เมื่อไม่นานมานี้ มีการตั้งสมมุติฐานว่าฝรั่งเศสแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 แบบแปลกๆ ซึ่งในฐานะผู้สนใจในประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงอยากจะเขียนถึงเหตุการณ์นี้ตามหลักฐานเชิงประจักษ์ที่นักประวัติศาสตร์ได้ศึกษาไว้เป็นคุณูปการแก่คนรุ่นปัจจุบันให้ได้รู้จักความเลวร้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2
ชนวนเหตุกับแนวป้องกันสุดอลังการ
ความตึงเครียดของชาติในยุโรปในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มจากความพยายามขยายดินแดนของเยอรมนีภายใต้การปกครองของพรรคนาซีนำโดย อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) เมื่อเยอรมันกลืนประเทศออสเตรีย เชโกสโลวาเกียเพื่อขยายอาณาจักรไรซ์ที่ 3 อันยิ่งใหญ่ แม้จะมีความพยายามต่อต้านจากประเทศรอบข้าง แต่สุดท้ายรัฐบาลอังกฤษกลับอ่อนข้อให้เยอรมันเพราะไม่ต้องการเริ่มสงครามครั้งใหม่
แต่พลันที่เยอรมนีรุกรานโปแลนด์ สันติภาพก็ไร้ค่า อังกฤษและฝรั่งเศสเหลืออดกับการรุกรานของเยอรมนีแล้ว จึงตัดสินใจประกาศสงครามทันที กลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเวลาต่อมา แต่การประกาศสงครามนี้จะยังไม่มีการรบจริงจัง ต่างฝ่ายต่างจดๆ จ้องๆ กันอยู่หลายเดือนทีเดียว
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 กองทัพฝรั่งเศสได้ก่อตั้งแนวป้องกันในพรมแดนฝรั่งเศสตอนใต้ที่ประชิดเยอรมันลากยาวไปถึงตอนใต้ของเบลเยี่ยม แนวป้องกันนี้ชื่อว่า แนวมาจีโนต์ เป็นแนวป้องกันนี้มีป้อมปราการใต้ดินขนาดใหญ่ 22 แห่ง ป้อมขนาดเล็กอีก 36 แห่ง มีการวางเครื่องขวางรถถัง กับระเบิดมากมาย เพราะฝรั่งเศสเชื่อว่าหากเยอรมันจะบุก มันก็ต้องเข้ามาทางแนวนี้เหมือนเช่นที่เคยทำในสงครามโลกครั้งที่ 1
อย่างไรก็ดีในช่วงตอนเหนือของแนวมาจีโนต์นั้น คือระหว่างตอนใต้เบลเยี่ยมกับตอนเหนือของฝรั่งเศส มีป่าอาร์เดนส์เป็นพรมแดนกั้นทางธรรมชาติ โดยป่าแห่งนี้ มีถนนเส้นเล็กๆ สูงชันและมากด้วยต้นไม้ กองทัพฝรั่งเศสมั่นใจว่าไม่มีทางที่รถถัง หรือกองทัพใดในโลกหล้าจะฝ่าแนวนี้เข้ามาได้ จึงวางกำลังป้องกันน้อยมาก
ความมั่นใจนี้จะกลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์ของสงครามโลกครั้งที่ 2
รุกแบบสายฟ้าฟาดและแผนการณ์สุดแหกคอก
วันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ.1940 หลังจากจดๆ จ้องๆ กันมานาน ในที่สุดเยอรมนีก็ตัดสินใจบุกยึดประเทศต่างๆ โดยส่งพลร่มโดดจากเครื่องบินและส่งกองทัพรุกรานเบลเยี่ยมและเนเธอร์แลนด์ ตอนนั้นฝรั่งเศสวางกองกำลังที่ดีสุดตามแนวมาจีโนต์และส่งทหารจำนวนมากร่วมกับกองทัพอังกฤษไปช่วยยันนาซีที่เบลเยี่ยม
