“เรา (เคย) คิดว่านี่คือสถานที่ ซึ่งปลอดภัยสุดในโลก”
1.
เปียร์โต ออร์ลันดี (Pietro Orlandi) ไม่เคยลืม สิ่งที่เกิดขึ้นในเช้าวันที่ 22 มิถุนายน 1983 หลายปีต่อมา ชายหนุ่มจะพูดกับสื่อว่า เป็นความทรงจำที่เลวร้ายสุดในชีวิต
น้องสาวของเขา เอมมานูเอลลา ออร์ลันดี (Emanuela Orland) อายุ 15 ปี ขอร้องพี่ชายว่าให้ขึ้นรถบัสเป็นเพื่อนกับเธอหน่อย เพื่อเดินทางไปเรียนเป่าฟลูต ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของครอบครัวเพียงแค่ 1-2 กิโลเมตรเท่านั้น
แต่เปียร์โตปฏิเสธ แม้น้องสาวจะวิงวอน แต่ชายหนุ่มไม่เอาด้วย สร้างความไม่พอใจให้กับเด็กสาววัยเพียง 15 ปีอย่างมาก
“เธอโมโห เดินออกไป พร้อมปิดประตูดังปัง”
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า นี่จะเป็นวินาทีสุดท้ายที่จะได้เห็นหน้าน้อง
“ถ้าเพียงแต่…”
เป็นประโยคที่เกิดขึ้นหลายครั้งหลายหนในชีวิตของเปียร์โต “ถ้าเพียงแต่..ผมไปกับน้อง มันคงจะไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น..”
หลังจากนั้นไม่นาน เอมมานูเอลลาโทรศัพท์มาที่บ้าน เพื่อคุยกับพี่สาว บอกว่า ระหว่างทางไปเรียนดนตรี มีผู้ชายหยุดเธอพร้อมแจกใบปลิว แต่เด็กสาวไม่สนใจ ก่อนจะเดินไปฝึกเป่าฟลูตต่อ
มันเป็นการรายงานเหตุการณ์ตามปกติ แต่นี่คือครั้งสุดท้ายที่เสียงของเอมมานูเอลลาพูดกับคนในครอบครัว ตามกำหนดการ หลังซ้อมดนตรีสร็จ เธอได้นัดเพื่อน 2 คนให้ไปรอที่ป้ายรถเมล์ เพื่อจะได้เดินทางกลับบ้านด้วยกัน
แต่เด็กสาววัย 15 ปี ไม่เคยปรากฏตัว
22 มิถุนายน 1983 คือจุดเริ่มต้นแห่งฝันร้ายของครอบครัวออร์ลันดี
เมื่อเอมมานูเอลลา ไม่โผล่มาที่บ้านเย็นวันนั้น พ่อแม่ พี่ชาย พี่สาว น้องสาว เริ่มออกตามหา แต่ไม่มีใครรู้ว่าเธอหายไปไหน นั่นนำไปสู่การแจ้งความ และกินเวลาไม่นานก็เป็นเรื่องใหญ่ สื่อเริ่มรายงานข่าว เพราะนี่หาใช่กรณีเด็กสาวหายตัวไปธรรมดาไม่
แต่คือเคสเด็กสาว วัย 15 ปีที่หายตัวไปในเมืองเล็กๆ ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม ประเทศอิตาลี มันคือรัฐอิสระที่เล็กสุดในโลก มีขนาดเพียง 0.44 ตารางกิโลเมตร เป็นศูนย์กลางของคริสตจักรคาทอลิก โดยมีพระสันตะปาปาเป็นประมุขสูงสุด ที่ชื่อว่า กรุงวาติกัน
สื่อจึงเรียกขานคดีนี้ว่า
“เด็กหญิงวาติกัน”
2.
