คุณอาจคิดว่า-ยิ่งสูงยิ่งหนาว
คุณอาจคิดว่า-ยิ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสุขสงบ เงียบเชียบ มีแต่ฟ้าใสไร้เมฆ กระจ่างราวกับจิตอันพิสุทธิ์ราวกับมีแต่เทพเทวดาเท่านั้นที่อาศัยอยู่
นักวิทยาศาสตร์สมัยก่อนก็เชื่อแบบเดียวกันนั้นด้วยเช่นกัน นั่นคือยิ่งสูง อากาศก็ยิ่งบางลงและเย็นลง แถมสูงขึ้นไปเหนือเมฆ ฟ้าก็ควรจะสว่างกระจ่างใสอย่างยิ่ง สูงขึ้นไปบนนั้นจึงเป็นคล้ายสวรรค์ชั้นพรหมที่ปลอดเรื่องชั่วช้าสกปรกทั้งปวง
โดยเฉพาะเรื่องการเมือง!
แต่ไม่เลยครับ
‘จินตนาการ’ เกี่ยวกับเรื่องเบื้องสูงของมนุษย์นั้น ได้รับการยืนยันว่าไม่เป็นจริงในปี 1902 เมื่อ ลีออง เดอบอร์ต (Leon Teisserenc de Bort) ค้นพบสิ่งที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจอย่างยิ่ง เมื่อเขาส่งบอลลูนขึ้นฟ้าให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ สูงเลยพ้นขอบเขตที่มนุษย์จะจินตนาการได้ แล้วเขาก็พบว่าที่ระดับความสูงหนึ่ง มันไม่ ‘ยิ่งสูงยิ่งหนาว’ อีกต่อไป คล้ายกับมี ’ขอบเขต’ หนึ่งกั้นขวางอยู่ อากาศจึงไม่เย็นตัวลง และบางครั้งก็ถึงกับร้อนขึ้นด้วยซ้ำ แรกทีเดียวเขาไม่เชื่อ จึงต้องส่งบอลลูนขึ้นไปซ้ำๆ แต่เมื่อส่งขึ้นไปเป็นสิบๆ ลูกแล้วยังได้ผลอย่างเดิม เขาก็เลยคำนวณสรุปผล แล้วประกาศออกมาเป็นการค้นพบที่ถือว่า ‘ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการอุตุนิยมวิทยา’
สิ่งที่เขาค้นพบ-ก็คือชั้นบรรยากาศที่เรียกว่า ‘สตราโตสเฟียร์’ (Stratosphere)
ที่จริง เลยพ้นขึ้นไปถึงชั้นสตราโตสเฟียร์ (คือสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าเลยพ้นระยะราวๆ 22 กิโลเมตร) นอกจากอุณหภูมิจะไม่เย็นลงไปเรื่อยๆ แล้ว ท้องฟ้าบนนั้นยังไม่ได้เป็นสีฟ้ากระจ่างใสด้วย
ถ้าคุณอยู่บนชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ คุณจะมองเห็นเส้นขอบฟ้าที่อยู่ห่างออกไป 600 กิโลเมตรได้อย่างแจ่มชัด เพราะไม่มีเมฆหมอกอะไรมาบดบัง แต่อาจตะขิดตะขวงใจนิดหน่อยที่จะเรียก ‘ท้องฟ้า’ ของสตราโตสเฟียร์ว่าท้องฟ้า เพราะบนนั้น ชั้นบรรยากาศจะไม่ ‘ฟ้า’ เหมือนชั้นบรรยากาศเบื้องล่าง
ท้องฟ้าเบื้องล่าง (หรือที่เรียกว่า ‘โทรโพสเฟียร์’ Troposhere) มีสีฟ้าก็เพราะมีโมเลกุลของอากาศหนาแน่น แสงสีฟ้า (ที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่าแสงสีแดง เขียว และเหลือง) จึงเกิดการกระเจิง ทำให้เรามองเห็นฟ้าเป็นสีฟ้า แต่ที่ระดับความสูง 22 กิโลเมตรขึ้นไป โมเลกุลของอากาศมีน้อยเกินกว่าจะทำให้เกิดการกระเจิงของแสงได้ (ไม่ว่าจะเป็นสีใดก็ตาม) เมื่อคุณอยู่บนชั้นสตราโตสเฟียร์ คุณจึงเห็นท้องฟ้าจึงเป็นสีดำ
แล้วทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องที่แลดูสกปรกชั่วช้าอย่าง ‘การเมือง’ ด้วยเล่า?
