1.
“ฉันไม่มีวันเข้าใจเรื่องนี้เลย ถ้าแค่ต้องการแก้แค้น ทำไมต้องฆ่าเด็กด้วย สังหารเพียงผู้ใหญ่ก็พอแล้ว”
เช้าตรู่ของวันที่ 31 ธันวาคม ปี 2000 หลายครอบครัวกำลังเตรียมตัวฉลองเทศกาลสิ้นปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ แต่ที่ชานเมือง กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ใครเลยจะกล้าคิดว่า เช้าวันนั้นจะเกิดเรื่องราวสุดเลวร้ายขึ้น
จุดเริ่มต้น มันเริ่มจาก ฮารุโกะ หญิงชราตื่นนอนขึ้นมา และประมาณ 10 โมงกว่าๆ ของวันนั้น เธอก็ทำในสิ่งที่ถือเป็นกิจวัตรประจำวันคือ การโทรศัพท์หาลูกสาว ยาซูโกะ มิยาซาว่า (Yasuko Miyazawa) วัย 41 ปี ทำงานเป็นคุณครู เพื่อพูดคุยแล้วถามว่า บ่ายนี้จะไปไหนไหม
โดยตัวยาซูโกะนั้น ได้แต่งงานกับ มิกิโอะ มิยาซาว่า (Mikio Miyazawa) อายุ 44 ปี ซึ่งทำงานในบริษัทการตลาดข้ามชาติ ที่มีสาขาในหลายประเทศ
ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 2 คน คือเด็กหญิงนิอินะ (Niina) วัย 8 ขวบ กับเด็กชายเรย์ (Rei) อายุ 6 ขวบ ซึ่งมีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา ทางครอบครัวต้องดูแลและอยู่กับลูกคนสุดท้องอย่างใกล้ชิดเสมอ
“นิอินะ เป็นเด็กที่ฉลาดอย่างมาก แถมยังทำตัวน่ารักอยู่เสมอ”
โดยทั่วไปแล้ว ยาซูโกะจะต้องรับโทรศัพท์แม่ ซึ่งมีบ้านติดกัน แต่เช้านั้น บางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น ฮารุโกะโทร.ไปแล้ว ไม่มีคนรับ ด้วยความแปลกใจ หญิงชราจึงรีบแต่งตัว และเดินไปเคาะประตูบ้านอยู่นาน แต่ไม่มีใครเปิดออกมา ทุกอย่างดูเงียบเชียบผิดสังเกตอย่างยิ่ง ฮารุโกะลองหมุนกลอน ปรากฏว่ามันล็อกไว้ จึงเอากุญแจสำรองไขเข้าไป
เมื่อเธอเปิดประตู แล้วก้าวเดินเข้าไปในบ้าน สิ่งที่เห็นเป็นจุดแรก ก็คือตรงบันไดขั้นแรกสุด มีร่างไร้ลมหายใจของมิกิโอะ ลูกเขยนอนอาบเลือดอยู่ มีแผลอยู่ทั่วตัว โดยที่หัวมีใบมีดปักคาไว้ด้วย
แม้ฮารุโกะจะช็อก แต่หญิงชรา ก็นึกถึงลูกสาวและหลานรัก จึงรีบวิ่งผ่านศพ ก้าวขึ้นบันไดไปชั้น 2 ก่อนจะพบร่างยาซูโกะและนิอินะ เสียชีวิตที่พื้นของชั้นดังกล่าว ทั้งคู่ถูกสังหาร ด้วยอาวุธมีด สภาพศพเละเทะ น่าสยองขวัญอย่างมาก
ฮารุโกะบอกว่า เธอยังมีความหวังว่า ลูกและหลานจะยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อเอามือไปแตะที่ตัว ก็ไม่พบสัญญาณชีพใดๆ ทั้งสิ้น หลังจากนั้นหญิงชรา จึงหอบเรี่ยวแรง ลุกเดินสำรวจรอบบ้าน แล้วก็พบว่าที่ห้องนอนของเรย์ ลูกคนสุดท้องของครอบครัวนี้
เด็กน้อยถูกฆ่ารัดคอจนตาย บนเตียงนอน
ฮารุโกะจึงเดินลงบันได ในสภาพบอบช้ำแหลกสลาย แล้วจึงโทรศัพท์หาตำรวจ
เพื่อแจ้งเหตุฆาตกรรม
2.
