1
ช่วงสงกรานต์ปีนี้ ตรงกับสัปดาห์ที่ชาวคริสต์เรียกว่า ‘สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์’ พอดี โดยวันที่ 14 เมษายน จะเป็นวัน Good Friday หรือวันที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน และผ่านไปอีกสองวัน คือวันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน ก็จะเป็นวันอีสเตอร์
วาระแบบนี้ เลยอยากเล่าให้คุณฟังถึงเรื่องราวของพระเยซู-พระเจ้าผู้บอกว่าพระองค์เป็นมนุษย์, แต่เป็นพระเยซูในวัยเด็ก จึงเป็น ‘เรื่องเล่า’ ของ ‘เด็กชายพระเจ้า’
ที่สำคัญ เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ไม่ใช่ ‘เรื่องเล่า’ ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘เรื่องจริง’ ด้วยนะครับ พูดอีกอย่างก็คือ-มันคือเรื่องโกหก
คำถามก็คือ แล้วถ้ามันเป็น ‘เรื่องโกหก’ มันจะมีคุณค่าอะไรควรแก่การรับฟังเล่า
นั่นสิครับ!
2
สำหรับผม ร่องรอยของพระเยซูที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ต่างๆ เสมือนร่องรอยของใครคนหนึ่งที่เพิ่งลุกออกไปจากห้องโดยที่เราไม่เคยพบเห็นตัวจริงของคนคนนั้น
คำถามของผมก็คือ เราจะรักและรู้จักใครสักคนหนึ่งจริงๆ-โดยรู้จักเขาเฉพาะจาก ‘คำบอกเล่า’ ได้ไหม
นานมาแล้ว เมื่อใครคนหนึ่งยื่นหนังสือชื่อ The Other Bible ให้ผม เขาได้หยิบยื่นยาพิษร้ายกาจให้ผมเหมือนงูในสวนอีเดนหยิบยื่นแอปเปิ้ลให้เอวาและอดัม ผมค้นพบว่า ที่แท้แล้ว คำบอกเล่าถึงพระเยซูจาก ‘ใครบางคน’ ไม่ว่าจะเป็นครูคำสอน ศาสนจักรคาทอลิก หรือแม้กระทั่งสี่นักบุญที่เขียนพระคริสตธรรมใหม่เล่าประวัติของพระเยซูอย่างนักบุญมัทธิว, มาระโก, ลูกา, และยอห์น นั้น เอาเข้าจริงก็เป็นเพียง ‘เรื่องเล่า’ ในกรอบวิธีคิดของคนสี่คนในท่ามกลางกระแสของ ‘เรื่องเล่า’ มากมายหลากท้น ไม่ว่าจะเป็น ‘เรื่องเล่า’ ของนางมารีอา มักดาเลนา (ผู้มักถูกกล่าวหาว่าเป็น ‘เมีย’ ของพระเยซู) ไปจนถึง ‘เรื่องเล่า’ ของเจมส์ (ผู้ถูกระบุว่าเป็นน้องหรือพี่ชายของพระเยซู) และยังมี ‘เรื่องเล่า’ เหล่านี้อยู่อีกมากเล่ม ในภาษาต่างๆ ทั้งที่ค้นพบมานานแล้วแต่ถูกปกปิด หรือที่เพิ่งค้นพบเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้
ยังมี ‘เรื่องเล่า’ เกี่ยวกับพระเยซูยังมีอีกมาก และเรื่องเล่าต่างๆ ล้วนมี ‘ความจริง’ (หรือ ‘การโกหก’) ในแบบของตัวเองซุกซ่อนอยู่ทั้งนั้น