มันมี ‘การเมืองเบื้องสูง’ ในระดับสตราโตสเฟียร์-อยู่จริงๆ หรือ
คำตอบก็คือ-มีครับ และเป็นการเมืองที่ส่งผลสะเทือนจากฟากฟ้าลงมา ‘ใกล้ตัว’ มนุษย์เราอย่างคาดไม่ถึงเสียด้วย!
เครื่องบินที่สามารถบินได้สูงลิบลิ่วถึงขั้นทะลุเข้าไปในชั้นสตราโตสเฟียร์นั้นมีอยู่หลายรุ่น แต่รุ่นที่ชื่อดังมาก (จนได้รับการขนานนามว่าเป็น Dragon Lady) และเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เรากำลังจะคุยกันต่อไป ก็คือเครื่องบินของสหรัฐอเมริกาที่เรียกว่า ล็อคฮีด ยูทู (Lockheed U2) อันเป็นเครื่องบินที่ถูกนำมาใช้ในช่วงสงครามเย็น เนื่องจากมันบินสูงมากจนสามารถทะลุเข้าไปถึงระดับสตราโตสเฟียร์ได้ จึงถูกใช้บินเหนือพื้นที่อย่างรัสเซีย จีน เวียตนาม และคิวบา เพื่อลาดตระเวนและสอดแนม แต่ถึงจะเป็นโครงการลับและบินสูงเหนือเมฆระดับนั้น ก็ไม่ได้แปลว่าศัตรูจะมองไม่เห็นนะครับ เพราะล็อคฮีด ยูทู เคยถูกสอยร่วงจากทั้งรัสเซียและจากคิวบามาแล้ว โลกจึงได้รู้ว่า อ๋อ-อเมริกาใช้เครื่องบินสอดแนมแบบเหนือเมฆแบบนี้นี่เอง
เขาบอกว่า นักบินบนเครื่องยูทูนั้น แม้จะเห็นกว้างไกลแทบจะทั้งทวีป (เพราะอยู่สูงมาก) แต่ตัวนักบินเองไม่สามารถแม้แต่จะเกาจมูกตัวเอง เพราะที่ความสูงขนาดนั้น นักบินต้องใส่หมวกควบคุมความดัน ถ้าถอดหมวกปุ๊บก็ตายปั๊บ ที่ทางบนเครื่องก็แคบมาก ยืดแขนยืดขาไม่ได้เลย จึงอยู่ในสภาวะที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง
ล็อคฮีด ยูทู เป็นเครื่องบินหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ประจำการอยู่ในกองทัพอากาศสหรัฐฯ นานถึง 50 ปี แต่ไม่ใช่เพราะอเมริกาเอาไว้สอดแนมดินแดนของประเทศข้าศึกเท่านั้น ทว่ายังมีเหตุผลอื่น
เป็นเหตุผลสำคัญที่เกี่ยวพันกับ ‘การเมืองเบื้องสูง’ ของเรานี่เอง!
ในช่วงปี 1945 ถึง 1963 คนรุ่นใหม่หลายคนอาจไม่รู้ว่า ทั้งสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ได้ทดลองระเบิดนิวเคลียร์กันหลายร้อยครั้ง คุณคงนึกภาพระเบิดที่มีควันพวยพุ่งเป็นเห็ดยักษ์ออกนะครับ ภาพแบบนั้นนั่นแหละครับเคยเกิดขึ้นบนโลกมาแล้วหลายร้อยครั้ง และแต่ละครั้งก็ย่อมเกิดสิ่งที่เรียกว่า-สารกัมมันตรังสี, พลุ่งขึ้นไปในชั้นบรรยากาศ
คำถามที่ทุกคนรวมทั้งสหรัฐอเมริกาเองก็ต้องถามด้วย-ก็คือ, การทดลองระเบิดปรมาณูนั้นเป็นอันตรายต่อมนุษยชาติมากน้อยแค่ไหน
เปล่าครับ-ไม่ใช่แค่เรื่องความรุนแรงของระเบิดเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง ‘ผลพลอยได้’ จากระเบิดปรมาณูด้วย และสิ่งนั้นก็คือสารกัมมันตรังสีตกค้าง