การรุกรานของเยอรมันนั้นประสบความสำเร็จชนิดที่ว่าเคลื่อนทัพกันว่องไวมาก รถถังของเยอรมนีนั้นมีประสิทธิภาพ มีการติดระบบวิทยุเชื่อมโยงคุยกับสายบังคับบัญชา ไม่เพียงเท่านั้นการจัดการสื่อสารระหว่างรถถัง ทหารราบและเครื่องบินก็ยอดเยี่ยม ระบบยุทโธปกรณ์ น้ำมันอาหารก็พร้อมเต็มที่ โดยการเคลื่อนพลแบบนี้ได้รับการเรียกขานว่าการรุกแบบสายฟ้าฟาด ซึ่งเยอรมันได้ใช้กันมาตั้งแต่บุกโปแลนด์แล้ว และได้ปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยมา ศึกครั้งนี้กองทัพเยอรมนีขนทหารมา 4 ล้านคนบุกแบบสายฟ้าฟาดจนทำให้ข้าศึกตั้งตัวไม่ทัน
เดิมทีเหล่านายพลเยอรมนีรู้เป็นอย่างดีว่ากองทัพฝรั่งเศสเข้มแข็งขนาดไหน ถ้าบุกเข้าตามแนวมาจีโนต์ ก็เท่ากับฆ่าตัวตายแน่ๆ ถ้าบุกทางเบลเยี่ยมก็จะต้องเจอกับกองทัพฝรั่งเศสและอังกฤษรวมกำลังกันพิฆาต ตอนนั้นกองทัพเยอรมนียังไม่พร้อมจะทำสงครามอย่างเต็มรูปแบบ หรือเอาเข้าจริงพวกเขายังไม่พร้อมจะเปิดฉากสงครามโลกดังที่ฮิตเลอร์ตั้งใจไว้จริงๆ ด้วยซ้ำ
เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ นายพลอีริช ฟอน มันสไตน์ (Erich Von Manstein) จึงเสนอแผนการที่บ้าบิ่นแหกคอก นั่นก็คือบุกผ่านป่าอาร์เดนส์ไปเลย ทำในสิ่งที่ข้าศึกคาดไม่ถึง เพราะนายพลฝ่ายตรงข้ามเชื่อว่าเยอรมนีจะบุกปูพรมหลายจุดตามแนวมาจีโนต์ ดังนั้นก็ควรแก้ทางโดยการบุกที่จุดเดียว และป่าแห่งนี้แหละคือแนวบุกนั้น เมื่อทะลวงได้มันจะเป็นเคียวตัดฉีกข้าศึกแล้วสามารถทะลวงไปถึงช่องแคบอังกฤษทางตอนเหนือ แถมยังบุกมาทางใต้ฝรั่งเศสอย่างง่ายดายด้วย
ที่สำคัญไม่ต้องกังวลว่าการบุกเบลเยี่ยมกับเนเธอร์แลนด์จะถูกยันโดยกองทัพอังกฤษ ฝรั่งเศส เพราะเมื่อตัดออกจากป่าได้ ข้าศึกจะเจอเข้ากับการตลบหลังจนทำอะไรไม่ถูกแน่นอน
เดิมทีนั้น ฮิตเลอร์คัดค้านแผนนี้ แต่เมื่อเห็นความเชื่อมั่นของนายพลและถูกโน้มน้าวใจ จึงยอมอนุมัติ และเมื่อรถถังทหารราบเยอรมันเคลื่อนพลผ่านป่าอาร์เดนส์ได้สำเร็จภายใต้การคุ้มฟันของกองทัพอากาศ มันก็ทำลายความเชื่อว่ารถถังเคลื่อนผ่านป่านี้ไม่ได้ไปในฉับพลัน
กลศึกของเยอรมันครั้งนี้
ทำเอากองทัพที่ยิ่งใหญ่ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส
ซึ่งมีอาณานิคมทั่วทั้งโลกต้องย่อยยับปราชัยไปเลย
ยิ่งเมื่อกองทัพเยอรมนีทะลวงผ่านป่า พวกเขาเข้าจัดการทหารฝรั่งเศสในบริเวณนั้นอย่างสบายมือ และเข้าสู่ดินแดนฝรั่งเศสอย่างที่หลายฝ่ายคาดไม่ถึงเพราะถูกตลบหลังตามแผนที่วางไว้จนเสียกระบวนท่าอย่างมาก ถึงขั้นทำให้กองทัพอังกฤษโดนกวาดต้อนต้องถอยทัพไปที่เมืองดันเคิร์ก จนต้องระดมเรือทั้งกองทัพและพลเรือนมาอพยพทหารกลับประเทศไปแบบหมดสภาพ แม้การอพยพครั้งนี้จะถูกเรียกว่าเป็นปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ แต่อังกฤษต้องตั้งรับมือกับกองทัพเยอรมนีเป็นเวลานานทีเดียว กว่าจะได้ตีโต้กลับก็ต้องรอกำลังของสหรัฐอเมริกาเข้ามานำการรบในอีกหลายปีต่อจากนี้
กรุงแตกกับโบกี้เดิม แค่สลับผู้แพ้ผู้ชนะ
