่ามีศพพนักงานชายคนหนึ่งถูกกระหน่ำยิงมากกว่าใคร พวกเขาจึงตรวจศพโดยละเอียด ก่อนพบเศษเล็บที่เข็มขัด เจ้าหน้าที่เก็บหลักฐานไว้ทั้งหมด รวมถึงเก็บคราบเลือดที่พบในร้านเคเอฟซีด้วย หลังจากนั้นก็จึงเริ่มสอบพยานว่าอะไรคือมูลเหตุให้เกิดการฆาตกรรมสังหารนี้
นักสืบพุ่งไปที่ประเด็นชิงทรัพย์ มีพยานยืนยันว่าที่ร้านเคเอฟซี พนักงานร้านไม่ทันได้เก็บเงินในเครื่องคิดเงินไปฝากธนาคาร ทำให้มีเงินอยู่ในร้านเป็นจำนวนมาก และคงมีคนรู้เรื่องนี้จึงลงมือก่อเหตุ แต่มีการขัดขืนต่อสู้ นั่นทำให้ผู้ก่อเหตุใช้ปืนจี้คนในร้านทั้งหมดไปฆ่าอำพรางคดีเพื่อไม่ให้รู้ว่าพวกเขาคือใคร เป็นการปกปิดหลักฐานที่ต้องแลกมากับ 5 ชีวิตที่จากไป
เจ้าหน้าที่คาดว่าเหยื่อทั้งหมดไม่คิดว่าตัวเองจะถูกยิงเสียชีวิต ทุกคนเอามือหนุนหน้าไว้ขณะนอนคว่ำตามที่คนร้ายสั่ง เพื่อไม่ให้เศษฝุ่นเปื้อนหน้ากับจมูก แต่อะไรเป็นแรงจูงใจให้เกิดการฆ่าแบบนี้
พยานคนหนึ่งเผยว่า ขณะที่พนักงานของร้านคุยเรื่องเงินที่เก็บไว้ในเครื่องคิดเงิน มีคนแอบฟัง เป็นชายผิวดำ ตำรวจซึ่งตอนนั้นกำลังมืดแปดด้าน จึงตัดสินใจตามเบาะแสนี้ ทำให้พวกเขานำตัวดาร์เนล ฮาร์ทฟิลด์ (Darnell Hartsfield) กับญาติชื่อว่า โรมีโอ พินเกอร์ตัน (Romeo Pinkerton) มาสอบปากคำ หลังมีพยานยืนยันว่าเห็นทั้งสองแอบฟังพนักงานของร้านพูดเรื่องเงิน
อย่างไรก็ดีคนดำทั้งสองปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำดังกล่าว โดยได้นำพยานหลักฐานมายืนยันว่าช่วงเกิดเหตุพวกเขาไม่ได้อยู่แถวนั้น มีการอ้างอิงหลักฐานเป็นอย่างดี
บุคคลต่อมา ตำรวจนำตัวลูกของนักการเมืองดังมาสอบสวน เพราะมีประวัติก่ออาชญากรรม มีประวัติว่า ไปยืมปืนเพื่อนในช่วงเกิดเหตุ และเล็บของเขาหักด้วย
อย่างไรก็ดีอีกฝ่ายก็ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่ร้านเคเอฟซีในตอนนั้น คราวนี้ตำรวจใช้วิทยาการตรวจสอบดีเอ็นเอมาเทียบเคียง เศษเล็บที่หักนั้นไม่ตรงกับผู้ต้องสงสัยใดๆ เลย แต่เป็นของพนักงานร้านอีกคนต่างหากที่ถูกยิงเสียชีวิต
เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้ต้องสงสัยทั้งหมดไป
และเก็บตัวอย่างอสุจิที่พบในศพไว้
เหตุการณ์ผ่านไปจากวันเป็นอาทิตย์กลายเป็นเดือน จนผ่านไปหลายปี ปริศนายังปรากฏ เจ้าหน้าที่ไม่สามารถไขคดีสุดโหดนี้ได้ มันกลายเป็นปริศนายาวนานถึง 22 ปีทีเดียว
แต่แล้วในที่สุดความจริงก็ปรากฏ?
3.