ตำรวจโตเกียวรับแจ้งเหตุด้วยความตกตะลึง มันเป็นวันสิ้นปีเก่า ที่เหล่านักสืบควรได้ผ่อนคลาย แต่พลันที่พวกเขารู้ว่ามีเหตุฆาตกรรมขึ้น ทำเอาทุกคนทำอะไรไม่ถูก เพราะมีผู้ถูกฆ่าถึง 4 รายด้วยกัน แถม 2 ใน 4 ยังเป็นเด็กด้วย
เหตุการณ์นี้กลายเป็นข่าวใหญ่ในญี่ปุ่นทันที เนื่องด้วยที่ผ่านมา ประเทศนี้มีเหตุอาชญากรรมที่ต่ำมาก การพบ 4 ศพโดนสังหารโหดนี้ ทำให้ทางการจึงมีคำสั่ง ระดมเจ้าหน้าที่เข้าสอบสวน ปิดล้อมจุดเกิดเหตุทันที เพื่อเร่งเก็บหลักฐาน ล่าตัวคนร้ายมาให้ได้โดยเร็ว
เหล่านักสืบตรวจสอบหลักฐานทุกอย่างในบ้าน กินเวลาไม่กี่วัน พวกเขาก็ลำดับเหตุการณ์ฆ่าโหดนี้ได้ทันที หลังจากสอบปากคำพยานทังหมด พวกเขาก็พบว่า ก่อนเกิดเหตุ ครอบครัวมิยาซาว่า ใช้เวลาวันที่ 30 ธ.ค. ในการไปห้าง แล้วกลับมากินข้าวเย็นร่วมกัน นั่งดูทีวี ก่อนจะแยกย้ายไปนอนช่วง 3 ทุ่มกว่าๆ ยกเว้นมิกิโอะ ที่เช็กอีเมล์ตัวเองในคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ที่ชั้น 1 ของบ้าน
พยานคนหนึ่งเผยว่า ประมาณสี่ทุ่มของคืนดังกล่าว มีคนได้ยินเสียงวิวาทดังมาจากบ้านของครอบครัวมิยาซาว่า และมีเสียงลงมือทำร้ายร่างกายกัน
หลังจากนั้นชั่วโมงกว่าๆ เพื่อนบ้านได้ยินเสียง อะไรบางอย่างถูกโยนร่วงกระแทกพื้น แต่ไม่มีใครเอะใจอะไร เพราะแม้จะเป็นเพื่อนบ้านกัน แต่บ้านของพวกเขา ก็ไม่ได้กำแพงติดกัน แต่อยู่ห่างถัดไป และไม่มีใครคิดว่า เสียงเหล่านี้จะนำไปสู่การฆาตกรรมสุดโหดไปได้
เมื่อตำรวจตรวจสอบหลักฐานโดยละเอียด พวกเขาก็พบว่าเหตุการณ์นี้ ฆาตกรน่าจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้น โดยน่าจะปีนกำแพง แล้วลอบเข้ามา จากบานเกล็ดของห้องน้ำ ที่ชั้น 2 เพราะตำรวจพบรอยรองเท้าผ้าใบอยู่ในจุดดังกล่าว
หลังจากนั้น คนร้ายน่าจะตรงไปรัดคอเรย์ ขณะที่เด็กน้อยกำลังหลับก่อน เป็นศพแรก จากนั้นจึงได้เผชิญหน้ากับมิกิโอะ ซึ่งทำงานอยู่ข้างล่าง แล้วคงได้ยินเสียงดังแปลกๆ จึงเดินขึ้นไปที่ชั้น 2 ก่อนเผชิญหน้ากัน จนเกิดการต่อสู้กันอย่างดุเดือด จนมีดที่คนร้ายเตรียมมาหัก และเขายังได้รับบาดเจ็บที่มือขวาด้วย