เมื่ออังกฤษถอยทัพ กองทัพเยอรมนีที่กำลังห้าวขั้นสุดจึงรวบรวมกำลังทะลวงบุกทะยานแบบสายฟ้าฟาดขั้นรุนแรง ตีร่นกองทัพฝรั่งเศสที่แม้จะสู้อย่างเข้มแข็ง แต่ก็ต่อกรเยอรมนีไม่ไหวแล้ว รบกันได้แค่เดือนกว่าๆ ในวันที่ 14 มิถุนายน เดือนกว่าๆ หลังเปิดฉากบุก กรุงปารีสเมืองหลวงฝรั่งเศสก็ถูกตีแตก ในวันที่ 16 มิถุนายน แม้ฝรั่งเศสจะพยายามย้ายเมืองหลวง แต่ถึงตอนนี้วีรบุรุษสงครามโลกครั้งที่ 1 อย่างนายพลฟิลิป เปแต็ง (Philippe Pétain) ได้ขอให้รัฐบาลยอมแพ้เพื่อรักษาชีวิตคนและเขาได้ก้าวมาเป็นผู้นำรัฐบาลไปลงนามยอมแพ้กับเยอรมันในเวลาต่อมา
ซึ่งความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสนี้
ถือเป็นการปิดฉากสาธารณรัฐที่ 3
ไปแบบชอกช้ำใจสุดๆ
นายพลเปแต็งนั้นเป็นผู้นำรัฐบาลหุ่นเชิดของเยอรมนี มีที่ทำการรัฐบาลปลอมๆ ในเมืองตอนกลางของประเทศที่ชื่อว่า วีชี หน้าประวัติศาสตร์จึงได้เรียกรัฐบาลฝรั่งเศสสุดอัปยศนี้ว่ารัฐบาลวีชี มีอำนาจอยู่ไม่มาก กินไปทางตอนใต้ฝรั่งเศส และพอถึงจุดหนึ่งเยอรมนีก็กุมอำนาจแผ่นดินฝรั่งเศสไว้ทั้งหมด นั่นรวมถึงการกวาดล้างชาวยิวในฝรั่งเศสไปฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วย
ชัยชนะครั้งนี้ทำให้ฮิตเลอร์ผยองและภูมิใจมากขึ้น เขาสั่งให้มีพิธีลงนามสนธิสัญญายอมแพ้สงบศึกที่ป่ากองเปียน จุดที่เยอรมนีเคยยอมแพ้ฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยฮิตเลอร์ยังสั่งให้ไปลากโบกี้รถไฟหนึ่งจากพิพิธภัณฑ์ ความพิเศษของโบกี้รถไฟตู้นี้คือ ในสงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมนีได้เซ็นสัญญายอมแพ้แก่ฝรั่งเศสในโบกี้นี้ ผ่านไปหลายสิบปี ตู้รถไฟนี้ก็ได้กลับมาทำหน้าที่รับรู้การเซ็นสัญญาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้สถานการณ์กลับสลับผู้แพ้ผู้ชนะกันใหม่แทน
ความบอบช้ำของฝรั่งเศสยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ เพราะพลันที่ฝรั่งเศสประกาศยอมแพ้ วินสตัน เชอร์ชิล (Winston Churchill) นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ออกประกาศคำสั่งไปยังกองทัพเรือฝรั่งเศสให้ย้ายกำลังมาที่ฐานทัพอังกฤษ หรือไม่ก็เคลื่อนไปยังท่าเรือประเทศเป็นกลาง โดยกำหนดเส้นตายไว้ในวันที่ 3 กรกฎาคมเพื่อป้องกันไม่ให้เยอรมนีเอาเรือรบไปใช้ แต่กองทัพเรือฝรั่งเศสไม่ยอมทำตาม กองทัพอังกฤษจึงยิงถล่มเรือจนจมลงสู่ก้นทะเลมีคนตายไปอีกพันกว่าราย กลายเป็นความเสียหายที่เจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง
การรุกรานฝรั่งเศสเริ่มต้นในวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ.1940 จบลงในวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ.1940 หลังการเซ็นสัญญาหยุดยิงมีผลโดยสมบูรณ์ ชัยชนะตกเป็นของเยอรมันนาซีอย่างเจ็บปวด และมันจะยิ่งแสบซ่านมากไปอีกเมื่อฮิตเลอร์นำขุนพลนาซีและเหล่านายพลเยี่ยมชมกรุงปารีส ดูหอไอเฟล ประตูชัยเที่ยวเล่นชมอาณานิคมใหม่ ซึ่งกว่าฝรั่งเศสจะเผชิญกับการปลดปล่อยก็ต้องรอถึงวันดีเดย์ 6 มิถุนายน ค.ศ.1944 ที่ชาติสัมพันธมิตรรวมกำลังยกพลขึ้นบกที่นอร์มันดี อันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งจุดจบของมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้