ในปี ค.ศ.2005 ด้วยเทคโนโลยีดีเอ็นเอที่ก้าวหน้ามากขึ้น ในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็พบว่า เลือดที่พบในร้านเคเอฟซีนั้นเป็นของดาร์เนลกับโรมีโอ ถึงจุดนี้ทั้งสองติดคุกด้วยความผิดอื่นๆ เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อหาเพิ่มทันทีว่าทั้งคู่คือฆาตกรที่สังหารคนในร้านเคเอฟซีทั้ง 5 ศพนั้น
นักโทษชายผิวดำสองคนออกมาปฏิเสธอีกครั้ง ยืนยันว่าพวกเขาไม่ใช่ฆาตรตัวจริงในคดีนี้
“คนร้ายตัวจริงยังอยู่ข้างนอกนั่น และที่ผมโดนจับก็เพราะดันเป็นคนดำ และคนตายทั้ง 5 คนเป็นคนผิวขาวไงล่ะ”
อย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่ไม่สนใจว่าผู้ต้องหาคนดำทั้งสองจะรับสารภาพหรือปฏิเสธ เพราะด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ใครจะพูดอะไรก็ได้ แต่ดีเอ็นเอไม่เคยโกหกใคร
แต่ทางคนดำสองคนยังยืนกรานว่ามันเป็นเรื่องสมคบคิดเล่นงานพวกเขามากกว่า พร้อมยืนยันย้ำอีกครั้งว่าพวกเขาไม่ใช่คนร้ายที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญนี้อย่างเด็ดขาด
คำปฏิเสธแบบแข็งขันนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้โต้แย้งไว้อย่างน่าสนใจว่า การจะปลอมแปลงหลักฐาน เอาเลือดคนดำสองคนไปใส่ไว้ในจุดเกิดเหตุนั้นมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะในปี ค.ศ.1983 นั้น เทคโนโลยีดีเอ็นเอยังไม่ก้าวหน้ามาก และยังไม่เป็นที่ยอมรับวงกว้างในการสืบสวนคดี เจ้าหน้าที่ยังไม่รู้เลยว่าเราสามารถเอาดีเอ็นเอในเลือดที่เกิดเหตุไปเทียบกับดีเอ็นเอเลือดคนอื่นได้
“มันเหมือนกับว่า
คุณเอากระสุนปืนไปทิ้งในที่เกิดเหตุ
เกือบ 5 ปีก่อนจะมีการคิดค้นอาวุธปืนขึ้นมา”
อีกประเด็นหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ตั้งข้อหาแก่ดาร์เนลกับโรมีโอก็คือ หลังจากเหตุการณ์สังหารโหดที่เคเอฟซีผ่านไปได้ 3 วัน ทั้งสองได้บุกปล้นร้านขายของชำสั่งให้เสมียนก้มหน้าไปกับพื้น โดยให้เอามือวางที่หน้า ลักษณะใกล้เคียงกับการก่อเหตุที่ร้านเคเอฟซีมาก คำให้การของเสมียนนี้ทำให้เจ้าหน้าที่เห็นความเหมือนของการปล้นร้านขายของชำกับการปล้นที่ร้านเคเอฟซี มันกลายเป็นหลักฐานที่เสริมกับดีเอ็นเอได้อย่างดีเยี่ยม
ในที่สุดคดีจึงถูกนำมาพิจารณาในชั้นศาล แม้ทั้งสองคนจะปฏิเสธยังไงก็ตาม แต่ลูกขุนไม่เชื่อ หลักฐานดีเอ็นเอเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือเกินกว่าจะมาสนใจคำพูดคน ท้ายที่สุดทนายความของทั้งสองแนะนำให้รับสารภาพเสีย เพื่อจะได้ไม่ต้องเจอโทษประหารชีวิต ดาร์เนลกับโรมีโอจึงเปลี่ยนใจนาทีสุดท้ายเพื่อรับสารภาพในชั้นศาล
การพิจารณาคดีของลูกขุนเป็นไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานก็ยืนยันว่าทั้งสองมีความผิด ขณะนี้ทั้งคู่มีโทษจำคุกตลอดชีวิต โดยยังยืนกรานว่า ตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ พร้อมย้ำว่าคนที่ก่อเหตุจริงคืออาชญากรลูกนักการเมืองดังที่มีสิทธิ์ปั้นหลักฐานเท็จเพราะมีอิทธิพลสูง ขณะที่พวกเขาเป็นเพียงอาชญกรผิวดำสองคนที่เข้าออกคุกเป็นว่าเล่นอยู่เสมอ
สามีของผู้เสียชีวิตในคดีนี้ถึงกับปิดตาโล่งอก เหมือนได้รับการไถ่ถอนความเจ็บปวดที่คาราคาซังยาวนานมาหลายสิบปี
“ในที่สุดผมก็ได้รับความสงบในชีวิตเสียที จากนี้จะได้ไม่ต้องนึกถึงอีก มันจบสิ้นไปแล้ว ผมหวังว่าจะได้พบหน้าเธอในสักวัน”
อย่างไรก็ดีด้วยเทคโนโลยีดีเอ็นเอนี่เอง ทำให้ตำรวจค้นพบอะไรบางอย่าง นั่นก็คือมันไม่ได้มีผู้ก่อเหตุแค่ 2 คนอย่างดาร์เนลและโรมีโอเท่านั้น
แต่ยังมีผู้ก่อเหตุคนที่ 3 ด้วย
4.