ตำรวจเชื่อว่าแผลสังหาร น่าจะเป็นมีดที่ปักเข้าคอ ก่อนที่ฆาตกรจะกระหน่ำแทงตามตัว แล้วปักใบมีดที่หัก คาหัวมิกิโอะไว้ แล้วจึงโยนร่างนี้ ลงจากบันได มาร่วงกองสลด ตรงชั้นล่าง ก่อนจะไปที่ห้องครัว แล้วหยิบมีดแล่ปลาขึ้นมา เพื่อสังหารคนในบ้านต่อ
การกระหน่ำแทงยาซูโกะและนิอินะนั้น เป็นไปอย่างโหดเหี้ยม ราวกับผู้ก่อเหตุแค้นผู้หญิงเป็นพิเศษ
หลังฆ่าเสร็จ แทนที่ฆาตกรคนนี้จะรีบหนี แต่เขากลับอยู่ในบ้านหลายชั่วโมง โดยได้เปิดตู้เย็น เอาไอศกรีมมากิน ถึง 4 ถุงด้วยกัน โดยไม่สนใจจะอำพรางลายนิ้วมือด้วยซ้ำ
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังเล่นคอมพิวเตอร์ของมิกิโอะ นอนงีบบนโซฟาสักนิด แล้วไปเข้าห้องน้ำ ถ่ายอุจจาระทิ้งไว้ โดยไม่กดชักโครกด้วย ก่อนจะโยนเสื้อ กระเป๋า หมวก ผ้าพันคอ ผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือด ทิ้งไว้ แล้วหยิบเงินไปเพียง 1.5 พันเยนเท่านั้น
อีกทั้งมีดที่ใช้ก่อเหตุ คนร้ายยังเอาไปวางไว้ที่ห้องครัว ไม่ได้ปิดบังซ่อนเร้นอะไร ทั้งสิ้น แล้วจึงหลบหนีออกไป คาดว่าน่าจะปีนออกทางเดิม ตรงบานเกล็ดของห้องน้ำชั้น 2 ก่อนหายตัวไปตลอดกาล
ทีแรก พลันที่ตำรวจเห็นรอยนิ้วมือฆาตกร คราบเลือด อุจจาระ อะไรต่างๆ มากมาย นักสืบก็คิดว่ามันคงเป็นคดีที่ไม่ยาก พวกเขาน่าจะใช้เวลาไม่นาน เทียบรอยนิ้วมือ ก็น่าจะรู้ตัวผู้ก่อเหตุได้ในไม่ช้า
ไม่กี่วันหลังเกิดเรื่อง ตำรวจก็ได้เผยแพร่ข้อมูล เชื่อว่าฆาตกรเป็นชาย อายุประมาณ 15-30 กว่าปี แต่คาดว่าน่าจะอายุ 20 นิดๆ รูปร่างสันทัด สูงประมาณ 175 เซนติเมตร ถนัดมือขวา เลือดกรุ๊ปเอ ตำรวจมีเสื้อผ้าของผู้ก่อเหตุเกือบครบ จนสามารถร่างภาพออกมาได้เลย
แต่สิ่งที่ตำรวจขาดเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือ หน้าตาของผู้ก่อเหตุว่าเป็นอย่างไรเท่านั้น แม้จะมีเบาะแสครบถ้วนแทบทั้งหมด แต่พวกเขาไม่เคยเผยแพร่ใบหน้าฆาตกรสุดโหดคนนี้เลยตลอด 23 ปี ตั้งแต่หลังเกิดเรื่อง จนถึงปัจจุบัน