ทำไมฝรั่งเศสถึงแพ้
เอาเข้าจริง ฝรั่งเศสในตอนนั้นเป็นกองทัพที่มีกำลังเยอะมาก พวกเขามีทหารประจำการถึง 5 ล้านคน ตอนทำสงครามกับเยอรมนีนั้น กำลังพวกเขาเหนือกว่าทั้งกำลังคนและรถถัง อุปกรณ์ทั้งทัพเรือ หรือปัจจัยอื่นๆ ก็ครบครัน และตอนปะทะกันจริงๆ มีหลายครั้งที่กองทัพเยอรมนีโดนตีโต้โดยทหารหาญฝรั่งเศสที่รบแบบสุดชีวิตพลีกายให้แผ่นดิน
แล้วอะไรล่ะคือปัญหาจริงๆ ในการแพ้เยอรมนี
ชนิดที่ว่ารวดเร็วเพียงเดือนกว่าๆ เท่านั้น
ตรงนี้นักประวัติศาสตร์เห็นตรงกันว่า เหล่านายพลฝรั่งเศสนี่แหละคือผู้ที่ทำให้เกิดความพ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้ พวกเขาคิดว่าการศึกกับเยอรมนีในปี ค.ศ.1940 นั้น จะใช้ยุทธวิธีและยุทธศาสตร์เดียวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 พวกเขาไปสร้างแนวป้องกันอันอลังการแต่ไร้ค่าไม่มีประโยชน์อะไรเลย ความโบราณไม่ปรับตัวก่อเกิดเป็นความผิดพลาด ทำให้ฝรั่งเศสพ่ายสงครามอย่างน่าอัปยศเสียได้ ขณะที่รถถังเยอรมนีทรงพลานุภาพมาก แต่รถถังฝรั่งเศสที่มีจำนวนมากกว่า กลับไม่ปรับปรุงอะไรเลย ถึงขนาดที่ว่าตอนรบกันนั้น ทหารฝรั่งเศสในรถถังไม่สามารถสั่งการวิทยุหากันได้ ต้องโบกธงเป็นสัญญาณแทน ซึ่งความโบราณไม่ทันโลกของเหล่านายพลทั้งหลายนี้เอง ที่ทำให้เยอรมันซึ่งมีนายพลที่เฉียบแหลม หัวก้าวหน้า ก้าวทันโลกและกล้าได้กล้าเสียกว่าบุกโจมตีฝรั่งเศสจนหมดท่าไปได้
อย่างไรก็ดีชัยชนะของฝรั่งเศสนี้ ทำให้กองทัพเยอรมนีเหลิง โดยเฉพาะฮิตเลอร์และนาซี พวกเขาคิดว่าตัวเองเก่งกาจเป็นอย่างยิ่ง และยังคงใช้วิธีการเดิมๆ ในการทำสงครามคือรุกแบบสายฟ้าฟาด และดันเปิดแนวรบเยอะไปหมด ทั้งต้องคุมประเทศที่ยึดครอง ต้องรบในแอฟริกา และดันไปเปิดแนวรบกับสหภาพโซเวียตด้วย ตัวฮิตเลอร์เองก็ไม่ฟังเสียงคัดค้านของนายพล สภาก็ไม่มีฝ่ายค้าน นาซีต่างเชื่อมั่นในตัวเองจนเกิดทิฐิอหังการ จนสมรภูมิกับโซเวียตซึ่งได้วางแผนรับมือกับการรบแบบสายฟ้าฟาดเป็นอย่างดี ทำให้กองทัพนาซีถึงกับย่อยยับและทำให้เยอรมนีเริ่มต้นแพ้สงครามโลกไปแบบพังทลายอย่างช้าๆ
สรุป
หน้าประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 บันทึกเรื่องราวมากมาย ทั้งกลศึก ความก้าวหน้าและความโหดร้ายแห่งสงคราม การพยายามจะเข้าใจประวัติศาสตร์ช่วงนี้ควรได้รับการศึกษาอย่างถูกต้อง แถมข้อมูลอ้างอิงก็มีให้อ่านเชิงประจักษ์กันมากมาย
โดยบทเรียนจากสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น เราควรได้รับฟังอ่านอย่างครบถ้วน ไม่ใช่คิดเอาเอง ซึ่งถือเป็นการลบหลู่เกียรติของผู้เสียชีวิตในความเลวร้ายครั้งนั้น ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ไม่มีโอกาสได้เห็นโลกใหม่ที่ต่างคาดฝัน หวังว่ามันจะดีกว่าวันวาน