“กูขอให้มึงตกนรกหมกไหม้”
1.
เดวิด คาซินสกี้ (David Kaczynski) ใช้อินเทอร์เน็ตครั้งแรก ที่ห้องสมุดของวิทยาลัยซึ่งภรรยาเป็นอาจารย์อยู่ เธอกระตุ้นเขาด้วยความร้อนรนและเหตุผลบางอย่าง นานอยู่หลายวันทีเดียว กว่าที่เดวิดจะยอม
ภรรยาของชายหนุ่ม บอกให้เปิดเข้าไปที่เว็บไซต์ของสื่อวอชิงตัน โพสต์ หาบทความซึ่งลงในหนังสือพิมพ์ ฉบับวันศุกร์ ที่ 22 กันยายน ปี 1995 มาอ่านโดยด่วน
เจ้าตัวไม่เคยรู้เลยว่า ก่อนหน้านั้นหลายเดือน บรรณาธิการของวอชิงตัน โพสต์และนิวยอร์ก ไทมส์ ต่างได้รับการร้องขอจากเจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลางหรือเอฟบีไอ ให้ลงแถลงการณ์ฉบับหนึ่ง
ทางเอฟบีไอแจ้งว่า การลงข้อความดังกล่าวไป จะช่วยให้ทางการได้รับเบาะแสมากมายจากประชาชน และอาจนำไปสู่การจับกุมตัวฆาตกรโหดได้
หลังปรึกษากับทีมงาน บรรณาธิการของสื่อ 2 ฉบับ ยอมตีพิมพ์แถลงการณ์นี้ และวางแผงขายไปทั่วสหรัฐอเมริกา เดวิดไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์เหล่านี้ โชคดีที่สำนักข่าวเอามันขึ้นเว็บไซต์ให้โลกออนไลน์ยุคตั้งไข่ได้อ่านกัน ทำให้ภรรยาของเขามีโอกาสได้เห็น ก่อนรีบกลับบ้านไปแจ้งให้สามีลองไปอ่านดูโดยไว
เดวิดเลื่อนเมาท์อย่างช้าๆ สิ่งที่เห็นตรงหน้า เป็นแถลงการณ์ ชื่อเรื่องว่า ‘สังคมอุตสาหกรรมและอนาคตของมัน’ เน้นย้ำเร้าให้เกิดการปฏิวัติ ต่อต้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงวิทยาศาสตร์ ความก้าวหน้าทุกอย่าง เพื่อหยุดยั้งความเสื่อมถอยของคนเรา เพราะการปฏิวัติอุตสาหกรรม จะมีผลต่อเนื่องในการทำให้มนุษยชาติถึงแก่กาลหายนะ
นี่คือข้อเขียนสุดโต่ง เรียกร้องการทำลายล้างความก้าวหน้าทันสมัยทุกอย่างที่โลกมีมา อ่านแล้วก็น่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก
แถลงการณ์ที่มีความยาวถึง 3.5 หมื่นคำ ไม่ระบุชื่อคนประพันธ์มันขึ้น
แต่เดวิดรู้ทันทีว่าใครเขียน
2.
