“เราจะสร้างสวนเอเดนที่เกาะแห่งนี้”
1.
น่าจะไม่มีใครรู้จักเกาะแห่งนี้มาก่อน หรือถ้ามีก็คงจะน้อยมาก จนกระทั่งปี 1831 ชายหนุ่มวัยแค่ 22 ปี นามว่า ชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) นั่งเรือ มาใช้ชีวิตและสำรวจเกาะแห่งนี้ นาน 5 อาทิตย์
หลายปีต่อมา เจ้าตัวกลับไปเขียนหนังสือเล่าถึงทฤษฎีการวิวัฒนาการโดยการคัดเลือกจากธรรมชาติ กลายเป็นเหตุการณ์สำคัญ ดาร์วินกลายเป็นคนดัง และคนทั้งโลกก็มองเกาะแห่งนี้ด้วยความทึ่ง น่าหลงใหล ชวนค้นหา
ขบวนเรือมากมาย มุ่งหน้ามายังดินแดนเล็กๆ ซึ่งห่างจากแผ่นดินใหญ่ ประเทศเอกวาดอร์ เกือบ 1 พันกิโลเมตร คนที่ไปตามรอยดาร์วิน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มันช่างเป็นสถานที่สุดโดดเดี่ยวและเปลี่ยวเหงายิ่งนัก
เดิมสถานที่แห่งนี้ถูกค้นพบโดยบังเอิญ จากบาทหลวงที่แล่นเรือมาผิดทาง เมื่อเขาเห็นเต่าเป็นจำนวนมาก จึงตั้งชื่อเป็นภาษาสเปนว่า กาลาปากอส (Galapagos) แปลว่า ดินแดนแห่งฝูงเต่า
ในปี 1929 แพทย์หนุ่มชาวเยอรมัน ฟรีดริช ริตเตอร์ (Friedrich Ritter) เดินทางมาที่หมู่เกาะกาลาปากอส โดยเลือกเกาะเล็กๆ ชื่อว่า ฟลอเรียนา (Floreana) เป็นภูมิลำเนา
เจ้าตัวไม่ได้มีเพียงคนเดียว แต่หอบหญิงสาว โดเร สเตราช์ (Dore Strauch) มาอยู่ด้วย ทั้งสอง เป็นมนุษย์คู่แรก ที่ใช้ชีวิตในเกาะฟลอเรียนา
ความเป็นอยู่นั้นสุดลำบาก ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีอะไรเลย แต่ชายหญิงกลับเอาตัวรอดได้ ไม่ร้องขอกลับบ้านเกิด ที่มีความสะดวกสบายมากกว่า คนพื้นที่เห็นแล้วก็ยังทึ่ง
พลันที่นักเดินเรือผ่านมาเห็นและเข้าไปพูดคุย ริตเตอร์ได้มอบจดหมายให้ส่งกลับไปยังเยอรมัน เพื่อบอกญาติพี่น้องว่า เขายังมีชีวิตอยู่และเลือกที่จะอยู่อย่างสมถะ โดดเดี่ยว (ไม่) เปลี่ยวเหงา ณ ที่แห่งนี้
เมื่อจดหมายถูกส่งกลับไปยังยุโรป เรื่องก็หลุดไปถึงสื่อมวลชน หนังสือพิมพ์พาดหัวตัวโต ถึงเหตุผลซึ่งริตเตอร์บอกกับญาติว่า “ผมเลือกเดินทางมาที่นี่ เพื่อต้องการปลีกวิเวก และเราจะสร้างสวนเอเดนที่เกาะแห่งนี้”
เอเดน คือสวนสวรรค์ที่พระเจ้าสร้างไว้ให้มนุษย์คู่แรกของโลก ‘อดัมกับอีฟ’ บัดนี้ปรากฏอยู่ และมีจริงบนโลกใบนี้แล้ว
กระแสที่สื่อโหม เป็นแรงบันดาลใจให้กับคนขาว ผู้อยากละทิ้งชีวิตแสนวุ่นวายอลหม่านในยุโรป อยากทิ้งระบบทุนนิยมและความบอบช้ำหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 กลายเป็นสิ่งขับดันให้เกิดการจองตั๋วล่องเรือมาที่ฟลอเรียนา
บัดนี้กาลาปากอส มีเสน่ห์นอกจากเรื่องราวของดาร์วิน ก็มีการใช้ชีวิตของริตเตอร์กับหญิงสาวประกอบด้วย
สื่อขนามนามพวกเขาว่า
อดัมกับอีฟแห่งกาลาปากอส
สิ่งที่นักข่าวเขียนถึงทั้งสอง ช่างงดงามยิ่งนัก ท่ามกลางธรรมชาติ มนุษย์ใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระจากทุกสิ่ง ใครอ่านก็นึกภาพ อยากไปอยู่แบบนี้ชะมัด
กระนั้น เบื้องหลังตัวหนังสือ กลับไม่มีใครตระหนักหรือหารู้ไม่ว่าสวรรค์แห่งนี้ กำลังจะถูกนรกไล่ล่า และหายนะกำลังมาเยือนในไม่ช้า
2.