อสุจิที่พบในช่องคลอดของพนักงานหญิง ถูกนำมาตรวจเทียบเคียงดีเอ็นเออีกครั้ง ครั้งนี้พวกเขาพบว่าไม่ตรงกับผู้ก่อเหตุผิวดำทั้งสองคนเลย นั่นหมายความว่า ขณะลงมือสังหารนั้น มีชายคนที่ 3 อยู่ด้วยและเขาเป็นคนลงมือก่อเหตุข่มขืนและฆ่าพนักงานหญิงของร้านเคเอฟซี
เมื่ออสุจิไม่ตรง เจ้าหน้าที่จึงนำไปเทียงเคียงกับผู้ต้องหาในระบบทั้งหมดทั่วทั้งประเทศ แต่กลับไม่พบความเหมือนแต่อย่างใด สุดท้ายเจ้าหน้าที่จึงยังไม่อาจปิดคดีนี้ลงได้ เพราะเท่ากับเหลือฆาตกรอีกรายที่ยังหลบหนีลอยนวลอยู่ โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร มีเพียงหลักฐานจากวิทยาศาสตร์ที่แจ้งว่าเจ้าของน้ำเชื้อในร่างศพนั้นเป็นผู้ชายผิวขาวเท่านั้น
เจ้าหน้าที่เข้าสอบปากคำดาร์เนลและโรมีโอตันใหม่ สอบถามว่าผู้ร่วมก่อเหตุคนที่ 3 นี้คือใคร แต่การสอบปากคำไม่คืบหน้าเพราะทั้งสองยังยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ก่อเหตุ ไม่ใช่คนร้าย แต่เป็นผู้บริสุทธิ์ในคดีนี้
แม้สามีของหญิงสาวที่ถูกข่มขืนแล้วฆ่าจะถามนักโทษผิวดำสองคนด้วย แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ มีเพียงคำพูดที่ว่าพวกเขาไม่ใช่คนร้ายในคดีนี้ ทุกอย่างเป็นการตบแต่งหลักฐานโดยรัฐทั้งสิ้น
ดังนั้นปริศนาคนร้ายรายที่ 3 ในเหตุฆาตกรรมสังหารโหดที่ร้านเคเอฟซีจึงยังคงเป็นปริศนาต่อไป แม้ข้อมูลข้อเท็จจริงจากดีเอ็นเอจะได้รับการพิสูจน์ แต่สุดท้ายนี้คดีนี้ก็ยังปิดไม่ลง เจ้าหน้าที่ยังคงรวบรวมหลักฐานตามล่าคนร้ายที่ยังหลบหนีอยู่ต่อไป โดยไม่มีทางรู้ว่า ชายคนนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
ปัจจุบันนี้ ตำรวจยังคงรอคอยข้อมูลเบาะแสใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อมุ่งมั่นหาคำตอบให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้นและคนร้ายมีใครบ้าง ลงมือก่อเหตุด้วยจุดประสงค์ใด ทำไมมันถึงจบลงที่การฆาตกรรมอย่างเลวร้ายลงได้ เหล่านักสืบยังคงมีความหวังว่าจะได้พบคำตอบในเร็ววันนี้
แต่สำหรับสามีของหญิงสาวที่ถูกข่มขืนนั้น เขายืนยันว่า แม้จะไม่รู้ตัวคนที่ก่อเหตุกับภรรยา แต่อย่างน้อยการจับกุมคนร้ายได้ 2 คนก็เหมือนตัวเขาเองได้รับการปลดปล่อยออกจากที่คุมขังแห่งความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับอดีตภรรยา เขาเชื่อว่าตอนนี้จะสามารถลุกยืนได้อีกครั้งหลังจมอยู่กับเรื่องราวอันโหดร้ายมาหลายปี
ทั้งนี้ชายหนุ่มมองย้อนรำลึกถึงตอนคดีนี้ถูกไขปริศนาและได้เห็นความยุติธรรมอำนวยพร ผ่านคำพูดตอนที่ดาร์เนลและโรมีโอตันยืนต่อหน้าบังลังค์แล้วเอ่ยปากรับสารภาพในคดีนี้ว่า
“ผมได้รับสิทธิพิเศษอิ่มใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยินไอ้พวกนี้พูดว่า ยอมรับผิด พวกมันไม่ได้พูดแค่ครั้งเดียว แต่พูดว่าผมยอมรับผิดถึง 5 ครั้งด้วยกัน”
ข้อมูลอ้างอิง