เจ้าหน้าที่เชื่อว่าหลักฐานที่คนร้ายทิ้งไว้มากมายแบบนี้ จะนำไปสู่การจับกุมได้แน่
แต่สุดท้าย พวกเขาก็ประเมินผิด
ในใบปลิว ซึ่งมีการแจ้งรางวัลเบาะแสนำจับในคดีนี้สูงถึง 20 ล้านเยน ถือเป็นจำนวนเงินเบาะแส สูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ของคดีฆาตกรรมในญี่ปุ่น ทางตำรวจได้เผยโฉมหน้ารูปร่างฆาตกรไว้หมด ยกเว้นเพียงใบหน้า ที่เว้นเพียงรูปร่างดำๆ เหมือนหุ่นในห้องลองเสื้อเท่านั้น
ภาพนี้ สร้างความสยองสั่นประสาทให้กับสังคมญี่ปุ่นอย่างมาก ราวกับชายคนนี้ไม่มีตัวตน ไม่มีใครรู้จักแม้แต่น้อย
สาเหตุนี้เอง ทำให้สื่อมวลชนเรียกขาน ฆาตกรคนนี้ไว้อย่างน่าสะพรึงว่า
“นักฆ่าไร้ใบหน้า”
3.
แม้จะไม่รู้จักใบหน้า แต่เจ้าหน้าที่ก็พยายามอย่างเต็มที่ในการล่าตัวคนร้าย พวกเขาเอาลายนิ้วมือไปตรวจสอบกับในระบบอาชญากรรมและทะเบียนราษฎร์ แต่ก็ไม่พบชื่อเจ้าของลายนิ้วมือดังกล่าวเลย
เมื่อตำรวจเอาดีเอ็นเอคนร้ายมาตรวจสอบอย่างละเอียด พวกเขาพบว่า นักฆ่าไร้ใบหน้า มีแม่เป็นคนเชื้อสายยุโรปตอนใต้ และมีพ่อเป็นคนเอเชียตะวันออก น่าจะมีโอกาสเป็นคนเกาหลีมากที่สุด รองลงมาก็คืออาจเป็นคนจีน โดยมีสัดส่วนน้อยมากๆ ที่จะเป็นคนญี่ปุ่น
แต่เพียงแค่นี้เอง ที่ตำรวจมีความคืบหน้า พวกเขาไม่รู้ว่านักฆ่าไร้ใบหน้า มีหน้าตาอย่างไร นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่รู้ว่าการก่อเหตุนี้ ลงมือไปด้วยสาเหตุใดด้วย
แม้ทางการจะระดมกำลังสอบสวนเพื่อนบ้าน ตรวจประวัติอาชญากรในละแวกจุดเกิดเหตุ เพื่อนของครอบครัว ชาวบ้านที่ย้ายที่อยู่ออกไป แม้กระทั่งคนที่มาโรงพยาบาล แล้วมีแผลที่มือ อันเกิดจากมีดบาดหรือของมีคม ก็โดนตรวจสอบด้วยทั้งหมด
คาดกันว่าคดีนี้ มีผู้ต้องสงสัยถูกสอบปากคำกว่า 2.5 แสนราย มีการระดมกำลังตำรวจนับแสนคนเข้าสืบสวน มีเบาะแสแจ้งเข้ามานับหมื่น
แต่สุดท้าย คดีนี้ ก็ไม่มีแม้แต่ผู้ต้องสงสัย ไม่มีชื่อ ไม่มีแรงจูงใจ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น มันกลายเป็นเรื่องปริศนา ที่ตำรวจไม่อาจแกะได้ว่า เรื่องจริงมันคืออะไรกันแน่