การที่สหรัฐอเมริกายังคงใช้งานล็อคฮีด ยูทู อยู่ ก็เพื่อให้มันบินขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ เพื่อดูว่าบนนั้นมีสารกัมมันตรังสีปนเปื้อนอยู่มากน้อยแค่ไหน ปกติแล้ว ถ้าเป็นการบินลาดตระเวนข้าศึกศัตรู ก็ต้องบินไปตามทิศทางที่กองทัพกำหนด แต่การบินเพื่อตรวจสารกัมมันตรังสี นักบินจะบินไปตามเสียงของเครื่องวัดกัมมันตภาพรังสี (ที่เรียกว่าเครื่องไกเกอร์เคาเตอร์ Geiger Counter) ซึ่งมันจะคอยบอกว่าตรงไหนมีสารกัมมันตรังสีมากน้อยแค่ไหน แล้วก็บินหาไปเรื่อยๆ พร้อมกับเก็บข้อมูลสารกัมมันตรังสีตกค้างเหล่านี้เอาไว้
สารกัมมันตรังสีที่ว่า ไม่ได้อยู่ในรูปของก้อนอะไรใหญ่ๆ นะครับ แต่มันอยู่ในรูปของอนุภาคจิ๋วที่เล็กมากๆ เล็กจนมองไม่เห็น แต่ถึงเล็กขนาดนั้นก็ยังเป็นอันตรายอยู่ดี เพราะครึ่งชีวิตของมันยาวนาน (มีค่าเท่าไหร่ก็ข้นอยู่กับว่าเป็นธาตุกัมมันตรังสีอะไร) มันจึงปล่อยรังสีต่างๆ ออกมาเป็นเวลานาน โดยในสมัยก่อน เราเชื่อกันว่าด้วยแรงระเบิดที่แรงมาก สารกัมมันตรังสีที่มองไม่เห็นเหล่านี้น่าจะถูกพัดพาเข้าไปสู่ช้ันบรรยากาศระดับสตราโตสเฟียร์ในระดับสูงๆ ได้ แล้วเมื่อขึ้นไปอยู่บนนั้นแล้ว ก็น่าจะ ‘ถูกกัก’ อยู่บนนั้นเป็นเวลานานก่อนจะตกลงมา นักวิทยาศาสตร์เรียกสารกัมมันตรังสีที่ตกลงมาว่า fallout โดยมันสามารถจะตกลงมาบนดิน ในทะเล หรือบนธารน้ำแข็ง แล้วตกค้างแผ่รังสีออกมาอีกเป็นเวลานาน อาจจะนานเป็นพันหรือหมื่นปีก็ได้ (ขึ้นอยู่กับว่าเป็นสารอะไร) และดังนั้น-มันจึงน่าจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการที่เรียกว่า Atomic Energy Commission (หรือ AEC) ของอเมริกา ซึ่งรับผิดชอบในการทดลองระเบิดปรมาณู เคยบอกว่า เจ้า fallout ที่ว่านี้ เมื่อไปอยู่ในชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์แล้ว มันจะถูกกักอยู่บนนั้นนานเป็นทศวรรษก่อนจะตกลงมา ด้วยเวลาอันยาวนาน และด้วยความที่มันเป็นอนุภาคจิ๋วมากๆ มันจึงจะกระจายตัวจนบางเบาและสม่ำเสมอ ต่อให้ตกลงมาก็จะตกลงมาทุกหนแห่งแบบทั่วถึงกัน และตกลงมาแบบเจือจางมากๆ จนไม่น่าจะก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงใดๆ ได้
แต่ข้อมูลที่ได้จากเครื่องบินล็อคฮีด ยูทู กลับระบุไปอีกด้านหนึ่งครับ เพราะแม้ว่าเจ้า fallout พวกนี้อาจจะขึ้นไปถึงชั้นสตราโตสเฟียร์ได้ก็จริง แต่มันไปไม่ถึงชั้นสตราโตสเฟียร์ระดับสูง (ซึ่งบางคนเรียกว่า overworld คือสูงเหนือพ้นโลกขึ้นไปอีกขั้น) ส่วนใหญ่อยู่แค่สตราโตสเฟียร์ระดับต่ำเท่านั้น และอยู่บนนั้นแค่สักสองปีก่อนจะตกลงมา ไม่ใช่เป็นสิบๆ ปีอย่างที่มีการกล่าวอ้าง