คำว่าไบเบิล มีที่มาจากศัพท์ภาษากรีกว่า Biblia แปลว่า small books หรือหนังสือเล่มเล็กๆ ซึ่งหากนับย้อนกลับไปในยุคโบราณ เราจะพบว่า ‘หนังสือเล็กๆ’ หรือ ‘เรื่องเล่าเล็กๆ’ ที่คนธรรมดาๆ เขียนถึงพระเจ้านั้นมีอยู่มากมาย แต่ที่ไม่น่าประหลาดใจเลยก็คือ มีการ ‘คัดเลือก’ เฉพาะบาง ‘ไบเบิลส่วนตัว’ แล้วยกขึ้นมาเป็นไบเบิลสาธารณะ กลายเป็นพระคัมภีร์ที่ทุกคนต้องเชื่อมั่น ศรัทธา และไม่สงสัย ซึ่งถ้าเราถูกกำหนดให้เชื่อเฉพาะเรื่องเล่าใน ‘ไบเบิลอย่างเป็นทางการ‘ เท่านั้น ย่อมแสดงว่า มีแต่ไบเบิลอย่างเป็นทางการเท่านั้นที่ถูกต้อง เรื่องเล่าอื่นๆ ในกอสเปลอื่นๆ ไม่ถูกต้องหรือไม่น่าเชื่อถือ พูดง่ายๆ ก็คือ เรื่องเล่าอื่นๆ เกี่ยวกับพระเจ้าและพระเยซูนอกเหนือจากไบเบิล-เป็นเรื่องโกหก
โชคร้ายที่ผมชอบฟังเรื่องโกหก เพราะบางครั้ง ผมพบว่าการโกหกกลับเผยความจริงบางอย่างเกี่ยวกับผู้โกหกและสภาพแวดล้อมในการโกหกให้เราได้รู้มากเสียยิ่งกว่าการตั้งใจปั้นแต่งและสร้างความจริงให้ ‘เหมือน’ จริง
โปรดอย่าลืมว่า วิธีสร้าง ‘เรื่องโกหก’ กับวิธีสร้าง ‘ความจริง’ นั้น-ต่างก็เป็นวิธีเดียวกัน!
3
มีเรื่องเล่าถึงกำเนิดเด็กชายเยซูที่ ‘ไม่น่าเชื่อถืออย่างเป็นทางการ’ อยู่หลายเรื่อง เรื่องหนึ่งที่พูดกันมากก็คือข่าวที่ว่า เด็กชายเยซูเป็นลูกนอกสมรสของทหารโรมันคนหนึ่งชื่อแพนเทรา (ชื่อเต็มๆ คือ Tiberius Julius Abdes Pantera) เรื่องเล่านี้มาจากปากคำของนักปรัชญานอกศาสนาชื่อเซลซัส แต่นักวิชาการบางคนคิดว่าอาจเป็นเรื่องพ้องกันมากกว่า เพราะชื่อเยซูหรือจีซัสนั้น เป็นชื่อที่ใช้กันแพร่หลายในแคว้นจูเดียในช่วงศตวรรษที่หนึ่ง
เรื่องเล่าอย่างนี้ไม่มีหลักฐาน ใครจะเชื่อหรือไม่ก็ได้ แต่ความจริงอย่างหนึ่งที่มันเผยให้เห็นก็คือภาวะขัดแย้งระหว่างชาวคริสต์กับคนนอกศาสนาในยุคต้นๆ และเรื่องทั้งหมดมีประเด็นหลักอยู่ที่การต่อสู้ต่อรองระหว่างอำนาจของฝ่ายที่มีคริสต์ศาสนาเป็นหลักชัยกับอำนาจของคนกลุ่มอื่นที่ไมได้มีคริสต์ศาสนาเป็นหลักชัย
อีกเรื่องเป็นเรื่องเล่าจากกอสเปลของเจมส์ เป็นเรื่องเล่าหนึ่งที่นักวิชาการศาสนาให้ความสนใจกันมาก เพราะหลายคนเชื่อว่าเจมส์คือน้องชายของพระเยซู ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เจมส์ก็ต้องเป็นลูกชายของโจเซฟกับมารี แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็จะทำให้แม่พระสูญเสียความเป็นพรหมจารีไป บางคนจึงเลือกที่จะเชื่อว่าเจมส์เป็นพี่ชายของพระเยซูมากกว่า (คำว่า brother เฉยๆ บอกไม่ได้ว่าเป็นพี่หรือน้อง) โดยเกิดจากโจเซฟกับภรรยาคนเก่าของเขา อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบ พบว่ากอสเปลของเจมส์จะต้องเขียนขึ้นหลัง ค.