วันที่ 25 พฤษภาคม 1978 เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น รัฐอิลลินอยส์ กำลังตรวจสอบพัสดุต้องสงสัย ที่จ่าหน้าซองถึงอาจารย์ท่านหนึ่ง จู่ๆ มันก็ระเบิดขึ้นมา ทำเอาเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
ปีต่อมา ระเบิดในพัสดุก็ส่งมาที่มหาวิทยาลัยเดิม และมีนักศึกษาได้รับบาดเจ็บ จากนั้นบนเที่ยวบินอเมริกัน แอร์ไลน์ ไฟลท์ 444 มุ่งหน้าจากชิคาโก ไปวอชิงตันดีซี เกิดระเบิดขึ้นระหว่างทาง จากของที่โหลดไว้ใต้เครื่อง แม้จะไม่ทำให้เครื่องตก แต่ก็มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 12 ราย
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นจากระเบิดที่อยู่ในพัสดุทั้งสิ้น นี่จึงทำให้เอฟบีไอเข้ามาตรวจสอบเพื่อล่าตัวว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลัง
เจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์ ตรวจที่เกิดเหตุอย่างละเอียด แล้วพบว่าระเบิดนั้น คนร้ายประดิษฐ์ขึ้นมาเอง แถมทำอย่างละเมียด ละเอียด ไม่พบแม้กระทั่งลายนิ้วมือ ดีเอ็นเอ ใยเส้นผม หรือเศษชิ้นส่วนเสื้อผ้าอยู่ในนั้นแต่อย่างใด
วัตถุสังหารไม่อาจสาวไปถึงคนลงมือได้เลย
เอฟบีไอตั้งทีมสืบสวนในปี 1979 โดยเรียกขาน ผู้ก่อเหตุวางระเบิดว่า ยูนาบอม (UNABOM) โดยนำชื่อตัวอักษรที่ระบุพฤติกรรมของคนร้ายมาเรียงต่อกัน อันประกอบด้วย UN มาจากสองตัวแรกของ UNiversity(มหาวิทยาลัย) ส่วน ตัว A มาจาก Airline (สายการบิน) อันเป็น 2 จุดที่คนร้ายก่อเหตุวางระเบิด ส่วน BOM นั้นเอามาจากคำว่า BOMbing (การวางระเบิด)
พลันที่สื่อรู้ข่าว และสืบทราบว่าทีมยูนาบอม กำลังทำงานล่าตัวคนร้าย จึงนำชื่อทีม มาเรียกชื่อผู้ก่อเหตุว่า ยูนาบอมเบอร์ (Unabomber) ในเวลาต่อมา
อาชญากรรายนี้ เป็นเซียนเรื่องระเบิด เขาสามารถประดิษฐ์อาวุธสังหาร ใส่พัสดุ แล้วตั้งเวลา ให้ไปบึ้มปลายทาง โดยไม่เกิดการระเบิดก่อนเวลาอันควร เรียกได้ว่าคำนวณมันเป็นอย่างดี คาดกันว่า ก่อนจะหย่อนระเบิดไปในพัสดุ เขาจะดูดฝุ่นหรือกำจัดทุกความเป็นไปได้ เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่สามารถย้อนรอยสาวมาถึงเขา
แม้ส่วนประกอบในระเบิดจะทำจากไม้เสียส่วนใหญ่ แต่สิ่งนี้ ยิ่งทำให้เอฟบีไอไม่อาจแกะรอยไปถึงยูนาบอมเบอร์ได้เลย
“พวกเราทึ่งในระเบิดที่เขาทำมาก ยังแอบยกย่องกันว่าไอ้นี่ มันคือนักทำบึ้มที่เก่งสุดในอเมริกาแล้วล่ะ”
กระนั้น เมื่อทางการจับไม่ได้ ดูเหมือนวายร้ายที่ฉลาดหลักแหลม จะยิ่งกำเริบเสิบสาน ยกระดับยิ่งขึ้น จนสิ่งที่ทางการหวาดหวั่นก็เกิดขึ้นจริง
ในที่สุดก็มีคนตายจากการก่อเหตุของเขา
วันที่ 11 ธันวาคม ปี 1985 เจ้าของร้านคอมพิวเตอร์ คือศพแรกของยูนาบอมเบอร์ หลังจากเขาก่อเหตุมาแล้ว 10 ครั้งด้วยกัน มีผู้เคราะห์ร้าย ได้รับบาดเจ็บหนัก บางคนถึงสาหัส และพิการเป็นจำนวนมาก
จากปี 1978 ถึงปี 1995 ยูนาบอมเบอร์ไม่เคยถูกจับกุม เอฟบีไอไม่เคยมีผู้ต้องสงสัย เขาลงมือวางระเบิดไปแล้วถึง 16 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 23 ชีวิต
แรงกดดันจากครอบครัวเหยื่อ และผู้ได้รับผลกระทบ ถาโถมใส่เอฟบีไอ 16 ปีที่ควานหา แต่ทุกอย่างจบลงที่ความล้มเหลว ชายคนนี้ฉลาดเกินกว่าที่ทางการจะจัดการได้จริงๆ เหรอ
กินเวลาไม่นาน แถลงการณ์ฉบับหนึ่งก็ส่งมายังเอฟบีไอ มันถูกระบุว่าเป็นงานเขียนของยูนาบอมเบอร์ มีจุดประสงค์ให้เจ้าหน้าที่นำไปเผยแพร่ออกไปสู่สังคมวงกว้าง เขาอยากบอกคนทั้งโลกว่า ลงมือไปเพราะอะไร
ทางการถกเถียงกันอย่างหนัก เพราะไม่อยากให้คำพูดของฆาตกรได้รับคำนิยม หรือได้รับการยกย่อง แต่มีทีมงานอีกกลุ่มแย้งว่า ถ้าเผยแพร่ไป บางทีอาจมีคนเห็นสำนวนการเขียนและรู้ว่า ชายคนนี้คือใครได้
ฝั่งที่อยากเผยแพร่ชนะ และส่งมันไปให้หนังสือพิมพ์ โดยยอมรับว่าจะต้องมีคนชื่นชมแถลงการณ์นี้ แต่เอฟบีไอพร้อมเสี่ยง รับมือกับผลกระทบตรงนี้ เพราะมั่นใจว่าจะต้องมีผู้กล้าให้เบาะแสยูนาบอมเบอร์แน่นอน
กินเวลาไม่นาน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“ผมรู้ว่าใครเป็นคนเขียนบทความนี้”
“พี่ชายผมเอง”
3.