แท้จริงแล้ว ริตเตอร์กับสเตราช์ไม่ได้เป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ฝ่ายชายเป็นหมอที่มีครอบครัว ส่วนหญิงสาวนั้นเป็นคนไข้ของริตเตอร์และมีสามีอยู่แล้ว
แต่ทั้งสองเลือกจะทิ้งคู่ชีวิตไว้ที่เยอรมัน เดินทางมาที่เกาะห่างไกลผู้คน เพื่อสร้างบ้าน และใช้ชีวิตอย่างสมถะ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ท่ามกลางอากาศที่ร้อนจัด แต่พวกเขาก็อยู่มันได้อย่างลงตัว
เมื่อทั้งสองสามารถเอาชีวิตรอดที่หมู่เกาะกาลาปากอสได้ สื่อที่โหมกระหน่ำข่าว ได้สร้างแรงกระตุ้นเร้าให้คนเดินทางมาที่นี่มากยิ่งขึ้น
ทีแรกนักท่องเที่ยวเห็นว่าที่นี่คือสวรรค์อย่างแท้จริง นาฬิกาและเวลาไม่มีผล ณ ฟลอเรียนา กาลาปากอสคือธรรมชาติที่สามารถใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น
แต่เมื่อบางคนลองอาศัยอยู่ ก็พบสัจธรรมลำบากยากเข็ญ เพราะผู้อาศัยต้องสร้างทุกอย่างด้วยมือของตัวเอง ไม่มีเครื่องมือช่วยเหลือ ไม่มีความบันเทิงอะไร หันไปทางไหนนอกจากป่าไม้ เต่าและอิกัวน่า ก็มีผืนทะเลล้อมรอบ
แทบเป็นบ้า
“ทุกคนคิดว่าที่นี่จะต้องเป็นสรวงสวรรค์ที่พระเจ้าสร้างไว้ แต่สุดท้าย มันคือนรกดีๆ นี่เอง”
ความทุรกันดารและการขาดสารอาหาร ทำให้ริตเตอร์และชู้รักฟันผุ พวกเขาเลือกที่จะถอนฟันออกหมด แล้วใส่ฟันปลอมสแตนเลสที่สร้างมาอันเดียว แต่ผลัดกันใช้
สิ่งนี้ย่อมบ่งบอกว่ามันไม่ใช่สถานที่น่ารื่นรมย์ แต่เหมาะกับคนที่ต้องการละทิ้งความก้าวหน้าในโลกใบนี้อย่างแท้จริง ดังนั้นนักท่องเที่ยวจึงมาแล้วกลับไป ไม่มีใครกล้าอยู่แบบหมอหนุ่มกับชู้รัก
ใครๆ ต่างก็คิดว่า ไม่น่าจะมีคนแบบริตเตอร์และสเตราช์อีก
แต่แล้วในปี 1931 ไฮนส์ วิตต์เมอร์ (Heinz Wittmer) และภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ พร้อมลูกชายวัยรุ่น ก็เดินทางมาที่เกาะแห่งนี้ แตกต่างจากใครอื่น พวกเขาอยู่รอด โดยไม่ร้องขอเรือให้มารับกลับยุโรป ครอบครัวนี้ใช้ชีวิตและสร้างบ้านได้สำเร็จ โดยได้รับความช่วยเหลือจากหมอริตเตอร์ ในการตั้งหลักบนเกาะ