ครอบครัวออร์ลันดี อาศัยในอพาร์ตเมนต์ ในกรุงวาติกัน ห้องของพวกเขาสามารถเห็นแปลงดอกไม้สุดงดงามที่ถูกปลูกไว้ไม่ไกลจากที่พักเสมอ นับเป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง
พ่อของเด็กหญิงผู้หายตัวไป เป็นพลเมืองของรัฐดังกล่าว ทำงานอยู่ที่เสมียนประจำสำนักงานสมเด็จพระสันตะปะปา ส่วนแม่ดูแลครอบครัวไม่ได้ทำงานอะไร นอกจากเลี้ยงดูลูกๆ ทั้ง 4 คน
เปียร์โตเล่าว่า ตั้งแต่เกิดมาก็คิดเสมอว่า สถานที่แห่งนี้ คือดินแดนที่ปลอดภัยสุดในโลก จนกระทั่งเอมมานูเอลลาหายตัวไป
หลังเกิดเหตุ กระแสข่าวเป็นแรงกดดันไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจอิตาลีให้เร่งค้นหา ทีแรกพวกเขาคิดว่าอาจเกิดอุบัติเหตุกับเด็กหญิง แต่ไม่มีรายงานแจ้งเหตุอะไร
หรือบางทีเธออาจจะถูกลักพาตัวไป โดยอาชญากร
ไม่กี่วันหลังการหายตัวไป มีโทรศัพท์ลึกลับติดต่อมายังครอบครัวออร์ลันดี เรียกตัวเองว่าเป็นคนอเมริกัน อ้างว่า เด็กหญิงถูกจับไว้เป็นตัวประกัน และยื่นเงื่อนไขการปล่อยตัวที่ไม่ใช่เงินเรียกค่าไถ่ แต่เป็นการต้องปล่อยตัวผู้ต้องหาชาวตุรกี ที่ก่อเหตุพยายามลอบฆ่าสมเด็จพระสันตะปะปา จอห์น พอล ที่ 2 ซึ่งเกิดขึ้นที่จตุรัสเซนต์ ปีเตอร์ เดือนพฤษภาคม ปี 1981
ผู้ก่อเหตุถูกตำรวจอิตาลีจับกุมไว้ได้ และโดนขังคุกตลอดชีวิต
ทางผู้โทร.มาอ้างว่า หากไม่ดำเนินการตามข้อเรียกร้อง พวกเขาจะฆ่าเด็กหญิงวัย 15 ปีเสีย
คำขู่นี้ สร้างความตื่นตระหนกให้กับคนในครอบครัวอย่างมาก กระนั้นเมื่อตำรวจอิตาลีตรวจสอบ พวกเขาไม่พบความเป็นไปได้ว่า ฝ่ายที่โทร.มาจะเป็นผู้ก่อเหตุลักพาตัวเด็กหญิงไปจริง เพราะไม่มีร่องรอย หรือหลักฐานยืนยันได้ว่า พวกเขาจับกุมตัวเอมมานูเอลลาไว้
หลังจากโทรศัพท์มาประมาณ 3 ครั้ง ปลายสายก็เงียบไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เบาะแสที่คิดว่าใช่ หลุดลอย หลังจากนั้นทุกอย่างก็หายไป
จากวันเป็นอาทิตย์ จากอาทิตย์กลายเป็นเดือน ทางการอิตาลีก็มาถึงทางตัน ไม่มีพยาน ไม่มีใครรู้เห็นว่าเด็กหญิงเอมมานูเอลลา หายตัวไปไหน
สมเด็จพระสันตะปะปา จอห์น พอลที่ 2 ถึงขั้นนำสวดมนต์ เพื่อหวังว่าจะพบตัว หรือได้รู้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กหญิงวาติกัน
พ่อของเอมมานูเอลลา ออกแถลงการณ์ต่อหน้าสื่อ หลังผ่านไป 3 เดือนที่ไร้ความคืบหน้า เขายืนอ่านข้อความด้วยความสิ้นหวัง แทบไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่า ลูกจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่ก็หวังว่าหากตายไปแล้ว ก็อยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“หากลูกสาวสุดที่รักของเราเสียชีวิต คนที่ก่อเหตุโปรดส่งข้อความ หรือบอกเราหน่อยว่า จะหาร่างของเอมมานูเอลลาได้ที่ไหน”
สิ่งที่ครอบครัวออร์ลันดีได้รับกลับมา มีแต่ความเงียบและเงียบ
ทุกอย่างมืดหม่น ไร้หลักฐานเพิ่มเติม และนั่นทำให้ทฤษฎีสมคบคิด เริ่มทำงานในทันที
3.