ครอบครัวคาซินสกี้ เป็นผู้อพยพจากโปแลนด์ อาศัยอยู่ย่านชนชั้นแรงงาน ในเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ แม้จะจน แต่พ่อกับแม่ก็ผลักดันให้ลูกเรียนหนังสือ หมั่นหาความรู้ เวลาว่างก็เล่นดนตรี และพาลูกทั้งสองสัมผัสกับธรรมชาติ
เดวิด อายุน้อยกว่าพี่ชาย 7 ปี ทั้งสองมีจุดร่วมเหมือนกัน คือไปโรงเรียนก็ไร้มิตร นั่นทำให้ทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนสนิทของกันและกัน
ชายหนุ่มย้อนความหลังว่า “ตั้งแต่ยังเล็ก พี่คือเพื่อนที่ดีสุดของผม ความใจดีของเขายังฝังแน่นในตัวผมเสมอมา”
ลูกชายคนโตของบ้านคาซินสกี้ เป็นอัจฉริยะ อายุแค่ 16 ปีก็เข้าเรียนมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในสาขาคณิตศาสตร์ ก่อนจบปริญญาโท และปริญญาเอก กลายมาเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ ในมหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์ แคลิฟอร์เนีย ซึ่งผลิตผู้ได้รับรางวัลโนเบล อันดับต้นๆ ของประเทศ
สิ่งนี้สร้างความประทับใจให้กับเดวิด เขาอยากฉลาดเหมือนพี่ และยึดเป็นแบบอย่าง แม้น้องชายจะไม่เก่งเท่า แต่ชายหนุ่มก็มีเส้นทางของตัวเองที่น่าสนใจ หลังเรียนจบมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เอกภาษาอังกฤษ ก็เริ่มต้นอาชีพนักเขียนทันที
อย่างไรก็ดี เรื่องอื้อฉาวของบ้านคาซินสกี้ก็เกิดขึ้น อยู่ดีๆ ลูกคนโตของบ้านก็ป่วยทางจิต จนต้องออกจากงานสอนหนังสือ ไปซื้อที่ ปลีกวิเวกหลีกหนีจากสังคม ใกล้ชิดธรรมชาติ ไม่ใช้ไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา อยู่แบบคนยุคหินสุดโต่ง
“เขาป่วยจากแรงบีบคั้นในการเรียนและจากสังคม” เดวิดเล่าความหลัง ถึงกระนั้นน้องชายก็ตามไปสร้างบ้านอีกหลัง ที่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน เพื่อจะได้ไปอยู่ด้วยกันกับพี่
ทั้งสองมักจะหาเวลานั่งคุยกัน ถกเรื่องปรัชญา บาสเก็ตบอล เลยไปถึงฟุตบอล จนเมื่อเดวิดได้งานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษต่างเมือง เขาจำต้องทิ้งพี่และเพื่อนสนิทคนเดียวในชีวิตไว้เพียงลำพัง
ระหว่างนั้นทั้งคู่ยังคงเขียนจดหมายหากัน ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบอยู่เป็นประจำ
ตอนที่เกิดระเบิดขึ้นครั้งแรก เมื่อทีมงานเอฟบีไอตั้งทีมล่ายูนาบอมเบอร์ เดวิดไม่เคยตระหนักว่า พี่ชายจะป่วยหนัก เพราะก่อนหน้านั้น แม้อีกฝ่ายได้ประกาศตัดขาดกับพ่อแม่ เพราะโกรธที่ผู้ปกครองผลักดันให้เขาเรียนหนัก ต้องได้ที่ 1 ต้องเป็นเลิศ จนป่วยทางจิตแบบนี้