ไฮนส์เป็นอดีตทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ทำงานอยู่ในศาลาว่าการของเมืองโคโลญ์ เยอรมัน เขากังวลสุขภาพของลูกคนโต ประกอบกับตอนนั้น ประเทศกำลังเจอวิกฤตเศรษฐกิจขั้นรุนแรง
พอรู้ข่าวเรื่องราวของหมอริตเตอร์ จึงพาครอบครัวเดินทางมาขณะภรรยาท้องแก่ ก่อนที่หญิงสาวก็ได้คลอดลูกที่นั่น และรอดมาได้โดยไม่มีแพทย์ช่วย พวกเขาตั้งชื่อว่าเด็กทารกชายว่า รอล์ฟ (Rolf) นับเป็นมนุษย์คนแรกที่เกิดในเกาะฟลอเรียนาแห่งนี้
2 ครอบครัวบนสวนเอเดนสุดขอบโลก กลายเป็นเรื่องราวน่าประทับใจ ที่มนุษย์เอาชนะอุปสรรค ณ เกาะที่มีแต่ความยากลำบาก สิ่งนี้ดึงดูดคนมากยิ่งขึ้น
เริ่มมีผู้ที่อยากมาอยู่จริงจัง ฝูงชนขึ้นเกาะ เดินสำรวจเป็นจำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ ที่สุดแล้วสวรรค์ซึ่งถูกสร้างด้วยมือคน กำลังเจอการมาเยือนของปีศาจในคราบมนุษย์ในไม่ช้า
ท้ายปี 1931 หญิงสาวใบหน้างาม ก็เดินทางมาพร้อมกับความผิดปกติในยุคนั้น เธอมากับชายคนรัก แต่ไม่ได้มีคนเดียว กลับมีสองบุรุษยอมเป็นสามีเธอทั้งคู่ แถมพลันที่เหยียบฟลอเรียนา นางยังประกาศว่า
“ฉันคือราชินีของเกาะนี้”
3.
ไม่มีใครรู้และตรวจสอบได้ว่า หญิงสาวที่มาพร้อมคนรักชาย 2 คนนั้น มียศฐาบรรดาศักดิ์เป็นบารอนเนสจริงๆ เหรอ แต่ไม่มีใครสน นักท่องเที่ยวผิวขาวต่างเรียกเธอว่า บารอนเนส อันโตเนีย วากเนอร์ วอน แวร์บอร์น บอสเกต์ (Baroness Antonia Wagner von Wehrborn Bosquet) ส่วนสามีทั้งสองของหล่อน ชื่อว่า รูดอล์ฟ โลเรนซ์ (Rudolf Lorenz) และโรเบิร์ต ฟิลิปป์สัน (Robert Philippson) ทั้งหมดเป็นคนเยอรมัน
ครอบครัวสวาทนี้เปลี่ยนสวนเอเดนแห่งนี้ให้เร่าร้อนยิ่งกว่าเดิม เธอพกปืนและต้อนรับนักท่องเที่ยว พาชมเกาะ เขียนจดหมายตอบแฟนๆ ไม่นาน ช่างภาพนักข่าวก็ขึ้นเกาะเพื่อสำรวจ ถ่ายภาพสัมภาษณ์ครอบครัววิตต์เมอร์และหมอริตเตอร์กับชู้รักยิ่งกว่าเดิม