สื่อมวลชนจำนวนหนึ่ง รวมถึงนักสืบสมัครเล่น เริ่มค้นหาข้อมูลในคดีเด็กหญิงวาติกัน โดยพบว่าหลังวันเกิดเหตุ ตำรวจอิตาลีแทบระดมกำลังปูพรม หารายละเอียดทุกอย่าง คุยกับพยาน สอบถามกับผู้เกี่ยวข้องกับเอมมานูเอลลาทั้งหมด
แต่พวกเขาไม่พบแม้แต่หลักฐานชิ้นเดียว ไม่พบอะไรที่จะนำไปสู่การสืบสวนคดีนี้ต่อได้เลย
ยิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นในกรุงวาติกัน เมืองแห่งศาสนา สถานที่ซึ่งน่าจะปลอดภัยสุดในโลก แต่ทำไมถึงปล่อยให้เด็กหญิงวัย 15 ปี หายตัวไปได้อย่างลึกลับ
นั่นหมายความว่า มีคนปกปิดการหายตัวไปของเด็กหญิงหรือไม่
ทฤษฎีสมคบคิดทำงาน สื่อจำนวนหนึ่งงับเบาะแสสุดเลอะเทอะ เช่นเรื่องเล่าว่า มือขวาของสมเด็จพระสันตะปะปา จอห์น พอลที่ 2 เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และได้ลักพาตัวเอมมานูเอลลาไป ก่อนปิดเรื่องและกลบเกลื่อนหลักฐานทั้งหมดไว้
แน่นอนว่าข้อกล่าวหานี้ถูกปฏิเสธจากกรุงวาติกันทันที
อีกกรณีหนึ่งเชื่อว่า กรุงวาติกันจัดการเอมมานูเอลลาด้วยตัวเอง เพราะไม่อยากปล่อยตัวผู้ต้องหาตุรกีที่ก่อเหตุพยายามฆ่าสันตะปะปา จอห์น พอลที่ 2
ศูนย์กลางของคริสตจักรคาทอลิกยืนกรานว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง
แต่ไม่นาน ก็เกิดข่าวลือว่า แท้จริงแล้วเด็กหญิง วัย 15 ปีเป็นตัวประกันที่ถูกส่งไปให้กลุ่มมาเฟียอิตาลี ระหว่างการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างวาติกัน กับองค์กรอาชญากรรม แล้วเกิดตกลงกันไม่ได้ ทำให้เธอถูกฆ่าตาย และถูกนำไปฝังไว้ในสุสานใต้ดิน เพื่ออำพรางหลักฐาน
ข้อมูลตรงนี้ ทำให้กรุงวาติกันต้องลงไปในสุสานใต้ดิน เปิดหลุมศพที่คาดว่าเป็นจุดที่เก็บร่างเอมมานูเอลลาไว้ พวกเขาเจอศพที่เน่าเปื่อย แต่เมื่อเอาไปตรวจดีเอ็นเอ ก็ยืนยันได้เลยว่า ไม่ใช่ศพของเด็กหญิงของครอบครัวออร์ลันดี
เรื่องยังไม่จบเท่านี้ เพราะมีการเล่าลือไร้หลักฐานว่า แท้จริงแล้วเธอถูกฝังในสุสานที่เก็บร่างหัวหน้ามาเฟียต่างหาก ทางการอิตาลีจึงต้องบุกสุสานตระกูลเจ้าพ่อ แล้วเอาศพมาตรวจสอบเพื่อให้สื่อมวลชนเห็น พร้อมกับยืนยันว่า ไม่ใช่ร่างของเด็กหญิงที่หายตัวไปอีกครั้ง
ทฤษฎีสมคบคิดยังลุกลาม ถึงขนาดมีคนลือว่าเจอเอกสารนักบวชในวาติกันตัดสินใจฝังกลบความลับการหายตัวไปไว้ภายในเมืองแห่งนี้ ไม่ต้องการเผยแพร่ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับเอมมานูเอลลาโดยเด็ดขาด โชคดีว่าทางการยืนยันว่ามันเป็นเอกสารปลอม ขอให้คนที่ตามเรื่องนี้อย่าเชื่อโดยเด็ดขาด
ทุกคำปฏิเสธจากทางการ ไม่อาจดับข้อสงสัยในใจของประชาชนและนักสืบสมัครเล่นได้ พวกเขายังร่ำลือ และคาดการณ์ไปไกลว่า หน่วยข่าวกรองสหรัฐอเมริกา อย่างซีไอเอ เข้าร่วมในการก่อเหตุหรือปกปิดข้อเท็จจริงร่วมกับกรุงวาติกันและตำรวจอิตาลี เพราะไม่อยากให้มีการปล่อยตัวมือลอบสังหารสมเด็จพระสันตะปะปา จอห์น พอลที่ 2
ข้อมูลตรงนี้เกิดขึ้นเพียงเพราะปลายสายที่เรียกร้องให้มีการปล่อยตัวผู้ต้องหาก่อเหตุชาวตุรกีนั้น เรียกตัวเองว่า คนอเมริกันเท่านั้นเอง
ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่เคยถูกพิสูจน์ว่าเป็นความจริง แต่กลับยืนยันได้ว่า เป็นเรื่องเท็จ นั่นจึงย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นที่ไร้ทางออกว่า เกิดอะไรขึ้นกับเด็กหญิงวาติกันกันแน่
ยิ่งเวลาเดินผ่านไปเรื่อยๆ แม้เทคโนโลยีการสืบสวนจะก้าวหน้าไปเพียงใด แต่ไม่มีใครสามารถไขคดีนี้ได้เลย
ทุกอย่างเป็นปริศนาจนถึงปัจจุบัน
4.