ครบรอบ 100 วันผ่านไป คดีสังหารโหดนี้ยังไร้ความคืบหน้า อยู่ดีๆ เจ้าหน้าที่ก็พบรูปปั้นเทพจิโซ ซึ่งตามความเชื่อของศาสนาชินโต เทพองค์นี้จะคอยพิทักษ์เด็กๆ โดยรูปปั้นดังกล่าว มีคนแอบนำมาวางไว้ ห่างจากบ้านของครอบครัวมิยาซาว่า ประมาณ 1.5 กิโลเมตร สร้างความแปลกใจให้กับสังคมอย่างมาก เพราะจากการตรวจสอบตอนแรก ไม่มีใครพบมาก่อน ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่า คนที่นำรูปปั้นนี้มาวางไว้
คือฆาตกรนั่นเอง
โดยสาเหตุที่ทำแบบนี้ ก็คาดว่าเพราะเจ้าตัวอาจจะสำนึกผิด ที่ได้สังหารเด็กๆ จึงแอบเอามาวางไว้ แต่สุดท้ายเหตุการณ์ตรงนี้ ก็ไม่อาจนำไปสู่การไขปริศนาคดีนี้ได้เลยแม้แต่น้อย
ที่ผ่านมา ตำรวจเชื่อว่าการสังหารโหดนี้ คนร้ายมีแรงจูงใจ 3 เรื่องด้วยกัน นั่นก็คือต้องการปล้น แต่แล้วเกิดผิดแผน มีคนตื่นมาเห็น จึงต้องลงมือฆ่าปิดปากทุกคน
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ขัดกับแรงจูงใจนี้ก็คือ ฆาตกรหยิบเงินไปไม่มาก แล้วยังทิ้งทรัพย์สินมีค่าในบ้านไว้ตั้งเยอะ หากจะหอบไปให้หมด ก็ทำได้ เพราะเขาอยู่ในบ้านหลังเกิดเหตุตั้งนาน และที่สำคัญถ้าคิดจะปล้นจริง ทำไมต้องฆ่าเด็กเป็นศพแรกด้วย
ประเด็นที่ 2 ตำรวจพบว่า ก่อนหน้านี้ครอบครัวมิยาซาว่า มีปัญหาทะเลาะกับวัยรุ่นที่เล่นสเก็ตบอร์ดในสวนสาธารณะ ใกล้บ้านพวกเขาหลายครั้ง เพราะสร้างเสียงดังน่ารำคาญ เจ้าหน้าที่คิดว่าอาจมีคนแค้น จนนำไปสู่การลงมือฆ่าด้วยความโกรธ
อย่างไรก็ดีรูปแบบการสังหารยกครัว มุ่งฆ่าเรย์ ก่อนใครเพื่อน มันจึงไม่มีเหตุผล ที่คนร้ายจะก่อเหตุด้วยความโกรธแค้นแบบนี้เลย
สำหรับประเด็นที่ 3 ตำรวจเชื่อว่าน่าจะมีเหตุผลอื่นในการลงมือฆ่า ซึ่งหลายปีต่อมา มีนักข่าวคนหนึ่งได้เขียนหนังสือถึงคดีนี้ออกมา สร้างความสั่นสะเทือนในสังคมอย่างมาก เพราะเขา เชื่อว่า ฆาตกรรายนี้ถูกจ้างให้มาสังหารยกครัว
โดยคนที่ก่อเหตุ น่าจะเป็นอดีตทหารจากเกาหลีใต้
4.