จากที่หวังจะอยู่อย่างปลีกวิเวก บัดนี้พวกเขากลายเป็นสวนสัตว์มนุษย์ไปแล้ว กระนั้นหากพิจารณาอีกมุม มันก็เป็นโอกาสทองของการหาเงิน และบารอนเนสสาวเห็นในสิ่งนี้
หญิงสาวกับสองชู้รัก ลงมือสร้างบ้านพักที่นี่ โดยมีคนใช้ชาวเอกวาดอร์คอยช่วยเหลือ ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังประกาศอภิมหาโครงการว่า จะสร้างโรงแรมหรูขึ้น เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้พักอาศัย สำรวจเกาะ และเยี่ยมชมครอบครัวคนขาวที่อยากเป็นคนเถื่อนได้สะดวกยิ่งกว่าเดิม
เพียงแค่นี้ ก็ดึงดูดผู้คนเป็นอย่างมากแล้ว
อย่างไรก็ดีโครงการนี้ขัดกับความตั้งใจของ 2 ครอบครัวที่อาศัยอยู่ก่อนหน้านั้น ความเบื่อหน่ายที่ต้องตอบคำถามสื่อ ซึ่งเดินทางมาทำข่าวอย่างต่อเนื่อง ความตึงเครียดที่ต้องเจอนักท่องเที่ยว มันนำไปสู่ความขัดแย้งของผู้อาศัยในเกาะเรียบร้อยแล้ว
เมื่อฝ่ายหนึ่งต้องการสถานที่เปลี่ยววิเวก ขณะที่อีกฟากต้องการทำเป็นแหล่งท่องเที่ยว
ทุกอย่างลงเอยด้วยการโต้เถียง ปะทะทางคำพูด และเมื่อไม่อาจหยุดยั้งหรือเปลี่ยนใจบารอนเนสสาวที่จะสร้างสวรรค์บนเกาะแห่งนี้ขึ้นมาได้
และแล้วจุดเริ่มต้นของจุดจบก็มาถึง ในปี 1934 สถานการณ์ระหว่าง 3 ครอบครัวเลวร้ายลงกว่าเดิม เพราะฤดูแล้งมาเยือนสวนเอเดนแห่งนี้ การเพาะปลูกไม่เป็นผล ทุกคนเริ่มอดอยาก สัตว์ที่เลี้ยงไว้ก็หายไป จนเกิดความระแวงระหว่างหมอริตเตอร์กับครอบครัววิตต์เมอร์ว่า ต่างฝ่ายขโมยของกันไปมาหรือไม่
นอกจากนี้บารอนเนสสาวยังแอบอ่านจดหมายคนอื่น พูดจาให้ร้ายไปทั่ว เพื่อดึงความสนใจนักท่องเที่ยวให้มุ่งมาที่เธอเพียงผู้เดียว บัดนี้เพื่อนบ้านทั้ง 3 ต่างอยู่กันอย่างหวาดระแวง และริษยาไม่พอใจกันไปมา
และแล้วหายนะก็เริ่มขึ้น สวนเอเดนสุดงดงาม กลับกลายเป็นสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม ในที่สุด
4.