ศ. 150 ซึ่งแปลว่าผู้เขียนคงไม่ใช่เจมส์แน่ ไม่อย่างนั้นเจมส์จะต้องมีอายุมากกว่า 150 ปี แต่ที่ได้ชื่อว่าเป็นกอสเปลของเจมส์ก็เพราะเนื้อหานั้นระบุไว้ว่ามีที่มาจากเจมส์
เจมส์เท้าความกลับไปไกลมาก คือกลับไปถึงกำเนิดของมารีหรือแม่พระเลย การที่เจมส์เท้าความกลับไปถึงประวัติของแม่พระมีประโยชน์สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับศาสนจักร เพราะเจมส์ระบุไว้ว่า เป็นแม่พระต่างหาก ที่สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด ไม่ใช่โจเซฟ ข้อนี้ทำให้ข้อความในไบเบิลที่ระบุว่าพระเยซูสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิดสอดรับกับเรื่องทั้งหมดได้ เพราะถ้าพระเยซูสืบทอดเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิดมาทางโจเซฟ ก็แปลว่าโจเซฟเป็นพ่อของพระเยซู แต่เนื่องจากแม่พระเป็นพรหมจารี พระเยซูจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทางสายเลือดกับโจเซฟ ถ้าพระเยซูจะสืบทอดเชื้อสายกษัตริย์ดาวิดได้ จึงต้องสืบทอดมาทางแม่พระเท่านั้น ซึ่งเรื่องเล่าของเจมส์ก็บอกไว้ชัดอย่างนั้น
เจมส์เล่าว่า โยอาคิมและอันนา ซึ่งเป็นพ่อและแม่ของแม่พระนั้นมีลูกยาก ทั้งคู่ต้องภาวนาต่อพระเจ้า โยอาคิมออกไปในทะเลทรายเพื่ออดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืน ส่วนอันนาภาวนาอยู่บ้าน หลังจากภาวนาแล้วไม่นาน ก็มีเทวดาลงมาบอกกับอันนาและโยอาคิมว่าพระเจ้าได้ยินแล้ว และจะโปรดให้ทั้งคู่มีลูกในเร็ววัน โยอาคิมก็เลยรีบกลับมาบ้าน แล้วอันนาก็ตั้งครรภ์ ก่อนคลอดออกมาเป็นผู้หญิง
กำเนิดแม่พระชี้ให้เห็นว่า ในสังคมอิสราเอลยุคโบราณ ครอบครัวไหนไม่มีลูกถือว่าอัปยศอดสูหนัก ก่อนมีลูก โยอาคิมถึงกับไปเปิดปูมบันทึกดูว่ามีชาวอิสราเอลคนไหนไม่เคยมีลูกบ้าง เพราะเขากลัวจะเป็นคนเดียวในเผ่าที่ไม่มีลูก และต้องภาวนาต่อพระเจ้าอย่างหนักกว่าจะได้ลูกมา แล้วอันนาก็ตั้งชื่อลูกว่า มารี
พออายุได้สามขวบ ก็มีสัญญาณบางอย่างเผยแสดง พระจึงขอให้มารีไปอยู่ในวิหาร และเป็นพรหมจารีหนึ่งในสิบสองนางของวิหาร จนเมื่ออายุครบสิบสองปี พระในวิหารชักเป็นกังวลว่าจะต้องทำอย่างไรกับมารีต่อไปดี ด้วยเหตุนี้จึงมีการภาวนาถามพระเจ้าว่า พระองค์จะให้ทำอย่างไรกับมารี เทวดาจึงลงมาบอกแก่พระชื่อซาคาริอัสว่าให้ไปตามเหล่า ‘พ่อหม้าย’ (เจมส์ใช้คำว่า widowers) มาที่วิหาร แล้วพระเจ้าจะแสดงสัญญาณเลือกว่าใครควรจะเป็นสามีของมารีดี