ในปี 1990 ลูกคนโตของตระกูลคาซินสกี้ ได้โทรศัพท์สาธารณะมาหาแม่ เสียใจที่พ่อป่วยเป็นมะเร็ง และจบชีวิตลงด้วยการฆ่าตัวตาย
ตอนนั้นเดวิดกำลังจะแต่งงาน พอเขาเขียนจดหมายไปหาพี่ เชิญให้มาร่วมงาน ก็ได้รับข้อความตอบกลับมาว่า “นายกำลังทำพลาดในชีวิตครั้งใหญ่”
นั่นคือครั้งสุดท้ายที่พวกเขาติดต่อกัน ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเลิกคุยกับเขาทันที
เดวิดไม่ได้เห็นตัวหนังสือของพี่ชายทางจดหมายอีก จนถึงปี 1995 เมื่อเขาจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ อ่านแถลงการณ์ของยูนาบอมเบอร์ ชายหนุ่มนิ่งเงียบ ตัวสั่น มือไม้อ่อนแรง หลังตรึกตรองทุกอย่างอยู่สักพัก เขาก็ตัดสินใจแจ้งเอฟบีไอ
“ยูนาบอมเบอร์ คือพี่ชายของผมเอง”
“เขาชื่ออะไร”
เท็ด คาซินสกี้ (Ted Kaczynski)
4.
เอฟบีไอตรวจสอบหลักฐานทุกอย่าง พบว่าตอนเกิดเหตุวางระเบิดครั้งแรก เท็ดอยู่ที่รัฐอิลลินอยส์ และทุกครั้งที่ยูนาบอมเบอร์ลงมือ เท็ดจะอยู่ในเมืองที่เกิดเรื่องเสมอ
วันที่ 3 เมษายน ปี 1996 เอฟบีไอพร้อมอาวุธครบมือ บุกเข้าไปในกระท่อม ห่างไกลผู้คน ในรัฐมอนทานา เพื่อรวบตัวเท็ดในที่สุด
ในบ้านหลังดังกล่าว พวกเขาพบระเบิดทำมือพร้อมใช้งาน และเอกสารสอนการประกอบ มันหนากว่า 4 หมื่นหน้าด้วยกัน
18 ปีหลังไล่ล่า ในที่สุดยูนาบอมเบอร์ก็จนมุม นับเป็นฆาตกรที่เอฟบีไอใช้เวลาหาตัวยาวนานที่สุด และใช้ทรัพยากรถึง 50 ล้านเหรียญ เพื่อจับกุมชายคนนี้
6 อาทิตย์หลังโดนรวบ เดวิดเขียนจดหมายถึงพี่ ก่อนได้รับคำตอบสุดตะลึงว่า
“มึงรู้จักกูดีกว่าใครทั้งนั้น กูต้องการเสรีภาพจากทุกสิ่ง ทั้งความเงียบ และการปลีกวิเวก การต้องมาติดคุก เป็นชะตากรรมที่เลวร้ายกว่าความตายมากๆ”
แม้จะป่วย แต่เท็ดยังฉลาดพอที่จะรู้ว่าน้องของเขา คือผู้แจ้งเบาะแสให้ทางการอย่างแน่นอน นั่นนำไปสู่การด่าทอเพื่อนสนิทคนเดียวในชีวิตว่า
“เหตุผลที่มึงแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับกู เพราะมึงเกลียดกู”
“เพราะมึงเป็นคนต่ำต้อย และนี่คือโอกาสที่จะแก้แค้นพี่ชายคนโต ที่ฉลาดและเก่งกว่ามึงไงล่ะ”
“กูขอให้มึงตกนรกหมกไหม้”
เท็ด พี่ชายของเดวิด ชายที่เคยปกป้องน้องมาตลอด บัดนี้กลายเป็นคนอื่นไปแล้ว