วันที่ 27 มีนาคม ปี 1934 บารอนเนสสาวกับชู้รักฟิลิปป์สัน หายตัวไปจากเกาะแห่งนี้ ภรรยาของไฮนส์ วิตต์เมอร์ เขียนในบันทึกว่า ก่อนการหายตัวไป หญิงสาวได้เดินมาที่บ้านของพวกเขา บอกว่ามีเพื่อนล่องเรือมาหา และชวนไปเที่ยวเกาะตาฮิติ โดยไม่ได้พาโลเรนซ์ คนรักอีกคนไปด้วย
“พวกเขาทิ้งทุกอย่าง ไม่ได้หยิบทรัพย์สินอะไรไป ก่อนจะออกเดินทาง แล้วหายตัวไปตลอดกาล”
ผ่านไป 1 อาทิตย์ ไม่มีเรือลำใดแล่นมาจากเกาะตาฮิติ ไม่มีข่าวหญิงสาว แถมคนบนเกาะก็ไม่มีใครเห็นบารอนเนสสาวกับชู้รัก
สิ่งนี้ทำให้นักท่องเที่ยว คนเรือต่างแปลกใจ ข่าวดังกล่าวรับรู้ไปถึงยุโรปที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว แต่ก็จุดกระแสสงสัยแก่คนทั้งโลก หรือมันจะมีฆาตกรรมเกิดขึ้นที่เกาะกันดารแห่งนี้
หลายวันต่อมา โลเรนซ์รีบหนีจากเกาะแห่งนี้ โดยอ้อนวอนคนเรือชาวนอร์เวย์ ให้พาเขาไปด้วย เพื่อจะได้เดินทางกลับยุโรป
โลเรนซ์หายตัวจากเกาะฟลอเรียนาได้เดือนเดียว ก็มีคนพบเขากับเพื่อนชาวนอร์เวย์ที่ชายหาดของเกาะแห่งหนึ่งในสภาพไร้ลมหายใจ ไม่มีหลักฐานว่าทั้งสองเดินทางมาที่จุดนี้ได้อย่างไร เพราะมันอยู่ห่างจากฟลอเรียนา ถึง 210 กิโลเมตร แถมเรือของพวกเขาก็สาบสูญไปด้วย
ความตายของทั้งคู่ กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั้งโลก
แต่ความเลวร้ายยังไม่จบสิ้นเพียงเท่านี้
เดือนพฤศจิกายน 1934 หมอริตเตอร์นั่งลงกินอาหารที่บ้านของเขา ก่อนจะล้มป่วยและเสียชีวิต เมื่อมีการตรวจสอบพบว่า ชายหนุ่มกินไก่ที่ปรุงไม่สุก จนอาหารเป็นพิษ และเพราะอยู่ห่างไกลความเจริญศิวิไลซ์ จึงตายอย่างอนาถ
กระนั้นสิ่งที่ชวนให้ทั้งโลกขมวดคิ้ว นั่นก็คือบันทึกและพยานที่เคยพบหมอริตเตอร์ ยืนยันว่า “เขาเป็นมังสวิรัติ กินแต่ผัก ทำไมวันนั้น เขาถึงกินไก่ล่ะ”
3 ศพ กับ 2 ผู้สาบสูญ ทำให้เกาะเอเดน สวรรค์ในโลกใบนี้ ล่มสลาย ถึงแก่กาลอวสาน แต่ความอื้อฉาว ดันไม่ทำให้นักท่องเที่ยวลดน้อยลง ความตายและโศกนาฏกรรมกลายเป็นแหล่งดึงดูดให้คนเดินทางมาที่นี่มากกว่าเดิม เพื่อไขเรื่องราว ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่
จากเกาะห่างไกลยากลำบาก มันถูกพัฒนายกระดับเป็นแหล่งท่องเที่ยว เพราะการฆาตกรรม ซึ่งถูกสื่อเรียกขานเป็นนามติดปากคนทั้งโลกว่า คดีปริศนาแห่งเกาะกาลาปากอส
คนที่มาฟลอเรียนา นอกจากชมความงามของธรรมชาติแล้ว ก็พยายามค้นหาคำถามที่ยังสงสัยอยู่ ใครคือฆาตกรสังหารบารอนเนสสาว ชู้รัก และหมอริตเตอร์ กันแน่
5.