พระไม่ยักสงสัยว่าทำไมพระเจ้าต้องให้มารีแต่งงานกับพ่อหม้ายด้วย ได้แต่ทำตามบัญชาโดยการไปกวาดต้อนเหล่าพ่อหม้ายชาวยิวมาจากทั่วแผ่นดิน ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นก็มีโจเซฟด้วยคนหนึ่ง บรรดาพ่อหม้ายแต่ละคนจะมีไม้เท้าติดมือมาด้วย ก่อนเข้าสู่วิหาร ทุกคนต้องวางไม้เท้าพิงผนังไว้ก่อน เมื่อเข้าไปสวดภาวนาแล้วเดินออกมาถึงจะหยิบไม้เท้าได้ ปรากฏว่าพ่อหม้ายคนอื่นๆทั้งหลายทำสิ่งเหล่านี้แล้วไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น แต่ครั้นถึงตาโจเซฟบ้าง กลับมีนกพิราบบินออกจากไม้เท้ามาเกาะอยู่บนศีรษะของเขา บรรดาพระจึงแจ้งโจเซฟว่าเขาเป็นคนพิเศษซึ่งพระเจ้าเลือกสรรค์ และต้องรับพรหมจารีแห่งวิหารไปแต่งงานด้วย
แรกทีเดียวโจเซฟปฏิเสธ เขาบอกว่าตัวเองแก่จะแย่อยู่แล้ว แถมยังเคยมีเมียมีลูกมาแล้วด้วย จะมารับเด็กสาวอย่างมารีไปเป็นภรรยาได้อย่างไร แต่พระบอกว่าถ้าไม่รับ เดี๋ยวพระเจ้าจะพิโรธ โจเซฟจึงต้องจำยอม แต่พอรับมารีมาอยู่ด้วย โจเซฟกลับบอกเธอว่าเขาต้องออกเดินทางไปทำงานที่อื่นหลายปี เธอจะมาอยู่ที่บ้านเขาก่อนก็ได้ แต่แต่งงานกันยังไม่ทัน มารีจึงมาอยู่ที่บ้านของโจเซฟ โดยยังไม่ได้แต่งงานกัน
หลังจากนั้น เทวดามาบอกมารีว่าเธอจะต้องตั้งครรภ์ในนามของพระเจ้า มารีก็ยินยอม แต่การตั้งครรภ์ของมารีเป็นปัญหาขึ้นมาเมื่อโจเซฟกลับมาบ้าน (เจมส์บอกว่า ถึงตอนนี้ มารีอายุได้ 16 ปี แปลว่าโจเซฟจากบ้านไปถึง 4 ปีทีเดียว) เขาสงสัยว่ามารีมีความสัมพันธ์กับคนอื่น เขาอับอายว่ามารีทำอย่างนี้กับเขาได้อย่างไร แต่แล้วเทวดาก็มาเข้าฝันบอกเขาว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า มารีไม่ได้ทำผิดอะไร และให้เขาตั้งชื่อลูกว่าเยซู โจเซฟเชื่อฝันของตัวเอง แต่สำหรับมารีแล้ว เธอยังต้องพิสูจน์ตัวเองว่าบริสุทธิ์ด้วยการดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์แล้วเข้าไปอยู่ในทะเลทราย ถ้ากลับออกมาแล้วปกติดีก็ถือว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ซึ่งเธอก็พิสูจน์ตัวเองได้
เรื่องตรงนี้สำคัญมากครับ เพราะเป็นเรื่องที่เปราะบางและละเอียดอ่อนสำหรับความเชื่อของคาทอลิกที่เชื่อว่าแม่พระเป็นพรหมจารี