เหตุการณ์นี้ถูกสร้างเป็นหนัง เป็นซีรีส์ เป็นสารคดี ทุกความเป็นไปได้ถูกสำรวจ แต่ไม่มีใครเข้าใกล้ความจริงแม้แต่นิด
นั่นทำให้เคสเด็กหญิงวาติกัน กลายเป็นคดีที่ถูกหมกมุ่นโดยเหล่าผู้สนใจเรื่องอาชญากรรม ที่ต่างอยากรู้ว่าเรื่องราวที่แท้คืออะไรกันแน่
แต่สำหรับครอบครัวออร์ลันดี พวกเขาคือผู้ที่เจ็บปวดในเรื่องนี้สุด ทฤษฎีและความน่าจะเป็นของนักสืบ มันจุดประกายความหวังครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายก็ต้องถอยกลับไปทุกข์ทนเสมอ ดูเหมือนว่ายิ่งใกล้ความจริง ก็ดูเหมือนมันยิ่งห่างไปเรื่อยๆ
ทุกวันนี้แม่ของเอมมานูเอลลายังอาศัยอยู่ในกรุงวาติกัน เพื่อรอคอยว่าสักวันหนึ่ง ลูกสาวจะเดินทางกลับมาบ้านอีกครั้ง
ด้านพ่อของเด็กหญิงเสียชีวิตลงในปี 2004 โดยไม่มีโอกาสรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวคนนี้
กระนั้นเปียร์โต และน้องสาวอีก 2 คน ไม่เคยยอมแพ้ พวกเขายังมุ่งมั่น ให้สัมภาษณ์ ออกแถลงการณ์ ถึงขั้นนัดชุมนุม เพื่อเรียกร้องให้ทางการและกรุงวาติกันอย่าละมือกับคดีนี้เป็นอันขาด นั่นทำให้ตำรวจอิตาลีต้องจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบเหตุการณ์นี้อีกครั้ง
สมเด็จพระสันตะปะปาฟรานซิส ซึ่งสิ้นพระชนม์ไปในวันที่ 21 เมษายน ปี 2025 ยังเคยสวดมนต์ให้กับเอมมานูเอลลา โดยพระองค์ได้แสดงความห่วงใยต่อครอบครัวและมารดาของผู้หายตัวไป
“ทุกคนในครอบครัวนี้ ต้องแบกรับความโศกเศร้า จากการหายตัวไปของผู้เป็นที่รัก”
สิ่งนี้มีค่ามากต่อเปียร์โต ชายที่ศรัทธาในคริสต์ศาสนา และอยู่ในกรุงวาติกันแทบทั้งชีวิต
ชายหนุ่มเล่าว่า หลังการหายตัวไป ชีวิตของพี่ชายคนนี้ ดำรงอยู่เพื่อตามหาน้องสาวสุดที่รัก เขาไม่เคยย่อท้อที่จะไปออกโทรทัศน์ บอกเล่าครั้งสุดท้ายที่พบหน้า สารภาพความผิดพลาดครั้งสำคัญในชีวิต ถ้าเพียงแต่เขาขึ้นรถเมล์ไปกับน้องในวันนั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
การกระทำนี้ ทำให้เขาได้รับจดหมาย และกำลังใจจากคนทั้งโลก ทุกคนหวังว่าสักวันหนึ่งคดีเด็กหญิงวาติกันจะสิ้นสุดความเป็นปริศนา แล้วความจริงจะได้ปรากฏตัวขึ้น เพื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นสักที
“หากน้องยังมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้ เธอจะอายุ 57 ปี”
เวลาผ่านไปหลายปี เปลี่ยนเปียร์โต จากเด็กหนุ่มกลายเป็นชายชรา แต่เขายังคงมุ่งมั่นค้นหาความจริง โดยยังจัดกิจกรรมถือป้ายและรูปน้อง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ท่ามกลางฝูงชนจากทั้งโลกที่คอยเอาใจช่วย ล่าสุดเขาได้อ่านแถลงการณ์ด้วยความหวังที่ไม่เคยลดลงตลอดหลายสิบปีมานี้ให้คนทั้งโลกรับทราบว่า
“ผมจะยังคงค้นหาให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเอมมานูเอลลา ไม่ว่าเธอจะยังมีชีวิตอยู่ หรือตายไปแล้ว เราก็ต้องหาร่างของน้องให้พบ และเราไม่เคยละความหวังว่า น้องยังมีชีวิตอยู่”
สื่อมวลชนรายงานว่า หลังจบการแถลงข่าว ใครสักคนในกลุ่มได้ตะโกนก้องออกมา เป็นประโยคที่คนทั้งโลกอยากบอกกับพี่ชายคนนี้ว่า “เปียร์โต อย่ายอมแพ้เด็ดขาดนะ”
ชายชราจ้องมองกลับไป พยักหน้าแล้วพูดออกมาว่า
“ไม่มีวันครับ….ไม่มีวัน”
อ้างอิงจาก