คงจะมีไม่กี่เหตุการณ์บนโลกนี้ที่สามารถเปลี่ยนไปเป็นมีมไวรัลดังข้ามคืนแบบทั่วโลก
และมีมที่ดังที่สุดของเปิดเดือนแรกในครึ่งปีหลัง 2025 คงจะหนีไม่พ้น ช็อตวิดีโอที่เกิดขึ้นในงานคอนเสิร์ตของ Coldplay วงร็อกชื่อดังจากอังกฤษ ที่จัดขึ้นที่ Gillette Stadium แมสซาชูเสต, สหรัฐอเมริกา ในวันที่ 17 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
สำหรับคนที่พลาดเรื่องราวนี้ไป จะด้วยเหตุที่คุณกำลังดีท็อกซ์โซเชียล หรือเพราะอะไรก็ตามแต่ เราขอรวบรัดเล่าทุกอย่างให้ฟังอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนอื่นเราขอเกริ่นถึงธรรมเนียมของคอนเสิร์ตบางงานในฝั่งโลกตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐที่จะมีกล้อง Kiss Cam อยู่ในงาน โดยหากกล้อง Kiss Cam จับภาพไปที่คู่รักใด ภาพของคู่รักนั้นจะโดนนำขึ้นจอใหญ่ และด้วยบรรยากาศ ด้วยธรรมเนียมการไปคอนเสิร์ต ด้วยเสียงปรบมือเชียร์ คู่รักที่โดนจับภาพขึ้นจอก็มักจบลงด้วยการจูบกันด้วยความรัก แล้วเสียงปรบมือก็จะดังขึ้น เสียงคนโห่เชียร์ก็จะดังตาม จากนั้นกล้องก็จะจับภาพไปที่คู่รักคู่ต่อไป
แต่เหตุการณ์ Kiss Cam ของคอนเสิร์ต Coldplay วันนั้นมันต่างออกไป ทันใดที่กล้องจับภาพไปที่ชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนกอดรัดฟังเพลงในงานคอนเสิร์ตด้วยกัน แถมดูยังไงๆ สองคนนี้ก็ต้องเป็นแฟนกันแน่ๆ แต่เมื่อทั้งสองโดนนำภาพขึ้นจอ ทั้งสองต่างมีปฏิกิริยาหลบกล้องแบบแตกกระเจิง
ฝ่ายชายรีบเดินหลบกล้องในทันที ฝ่ายหญิงเอามือปิดหน้าแล้วหันหลังให้กล้องอย่างรวดเร็ว จนคริส มาร์ติน (Christopher Martin) นักร้องนำของวง Coldplay แซวขึ้นว่า “ถ้าพวกเขาไม่ได้เป็นชู้กันก็คงจะเป็นคนที่ขี้อายมากๆ เลยนะครับเนี่ย”
ไม่มีใครทราบว่าโดยแน่แท้เขาสองคนเป็นคนขี้อายรึเปล่า แต่เอาเป็นว่าเขาทั้งสองต่างมีครอบครัวแล้วทั้งคู่
นั่นก็แปลว่า…
เราขอละข้อถกเถียงทางกฎหมาย และศีลธรรมจรรยาไว้ที่บรรทัดนี้ อย่างไรก็ตามเมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น และกลายเป็นมีมให้คนล้อแซวกันไปทั่วโลกอย่างสนุกและเผ็ดมันกันไปเรียบร้อย เราอยากชวนทุกคนกลับไปฟังเพลงของ Coldplay ที่เราชอบที่สุดเพลงหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับความรักกันดีกว่า เพลงนั้นคือ
The Scientist
‘The Scientist’ แปลว่า นักวิทยาศาสตร์ หากเราคิดถึงคอนเซ็ปต์ของความเป็นวิทยาศาสตร์ หลายคนอาจตีความว่า มันคือศาสตร์ที่เกี่ยวกับความเป็นเหตุเป็นผล เกี่ยวกับการทดลอง การตั้งสมมติฐาน อะไรที่ดูเป็นตัวเลข เป็นตารางและเข้าใจยากๆ
เพราะฉะนั้นคนเป็นนักวิทยาศาสตร์ ก็น่าจะเป็นคนที่พยายามหาเหตุผลมาอธิบายในทุกเรื่อง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต้องอธิบายได้ อะไรที่เราอยากเปลี่ยนแปลงผล เราลองกลับไปแก้ที่เหตุมันดูหน่อยไหม ตามหลักการโดยทั่วไปมันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น
แต่ทฤษฎีความเป็นนักวิทยาศาสตร์แบบนี้ใช้ไม่ได้เสมอไปในความรักนะคะ
ในเนื้อเพลง (ที่ต้องตีความเอากันเอง) บอกไว้แต่เพียงว่า
“ผมขอโทษ…ผมต้องการคุณ…ผมเองที่ทำให้เราต้องเลิกกัน…
ผมอยากลองกลับไปที่จุดเริ่มต้นของเราใหม่”
ในมิวสิควิดีโอเพลงนี้คริสเดินถอยหลังทั้งเพลงในขณะที่โลกทั้งใบหมุนไปข้างหน้า น่าจะสื่อถึงว่าหากเลือกได้ผมอยากกลับไปแก้ไขความรักของเราใหม่อีกครั้ง
ทีนี้ก็จะมาถึงคำถามเชิงปรัชญาที่เราอยากให้คุณเอาไปคิดต่อว่า “หากเราหมุนเข็มนาฬิกาย้อนกลับไป เราจะอยากแก้ไขทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นไหม?” หรือเราจะเข้าใจว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุผลในกลเกมของมัน
คำถามนี้ไม่ใช่เพียงคุณที่เราอยากให้คิด แต่เราก็อยากทราบเช่นกันว่าหากเลือกย้อนเวลากลับไปได้ ชายหญิงสองคนในกล้อง Kiss Cam ที่งานคอนเสิร์ต Coldplay จะเลือกที่จะรักกันในแบบนี้อีกทีไหม?
คงมีแต่พวกเขาเท่านั้นที่ตอบได้…
เนื้อท่อนสุดท้ายของเพลงนี้เขียนเอาไว้ว่า Nobody said it was easy. No one ever said it would be so hard. แปลออกมาก็คือ ไม่มีใครบอกว่ามันง่าย แต่ก็ไม่มีใครบอกว่ามันจะยากขนาดนี้
นี่แหละความรัก บางครั้งมันอาจจะไม่ง่าย แต่ตอนจบเราต่างก็หวังว่ามันจะออกมาอย่างงดงามทั้งนั้นแหละนะ
อ้างอิงจาก