แต่นักวิชาการหลายคนเห็นว่า แนวคิดเรื่องพรหมจารีของแม่พระนั้น อาจเป็นแนวคิดใหม่ที่ชุมชนชาวคริสต์ในยุคดั้งเดิมไม่เคยมีมาก่อนก็ได้ ที่จริง มัทธิวนั้นเขียนกอสเปลขึ้นภายหลังเจมส์ จึงเป็นไปได้ว่าเขารับเอาแนวคิดเรื่องนี้มาจากเจมส์ ส่วนเจมส์จะได้แนวคิดนี้มาจากไหนหรือเขียนขึ้นเพื่ออะไร คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ตอบได้
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการบางคนที่มองแบบร้ายๆ ก็ตั้งคำถามว่า เป็นไปได้ไหมว่า ในสี่ปีที่โจเซฟไม่อยู่บ้าน มารีอาจมีสัมพันธ์กับใครคนอื่นที่ไม่ใช่พระเจ้า (อาทิเช่น แพนเทรา-ทหารโรมัน, อย่างที่เซลซัสเขียนโจมตีเอาไว้) ได้ไหม
เพราะแม้แต่โจเซฟก็ยังคิดแบบนั้น
4
ยังมีเรื่องเล่าแสนสนุกเหมือนนิทานของเด็กชายเยซูอีกหลายเรื่อง เช่นเรื่องจากกอสเปลที่ชื่อ มัทธิวเทียม หรือ Pseudo-Matthew ซึ่งที่จริงแล้วเป็นกอสเปลที่มีที่มาจากเรื่องเล่าของเจมส์และของโธมัส แต่มีการนำมาแต่งให้เป็นบทกวี และใส่เนื้อหาบางส่วนที่ไม่มีในเรื่องเล่าของเจมส์และโธมัสเข้าไป แต่ด้วยความที่มีอะไรบางอย่างคลับคล้ายกับกอสเปลของมัทธิว กอสเปลนี้จึงถูกเรียกว่ามัทธิวเทียม (Gospel of Pseudo-Matthew หรือบางครั้งเรียกว่า The Infancy Gospel of Matthew)
อย่างที่เรารู้กันอยู่ว่า หลังพระเยซูประสูติแล้ว ครอบครัวต้องระเหเร่ร่อนไปอียิปต์ เพราะถูกกษัตริย์เฮโรดสั่งฆ่าเด็ก ซึ่งในพระคัมภีร์ไบเบิลอย่างเป็นทางการจะไม่มีรายละเอียดการเดินทางไปอียิปต์ แต่ในเรื่องเล่าของมัทธิวเทียมนั้น ปรากฏรายละเอียดระหว่างการเดินทางมากมาย เช่นเมื่อเดินทางกันมาถึงถ้ำแห่งหนึ่ง จู่ๆ ก็เกิดมีมังกรพุ่งออกมาจากในถ้ำ เมื่อเห็นดังนั้น พระกุมารที่อายุยังไม่กี่เดือนก็ลุกขึ้นจากตักแม่ มังกรก็นอบน้อมถวายบูชา พระเยซูจึงสั่งสอนไม่ให้ทำร้ายมนุษย์ เรื่องราวทำนองเดียวกันเกิดขึ้นกับสิงโตและเสือดาว รวมถึงการที่พระกุมารสั่งต้นอินทผลัมให้โน้มลงมาให้แม่พระเก็บกินได้โดยสะดวกด้วย
Infancy Gospel หรือกอสเปลวัยเด็กของพระเยซูนั้น ฉบับเก่าแก่ที่สุดฉบับหนึ่ง (เชื่อว่าเขียนในราวปี ค.ศ. 150) คือกอสเปลของโธมัส ซึ่งไม่ได้เล่าถึงพระเยซูในแง่ดีสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเล่าถึง ‘ความซน’ ของเด็กชายเยซูมากกว่า แถมซนในระดับที่เรียกได้ว่าเป็นเด็กเกเรเหลือขอด้วยซ้ำ