ต้องบอกคุณก่อนว่า ระหว่างชั้นบรรยากาศโทรโพสเฟียร์กับสตราโตสเฟียร์นั้น มี ‘พรมแดน’ อยู่นะครับ พรมแดนนี้เรียกว่า โทรโพพอส (Tropopause) ที่เขาเรียกว่า pause ก็คือเพราะเป็นบริเวณที่อุณหภูมิไม่ ‘ยิ่งสูงยิ่งหนาว’ อีกต่อไป (คืออุณหภูมิไม่ต่ำลงเมื่อขึ้นสูงไปเกินนี้) เพราะฉะนั้นจึงถือได้ว่าโทรโพพอสคือ ‘ขอบล่าง’ ของสตราโตสเฟียร์ ซึ่งในสมัยก่อน นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าโทรโพพอสนั้นอยู่สูงราว 22 กิโลเมตรเสมอกันทั่วทั้งโลก แต่ในปัจจุบันเราพบแล้วว่า ยิ่งใกล้ขั้วโลกมากเท่าไหร่ โทรโพพอสจะยิ่งต่ำลง นั่นคือยิ่งขึ้นเหนือ (หรือลงใต้) มากเท่าไหร่ ขอบล่างของสตราโตสเฟียร์จะยิ่งต่ำลงเท่านั้น และอาจต่ำลงได้ถึงระดับ 12 กิโลเมตรด้วยซ้ำ ซึ่งแปลว่าเครื่องบินโดยสารที่เราๆ ท่านๆ นั่งก็อาจ ‘ทะลุ’ เข้าสู่ชั้นสตราโตสเฟียร์ได้เหมือนกันในบางพื้นที่
นอกจากนี้ เรื่องของกระแสลมก็ยังมีส่วนด้วย ในบริเวณที่เกิดกระแสลม Jet Stream (ถ้าเป็นซีกโลกเหนือ ก็จะเป็นแถบทางตอนเหนืออย่างในอเมริกาเหนือ ยุโรป รัสเซีย และจีน) ที่ปั่นป่วนกว่าปกติ เราพบว่าอากาศในชั้นสตราโตสเฟียร์กับอากาศในชั้นโทรโพสเฟียร์จะสามารถผสมกันได้ง่ายขึ้น เมื่อประกอบเข้ากับความที่โทรโพพอสจะต่ำลงเมื่อใกล้ขั้วโลก ผลลัพธ์ก็คือ เจ้า fallout หรือสารกัมมันตรังสีทั้งหลาย จึงไม่ได้ไปตก ‘ที่ไหนก็ได้’ ในปริมาณที่เสมอกันอย่างที่ AEC เคยคิดหรอกนะครับ แต่มันจะตกลงในแถบอเมริกาเหนือ ยุโรป รัสเซีย และจีน มากกว่าที่อื่น แถมตกลงมาเร็วกว่าที่เคยคิดกันอีกต่างหาก จึงส่งผลที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ในแถบนั้นได้มากอย่างที่ไม่เคยคิดกันมาก่อน
ด้วยเหตุนี้ การทดลองระเบิดนิวเคลียร์ ท้องฟ้าที่สูงลิบลิ่วอย่างสตราโตสเฟียร์ และระดับของสารกัมมันตรังสีอย่างสตรอนเทียม (Strontium) ในกระดูกของเด็กๆ ในอเมริกาเหนือ รัสเซีย ยุโรป และจีน จึงเป็นเรื่องที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอย่างใกล้ชิด
และเมื่อมันเกี่ยวข้องกับระเบิดปรมาณู ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเกี่ยวข้องกับ ‘อำนาจ’ และ ‘การเมือง’ ในระดับสูงด้วย!
จะเห็นว่า ‘ระบบนิเวศ’ ของทั้งโลก ตั้งแต่เด็กๆ ผู้ต่ำต้อยด้อยค่ามีสตรอนเทียมอยู่ในกระดูก ไปจนถึงท้องฟ้าสูงลิบลิ่ว ต่างก็มีส่วนเกี่ยวพันเป็นทั้งผู้รับและผู้กระทำในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและการประชันขันแข่งกันทางอำนาจด้วยการทดลองระเบิดปรมาณูของประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย
นี่จึงเป็น ‘การเมืองเบื้องสูง’ ที่ ‘อำนาจ’ ทางการเมืองบนผิวดิน เอื้อมมือขึ้นไปยุ่มย่ามกับเขตแดนแสนสงบงามสูงลิบลิ่วด้านบน
สิ่งที่อยากจะบอกคุณก็คือ-การเมืองและอำนาจนั้น สามารถยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวยุ่มย่ามและมีส่วนได้กับทุกเรื่องในชีวิตของมนุษย์ ตั้งแต่เรื่องเล็กจ้อยในตัวเรา กระทั่งถึงท้องฟ้าเบื้องสูงระดับสตราโตสเฟียร์อย่างที่หลายคนอาจคิดไม่ถึง
การเมืองเบื้องสูงจึงเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง
และจริง-ในระดับสตราโตสเฟียร์เสียด้วย!