เดวิดเพียรพยายามจะเขียนจดหมายถึงพี่ชายมาตลอด แต่ไม่สำเร็จ ไม่มีการตอบกลับ ของก็ถูกส่งคืน ไม่มีความคืบหน้าหรือข่าวสารจากเท็ดแต่อย่างใด
ทนายความของยูนาบอมเบอร์ พยายามต่อสู้ว่า ฆาตรกรป่วยทางจิต แต่อัยการแย้งว่า ป่วยก็ส่วนป่วย แต่การฆ่าคน และมีการวางแผนละเอียด เขียนแถลงการณ์แบบนี้ มันแสดงว่ามีสติสัมปชัญญะครบถ้วน เพียงพอที่จะถูกประหารชีวิตได้
ไม่รู้ว่าตอนไหนที่เท็ดเปลี่ยนไป จากที่กลัวการติดคุกมากกว่าความตาย ก็กลายเป็นว่า ดันมากลัวตายมากกว่าติดคุก สุดท้ายเขาตัดสินใจรับสารภาพในสิ่งที่ทำทั้งหมด เพื่อเลี่ยงโทษประหาร ศาลตัดสินให้เขาจำคุกตลอดชีวิต ในเรือนจำความมั่นคงสูงสุด โดยไม่มีสิทธิ์ขอลดหย่อนโทษแต่อย่างใด
ผู้พิการจากผลงานของยูนาบอมเบอร์ ตะโกนออกมาหลังฟังคำตัดสินว่า “แกควรจะโดนประหารชีวิต เพราะมันจะเป็นผลดีต่อประเทศและครอบครัวผู้สูญเสียมากกว่า”
ภรรยาของหนึ่งในผู้เสียชีวิต บอกกับสื่อหลังได้ยินคำพิพากษาว่า “3 ปีผ่านไป ความเจ็บปวดยังคงอยู่ ได้โปรดเอาสัตว์นรกนี้ ออกไปจากสังคมตลอดกาล และเราควรฝังเขาไว้ให้ลึกที่สุด ให้ใกล้ชิดกับขุมนรกไปเลย
“เพราะนั่นคือจุดที่สัตว์ร้ายตัวนี้ คู่ควรแล้ว”
5.
การถูกพี่ตัดความสัมพันธ์ ทำให้เดวิดเจ็บปวดมาก แต่เขายังคงพยายามเขียนจดหมายถึงอีกฝ่าย ทั้งบอกว่าตอนนี้แม่ป่วย และพูดย้ำกับเขาเสมอว่า
“ไม่ว่าพี่จะเป็นอย่างไร แม่ไม่เคยหยุดรักพี่เลยนะ”
แต่ก็มีเพียงความเงียบตอบกลับคืน
เดวิดเจ็บปวด บ้านแตกสาแหรกขาด พี่เป็นฆาตกร เขาต้องแบกรับชะตากรรมตรงนี้ไว้ มันรุมเร้าและปวดร้าวอยู่หลายสิบปี จนวันหนึ่ง เขาตัดสินใจโทรศัพท์หา เหยื่อของยูนาบอมเบอร์ เริ่มด้วยประโยคว่า
“ผมขอโทษแทนพี่นะครับ” เดวิดพูดออกมา
20 นาทีหลังการพูดคุย ปลายสายตอบกลับอย่างเมตตาว่า
“เดวิด นายไม่มีอะไรต้องขอโทษ..นายทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”
นั่นก็คือการให้เบาะแสแก่เอฟบีไอ ไปรวบตัวเท็ด
นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเยียวยา ฟื้นตัว เดวิดสานสัมพันธ์กับผู้สูญเสีย ผู้พิการ ผู้เจ็บปวด จากยูนาบอมเบอร์ มันคือเชือกที่ดึงเขาขึ้นจากหุบเหวแห่งความอ้างว้างเจ็บปวด ซึ่งอยู่กับมันมาตั้งแต่พี่ชายโดนจับกุม
และแล้ว เดวิดก็พบชีวิตที่งดงามอีกครั้ง และครานี้ มันไม่มีเท็ดเกี่ยวข้องอีกต่อไป
วันที่ 10 มิถุนายน ปี 2023 เดวิดกับคนรักกลับจากการปีนเขา ขณะนั่งกินอาหารอยู่นั้น ทนายความก็โทร.มาแจ้งข่าว
“เท็ดตายแล้วนะ”