โธมัสเล่าไว้ว่า ในวัยห้าขวบ เด็กชายเยซูไปเล่นที่ลำธาร ทรงขุดบ่อเล็กๆ รินน้ำลงไป และออกคำสั่งให้น้ำนั้นใสบริสุทธิ์ จากนั้นเอาดินเหนียวมาปั้นเป็นนกกระจอกสิบสองตัว วันนั้นเป็นวันซับบาธหรือวันพระของชาวยิว มีเด็กอื่นๆ มาเล่นอยู่ด้วย ปรากฏว่าชาวยิวคนหนึ่งเห็นสิ่งที่พระเยซูทำในวันซับบาธซึ่งควรจะเป็นวันหยุด เขาเลยรีบรี่ไปฟ้องโจเซฟว่าลูกชายของโจเซฟปั้นนกกระจอก ซึ่งถือเป็นการทำงานในวันพระ โจเซฟจึงรีบมาหาพระเยซู แล้วดุว่าไม่ควรทำ เพราะเป็นเรื่องผิดกฎ พระเยซูก็เลยตบมือแล้วพูดกับนกกระจอกว่า “จงบินไป” เจ้านกกระจอกก็ส่งเสียงร้องบินหนีไปจริงๆ พอชาวยิวเห็นก็เลยทึ่ง แล้วพูดกันต่อๆ ไปว่าเห็นพระเยซูทำอะไรบ้าง
ปรากฏว่า มีคนอยากลองดีกับพระเยซู เด็กอีกคนหนึ่งไปเอากิ่งต้นวิลโลว์มาทำลายบ่อน้ำเล็กๆ ที่พระเยซูสร้างไว้ พระเยซูเห็นก็เลยโกรธ สาปให้เด็กคนนั้นให้ผิวเหี่ยวเหมือนต้นไม้ แต่ไม่ให้มีใบหรือรากหรือผล เด็กคนนั้นก็เป็นไปตามที่ถูกสาป พ่อแม่ต้องมาร้องขอโจเซฟให้ช่วย
อีกครั้งหนึ่ง พระเยซูเดินไปในหมู่บ้าน มีเด็กคนหนึ่งวิ่งมากระแทกไหล่ ทำให้เด็กชายเยซูโกรธ พูดออกมาว่า “เจ้าจงไปไหนอีกไม่ได้” ทันใดนั้น เด็กดวงซวยคนนั้นก็ล้มลงตาย พ่อแม่ของเด็กที่ตายก็ต้องมาหาโจเซฟและกล่าวโทษว่าเป็นเพราะโจเซฟมีเด็กคนนี้อยู่ในปกครอง ทำให้เรื่องเกิดขึ้น พลางขับไล่โจเซฟออกจากหมู่บ้าน หรือไม่ก็ต้องสอนให้เด็กชายเยซูรู้จักเป็นคนดีและไม่เที่ยวสาปใครต่อใครอีก เพราะคราวนี้ทำแรงถึงขั้นฆ่าคนเลยทีเดียว
โจเซฟจึงต้องไปคุยกับเด็กชายเยซูว่าทำไมถึงทำอย่างนี้ ปรากฏว่าพระเยซูตอบโจเซฟว่า “ข้ารู้ว่านี่ไม่ใช่ถ้อยคำของท่าน แต่เพราะเป็นท่าน ข้าจะเงียบ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ต้องได้รับโทษนี้” ทันใดนั้น คนที่มาต่อว่าต่อขานโจเซฟก็ตาบอดกันไปหมด พอเห็นเด็กชายเยซูทำอย่างนี้ โจเซฟเลยลุกขึ้นดึงหูพระเยซู ทำให้พระเยซูโกรธแล้วพูดว่า “ท่านน่ะเหมาะควรแล้วที่จะแสวงหาแต่ไม่พบอะไร ท่านทำสิ่งที่โง่เง่ามาก ท่านไม่รู้ใช่ไหมว่าข้าเป็นของท่าน อย่าทำให้ข้ารำคาญ”
ปรากฏว่ามีชายคนหนึ่งที่เป็นคนเก็บภาษีและเป็นครูชื่อแซคคิอุส (Zacchaeus) เดินผ่านมาเห็นและได้ยินสิ่งที่พระเยซูพูดพอดี เขาก็เลยตกตะลึงว่าเด็กพูดอย่างนั้นกับพ่อได้อย่างไร ที่สุดเลยเข้ามาหาโจเซฟ และบอกว่าโจเซฟมีลูกที่ฉลาดมาก เขาอยากสอนพระเยซูถึงภาษาและตัวอักษรต่างๆ แต่เรียนได้ไม่นาน แซคคิอุสก็ต้องส่งตัวพระเยซูกลับ พร้อมกับบอกว่าเขาสอนไม่ได้