ทางนักข่าวที่ชูประเด็นนี้ บอกว่ารองเท้าไซส์ที่พบในจุดเกิดเหตุนั้น มันมีขายแค่ในเกาหลีใต้เท่านั้น โดยจากข้อมูลการสืบสวน พวกเขาเชื่อว่า ผู้ก่อเหตุน่าจะมีทักษะทางทหาร ซึ่งก็คือการเดินอย่างไร้เสียง เพื่อไปก่อเหตุสุดเหี้ยมนี้
สื่อที่เสนอทฤษฎีนี้ ยังย้ำว่า คนร้ายทำงานตามใบสั่ง แล้วยังมั่นใจว่า ตำรวจญี่ปุ่นไม่มีทางจับกุมตัวเขาได้อย่างแน่นอน จึงนั่งเอ้อระเหย ท้าทายแบบนี้ ก่อนจะค่อยๆ ย่องหนี แล้วออกนอกประเทศไปทันที หลังก่อเหตุเสร็จ
ประกอบกับหลักฐานดีเอ็นเอที่พบในจุดเกิดเหตุ เชื่อว่าคนก่อเหตุ น่าจะเป็นคนเกาหลี ซึ่งประเด็นนี้ ทางการญี่ปุ่นเอง เคยตัดสินใจขอความร่วมมือจากรัฐบาลเกาหลีใต้ ให้ช่วยสืบสวนด้วย นับเป็นคดีแรกที่มีการร้องขอระหว่างกันของ 2 ประเทศ แต่รัฐบาลเกาหลีใต้ปฏิเสธจะให้ความช่วยเหลือ นั่นทำให้ทฤษฎีนี้ จึงอยู่ยั้งยืนยง กลายเป็นหนังสือ เป็นการ์ตูนที่สนับสนุนประเด็นตรงนี้ให้น่าเชื่อยิ่งกว่าเดิมด้วย
อย่างไรก็ดีชุดสืบสวนในคดีนี้ ยืนยันว่า มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
“ถ้ามันเป็นเรื่องจริงตามที่คนว่า เราจับเขาได้ไปนานแล้ว”
อย่างไรก็ดี ตำรวจก็ไม่อาจหาข้อมูลหรือทฤษฎีใหม่มาเพิ่มได้ จนเหล่านักสืบที่ทำคดีนี้หลายคนเกษียณอายุราชการไปแล้ว และคดีถูกส่งต่อให้กับนักสืบรุ่นต่อมา ที่ย้ำว่าจะล่าตัวนักฆ่าไร้ใบหน้ามาให้ได้ โดยจะมีการหวนกลับมาตรวจสอบหลักฐาน และใช้เทคโนโลยี การสืบสวนใหม่ๆ มาไขคดี
ทางหัวหน้านักสืบในคดีนี้ย้ำว่า ตนเองมั่นใจมาก และถือเป็นภารกิจที่จะต้องจับฆาตกรคนนี้มาให้ได้
“เพื่อจะช่วยให้เหยื่อทั้งหมด ได้ไปสู่สุคติเสียที”
ปัจจุบันนี้ เหล่านักสืบที่ทำคดีนี้หลายคน ยังคงไปเยี่ยมเยียนฮารุโกะ ที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างบอบช้ำ เหมือนตายทั้งเป็น โดยอดีตเจ้าหน้าที่ต่างเอาอาหารมาให้บ้าง มาคารวะภาพครอบครัวมิยาซาว่า ที่ตั้งไว้ในบ้าน โดยบางคนก็มาคุยเรื่องคดีกับหญิงชรา ที่ยังคงรอคอยความยุติธรรม จนถึงทุกวันนี้
ทางฮารุโกะเองนั้น ก็หวังว่าตำรวจจะทำภารกิจนี้ได้สำเร็จ นั่นก็คือ การจับกุมนักฆ่าไร้ใบหน้ามาให้ได้ ก่อนที่เธอจะตายจากโลกใบนี้ไป โดยหญิงชรารายนี้บอกกับนักข่าวว่า เวลามองรูปหลาน 2 คนแล้ว มันทำให้เธอเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง
“สิ่งที่เสียใจที่สุดก็คือ การไม่ได้เห็นพวกเขาเติบโตขึ้นมาอีกต่อไป ทำไมฆาตกรต้องฆ่าเด็กด้วย ถ้าโกรธแค้นอะไร ทำผู้ใหญ่ก็พอแล้ว ฉันไม่เข้าใจว่า เขาลงมือโหดเหี้ยมแบบนี้ได้อย่างไร
“ฉันไม่เคยเข้าใจเลย”
อ้างอิงจาก