หลังเกิดเรื่อง สเตราช์ชู้ม่ายของหมอริตเตอร์ ตัดสินใจเดินทางกลับเยอรมัน และเขียนหนังสือ ส่วนครอบครัววิตต์เมอร์เลือกที่จะลงหลักปักฐาน ณ เกาะแห่งนี้ต่อ เพื่อรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายิ่งขึ้น
พอสงครามโลกครั้งที่ 2 จบ มันก็กลายเป็นสถานที่น่าดึงดูด เมื่อการเดินทางสะดวกยิ่งขึ้น ไม่นานโรงแรมที่พักสุดงามตามที่บารอนเนสสาวเคยวาดไว้ ก็ถูกสร้างขึ้นจากการระดมทุนของครอบครัววิตต์เมอร์นั่นเอง
ที่จริงแล้ว หลังเกิดเรื่อง ทางการของเกาะกาลาปากอสเข้ามาสืบสวน เชื่อว่าหมอริตเตอร์ตายเพราะอุบัติเหตุ และยังยืนยันว่าบารอนเนสกับฟิลิปป์สันหายสาบสูญ ส่วนการเสียชีวิตของโลเรนซ์และคนเรือชาวนอร์เวย์ ไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ความตายอลหม่าน ดันกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งดึงดูดคนให้มาชมความงามผสมความมีเงื่อนงำของฟลอเรียนามากกว่าเดิม และทวีคูณความอื้อฉาว เมื่อมีหนังสือจากพยานที่อยู่บนเกาะเขียนขึ้นชี้ว่าใครคือฆาตกร
เริ่มจากสเตราช์ได้เขียนหนังสือบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 1936 เธอเชื่อว่าครอบครัววิตต์เมอร์ร่วมมือกับโลเรนซ์ฆ่าบารอนเนสสาว กับฟิลลิป์สัน เพราะไม่ชอบใจและรำคาญอีกฝ่าย ก่อนนำร่างไปเผาจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก
ขณะที่ภรรยาของไฮนส์ วิตต์เมอร์ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรม และมีชีวิตยืนยาวถึงปี 2000 ก่อนจะตายจากโลกด้วยวัย 96 ปี ก็ได้เขียนหนังสือบอกเล่าปริศนาในเกาะแห่งนี้ว่า คนที่ฆ่าหมอริตเตอร์นั้น ก็คือสเตราช์นั่นแหละ ที่ทำไก่ไม่สุก จนคนรักตาย
โดยมีข้อมูลยืนยันว่าก่อนหมอจะจากโลก เขารู้ว่าหญิงสาวที่เขาหอบมาจากเยอรมัน คือฆาตกร และได้ก่นด่าสาปแช่งก่อนหมดลมหายใจด้วย ทั้งสองต่างโจมตีกันไปมาว่าอีกฝ่ายเป็นฆาตกร ท่ามกลางข้อสงสัยของคนทั้งโลก
มันเป็นแค่การกล่าวหา
หรือมันคือความจริงกันแน่
หลายปีผ่านไป มีคนสนใจเจาะลึก และตีแผ่เรื่องราวเหล่านี้มากยิ่งขึ้น สิ่งที่มากไปกว่าความตายถูกเผยแพร่ออกมา แต่ไม่มีบทสรุปที่ชัดเจน
นักข่าวที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับคดีปริศนานี้ ทำได้เพียงระบุว่า “นี่คือเรื่องราวของ 3 ครอบครัวที่เลือกทิ้งชีวิตในยุโรปมุ่งหน้าสู่สถานที่กันดาร กระเสือกกระสนมุ่งมั่นจะเปลี่ยนขุมนรกที่ลำบาก ให้กลายเป็นสวนเอเดนให้ได้”
แต่น่าเสียดายที่พวกเขามีภาพกันคนละอย่าง และลงมือทำแตกต่างกัน จนนำไปสู่ความขัดแย้ง และจบลงอย่างโหดร้าย
เวลานี้ เราไม่อาจรู้ว่า ใครคืออยู่เบื้องหลังเรื่องอื้อฉาวทั้งหมดนี้ อาจเป็นเพราะหลักฐานไม่ละเอียด ไม่ครอบคลุม และไม่อาจระบุได้ ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
นักข่าวที่เจาะลึกประเด็นนี้ จึงได้แต่ทิ้งท้ายบทสรุปของคดีปริศนาไว้ว่า
“ยากจะเชื่อว่า การเดินทางค้นหาสรวงสวรรค์ของมนุษย์ จะลงท้ายกลายเป็นโศกนาฏกรรม ที่ผ่านไปเกือบ 100 ปี ก็ยังไม่มีผู้ใดรู้ว่า ใครคือฆาตกร และคำถามชวนสงสัยดังกล่าว ก็ยังไร้คำตอบ…ไร้การคลี่คลาย ..จนถึงปัจจุบัน..”
อ้างอิงจาก