เนื่องจากพระเยซูชอบเถียงและตั้งคำถามต่างๆ มากมาย พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือเป็นเด็กดื้อที่มีความขบถอยู่ในตัวนั่นเอง
ยังมีเรื่องอัศจรรย์อื่นๆ อีกมาก เช่นพระองค์ทำให้คนฟื้นคืนชีพหลายครั้ง ทั้งเด็กแถวๆ บ้าน คนงานก่อสร้าง ฯลฯ แต่เรื่องที่ทำให้ผู้คนจดจำกันมากที่สุด (และปรากฏอยู่ใน The Arabic Infancy Gospel ซึ่งพูดได้ว่าเป็นความทรงจำของชาวอาหรับ) ก็คือเมื่อเด็กๆ กลัวเด็กชายเยซูจนไม่อยากจะเล่นด้วย แต่เด็กชายเยซูพยายามเข้าร่วมวง ทำให้เด็กๆ วิ่งหนีไปซ่อนอยู่ในห้องใต้ดินของบ้านหลังหนึ่ง พอพระเยซูเข้าไปถามว่าเด็กๆ วิ่งเข้ามาในบ้านหลังนี้ใช่ไหม แม่เจ้าของบ้านตอบว่าไม่ใช่ พระเยซูก็เลยโกรธ ถามว่าแล้วอะไรอยู่ในบ้านล่ะ นางตอบว่าแพะ พระเยซูเลยสาปให้เด็กเป็นแพะไปหมด
ความ ‘เป็นตัวของตัวเอง’ ของพระเยซูนั้นมาปรากฏอยู่ในกอสเปลอย่างเป็นทางการก็เมื่ออายุได้สิบสองปี ซึ่งเป็นตอนที่ทั้งครอบครัวเดินทางไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อฉลองระลึกถึงวันกู้ชาติ ขากลับ ทั้งครอบครัวเดินทางกลับบ้านเป็นคาราวาน แต่ปรากฏว่าพระเยซูหายไป โจเซฟกับแม่พระจึงต้องเดินทางกลับไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อตามหา ปรากฏว่าไปพบพระเยซูอยู่ในกลุ่มอาจารย์ชาวยิวในพระวิหาร กำลังถกเถียงข้อสนทนาต่างๆ กันอยู่ ทำให้คนพิศวงสงสัยว่าเด็กคนนี้เป็นใคร ทำไมจึงฉลาดเฉลียวนัก
ถ้าเราอ่านเฉพาะกอสเปลของลูกาซึ่งไม่ได้ปูพื้นฐานชีวิตและนิสัยใจคอของพระเยซูมาเลย แล้วจู่ๆ ก็พบว่าพระเยซูทำตัวแปลกๆ หนีพ่อแม่มาถกเถียงทางความคิดกับกลุ่มอาจารย์อย่างนี้ ก็อาจทำให้เรางุนงงสงสัยได้ เพราะดูไม่มีสาเหตุเลย แต่ถ้าได้รู้เรื่องเล่าของโธมัส ซึ่งทำให้พอเห็นถึงพื้นเพนิสัยใจคอและ ‘ความดื้อ’ กับ ‘ความเป็นขบถ’ ของเด็กชายเยซู เราจะพอเข้าใจได้ในนิสัยอวดรู้อวดเก่งดื้อรั้นหัวแข็งอยากแสดงตัว-ที่พระเยซูเป็นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว
อย่างไรก็ตาม โปรดอย่าลืมว่า เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็น ‘เรื่องโกหก’ เกี่ยวกับเด็กชายเยซู ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงวัยรุ่นทั้งสิ้น ซึ่งสำหรับผม เรื่องโกหกที่ว่านี้นอกจากจะสนุกอย่างวายร้ายแล้ว ผมยังแอบคิด (เอาเอง) อยู่ลึกๆ ว่า หากทุกเรื่องโกหกที่ผมนำมาเล่าต่อนี้เป็นเรื่องจริง เรื่องเหล่านี้ก็น่าจะแสดงมิติความเป็นมนุษย์ของพระเยซูออกมาให้เราเห็นได้อย่างลึกซึ้ง