พี่ชายที่เคยสนิท บุคคลที่เคยรัก มนุษย์ที่เคยใกล้ชิด ผู้กลายเป็นฆาตกร ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ได้ป่วยเป็นมะเร็ง ทรมานจากโรคสารพัด และสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง ด้วยวัย 81 ปี
ฝันร้ายของเดวิด น่าจะจบสิ้นลงแล้ว
แต่ทว่าการต่อสู้ระหว่างเขากับแนวคิดพี่ กลับเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
ดังที่เอฟบีไอเคยหวั่นเกรง แถลงการณ์ของเท็ด นำไปสู่การจับกุมตัวได้ แต่มันก็มีแรงเหวี่ยงกลับ มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งยกย่องศรัทธาในผู้ชายคนนี้ มองเป็นวีรบุรุษ ชายที่หาญกล้าต่อสู้กับความก้าวหน้า ด้วยความรุนแรงในข้ออ้างการปฏิวัติ
กลุ่มสุดโต่งมองว่าสิ่งที่ยูนาบอมเบอร์ทำนั้น มันชอบธรรมแล้ว
เดวิดรับไม่ได้ เขาคัดค้านแนวคิดของพี่ชายมาโดยตลอด เดิมนั้นเขาคิดว่า หากเท็ดตาย ทุกอย่างก็คงจบสิ้น แต่กลายเป็นว่าความเชื่อของยูนาบอมเบอร์ และแถลงการณ์ที่เขาเขียน ไม่ได้ถึงแก่กาลอวสานตามลมหายใจ เพราะปัจจุบันดูเหมือนจะมีกลุ่มชนจำนวนมาก ชื่นชมและเห็นด้วยกับสิ่งที่เท็ดทำยิ่งขึ้นกว่าเดิม
สิ่งนี้ทำให้น้องชายของฆาตกร ต้องลุกขึ้นพูดและต่อสู้กับแนวคิดของพี่ชายอย่างถึงที่สุด มันคือการปะทะกับฝันร้ายในอดีตอีกรูปแบบหนึ่ง
แม้จะเจ็บปวดและสะกิดบาดแผลวันวาน แต่เดวิดยอมอดทนสู้ เพื่อกระตุ้นเตือนสังคม ว่าความเชื่อของเท็ด ความคิดของยูนาบอมเบอร์ เป็นสิ่งที่ผิด เพราะมันทำให้มีคนตาย มีผู้สูญเสีย มันคือการก่อการร้าย มันคือการฆาตกรรม ไม่ใช่สิ่งที่ควรน่ายกย่อง แต่ควรต้องประณามด้วยซ้ำไป
นี่คือการต่อสู้ระหว่างเดวิด กับสาวกของพี่ชาย และเขาจะไม่มีวันยอมให้เกิดการเข้าใจผิดในการเชิดชูเท็ดเป็นอันขาด สิ่งนี้จะชนะไม่ได้ เพราะนั่นคือการเหยียบย่ำยีศักดิ์ศรีของ 3 ผู้เสียชีวิต และอีกว่า 23 ราย ที่บาดเจ็บพิการจากผลงานของยูนาบอมเบอร์
เดวิดบอกกับสื่อว่า
“เราเถียงกันเรื่องธรรมชาติได้ว่า มันอาจถูกทำลายจนสายเกินไป หรือจะถกกันเรื่องเทคโนโลยีว่า อาจจะลดทอนศักยภาพของมนุษย์ ประเด็นเหล่านี้สามารถพูดปรึกษากันได้ แต่ขอเถอะ.. อย่าเอาวิธีการของเท็ดมาแก้ปัญหานี้เป็นอันขาด”
“เพราะความรุนแรงไม่อาจจัดการอะไร ไม่แม้แต่จะทำให้เกิดทางออกหรือเปลี่ยนแปลงสังคมได้เลย”
“โปรดจงจำไว้ว่า ทุกสิ่งที่เท็ดคิด และทุกอย่างที่เขาทำลงไป.. เป็นเพียงเรื่องเพ้อเจ้อของคนบ้า เท่านั้น”
อ้างอิงจาก