แม้แต่พระเจ้าก็ยังต้องการการเรียนรู้-ผมเชื่ออย่างนั้น
นิสัยวัยเด็กที่อวดดี อวดเก่ง เอาแต่ใจตัวเอง และใช้คำสาปพร่ำเพรื่อ น่าจะค่อยๆ ปลาสนาการหายไปเมื่อพระเยซูทรงเติบโตขึ้น ได้เห็นชีวิตแร้นแค้นทุกข์เข็ญของผู้คน ซึ่งน่าจะก่อให้เกิดจุดเปลี่ยนทางความคิดบางอย่าง
การเดินทางระหว่างการเติบโต ได้ทำให้ ‘พระเจ้า’ ที่กลายมาเป็นมนุษย์ เริ่มเปลี่ยนความคิดและวิธีมองโลก กระทั่งกลายเป็นพระเจ้าแห่งความรักที่ยินยอมถูกตบแก้มซ้ายแล้วยื่นแก้มขวาไปให้ตบซ้ำ ร่องรอยใน ‘เรื่องโกหก’ เหล่านี้ จึงยิ่งทำให้พระเยซูมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น พระเยซูต้องผ่านพ้นวัยเด็ก วัยรุ่น มีฮอร์โมนพลุ่งพล่าน เลือดร้อน เกเร เหลือขอ อวดดี และดื้อรั้น เหมือนที่มนุษย์ทุกคนเคยเป็น จนดูเผินๆ ใกล้จะเสียคน (หรือเสียพระเจ้า) เต็มที
แต่แล้วพระเยซูก็ได้ผ่านจุดเปลี่ยนลึกลับบางอย่างที่ไม่มีใครรู้และไม่มีใครบันทึกไว้ ทำให้พระเจ้าที่ใกล้จะเสียคน ได้หวนคืนมาเป็นมนุษย์ธรรมดาที่รู้จักรักและใช้หัวใจใคร่ครวญความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าอีกครั้ง
แม้เรื่องโกหกต่างๆ จะไม่ได้บอกผมว่าพระเยซูมีดวงตาสีอะไร อุ้งมือบอบบางหรือหยาบกระด้าง และเส้นผมของพระองค์นั้นเหยียดตรงหรือหยักศก แต่ผมกลับรู้สึกว่า เรื่องโกหกเหล่านี้มีคุณค่าสำคัญอย่างหนึ่ง นั่นคือสอนให้เรารู้จักรับฟัง ยอมรับ ใคร่ครวญ และค้นหา ‘ความจริง’ ที่แทรกซ้อนเหลื่อมปนอยู่ในเรื่อง (ที่กล่าวถูกหาว่า) โกหก
มี ‘ความจริง’ ซ่อนอยู่ในเรื่องโกหก, และมีเรื่องโกหก ซ่อนอยู่ใน ‘ความจริง’ -เสมอ
เรื่องโกหกของเด็กชายเยซู ทำให้ผมได้เห็นว่า แม้แต่พระเจ้าก็ยังต้องเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนไป-จากเด็กเหลือขอเกเรเอาแต่ใจ มาสู่ชายผู้ยินยอมทุกข์ทรมานเพื่อผู้อื่น
คำถามของผมก็คือ-พระเจ้าผู้คิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์ ยังเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้
แล้วพวกเราหลายคน-ผู้ประพฤติตนราวกับมนุษย์ที่คิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้า, เล่า
เมื่อไหร่จะเปลี่ยนแปลง?
อ่านเพิ่มเติม
-หนังสือ Jesus โดย A.N. Wilson
-หนังสือ The Other Bible บรรณาธิการโดย Willis Barnstone
Cover Illustration by erdy
หมายเหตุ : เรียบเรียงและตัดทอนจากบทความชื่อเดียวกันที่เคยตีพิมพ์ในนิตยสาร Open House