แน่ชัดแล้วว่าภาพยนตร์เกาหลีใต้ Exhuma (ชื่อไทย ‘ขุดมันขึ้นมาจากหลุม’) น่าจะกลายเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์สำคัญของปี 2024 ณ ปลายเดือนมีนาคม หนังทำเงินอันดับหนึ่งในบ้านเกิดมา 5 สัปดาห์ติดต่อกัน ยอดผู้ชมทะลุ 10 ล้านคนไปแล้วเรียบร้อย ส่วนในประเทศไทย เท่าที่ผู้เขียนลองสำรวจดูก็พบว่าคนดูแน่นขนัดเกือบทุกรอบ
*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์ Exhuma*
เนื้อหาของ Exhuma ว่าด้วยเหล่าสัปเหร่อและคนทรงที่เข้าไปพัวพันกับการขุดหลุมศพของครอบครัวเศรษฐีจนได้เผชิญกับความเฮี้ยนต่างๆ นานา แม้ฉากหน้าจะดูเป็นหนังผี แต่ขอประกาศชัดเลยว่าคนกลัวผีก็ดูหนังเรื่องนี้ได้เพราะมันแทบไม่มีฉากตุ้งแช่ (หรือ jump scare) แต่เน้นไปที่บรรยากาศไม่น่าไว้วางใจ นอกจากนั้นเหล่านักแสดงยังเล่นได้สมบทบาท ตามข้อมูลเบื้องหลังว่าพวกเขาไปเรียนรู้การประกอบพิธีกรรมจากหมอผีเพื่อความสมจริง
ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คำถามยอดฮิตจากนักศึกษาภาพยนตร์ต่อผู้เขียนคือ “ชื่อหนังอ่านว่าไรอะจารย์?” (เฉลย: เอ็ก-ซู-ม่า) และ “หนังกำลังแซะญี่ปุ่นหรือเปล่าครับเนี่ย” อย่างที่สุดท้ายหนังเฉลยว่าบรรพบุรุษของเศรษฐีแท้จริงเป็นพวกขายชาติไปเข้าพวกกับฝั่งญี่ปุ่น ส่วนบอสใหญ่ที่เป็นต้นตอเรื่องราวทั้งหมดคือผีขุนนางญี่ปุ่น
อันที่จริงแล้ว Exhuma อาจจัดเป็นหนังกระแสหลักเพื่อคนหมู่มาก ดังนั้นแม้จะไม่ทราบภูมิหลังความขัดแย้งของญี่ปุ่น-เกาหลีก็สามารถดูหนังเรื่องนี้อย่างเพลินๆ (ต่างจากหนังแบบ The Zone of Interest ที่ถ้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในค่ายเอาชวิทซ์ ก็คงไม่เข้าใจเลย) แต่ก็ตั้งข้อสังเกตได้ว่าหนังผีหนังสัตว์ประหลาดจากเกาหลีที่ทำเงินมหาศาล ล้วนมีประเด็นทางสังคมเจืออยู่ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาต่อเกาหลีใน The Host (2006) หรือการปกปิดข้อมูลข่าวสารของรัฐบาลใน Train to Busan (2016)
แน่นอนว่าหากทราบความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ก็จะเข้าถึง Exhuma ได้อย่างลึกซึ้งขึ้น หากสรุปแบบกระชับคือเกาหลีตกอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่นอยู่นานถึง 35 ปี (ปี 1910-1945) เรื่องเลวร้ายคือผู้ชายเกาหลีถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานหนักในญี่ปุ่น ส่วนผู้หญิงเกาหลีต้องไปเป็นนางบำเรอให้ทหารญี่ปุ่น (Comfort women)
แต่หลังจากญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สองจนถอนกำลังออกไป วิบากกรรมของเกาหลียังไม่จบลง สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตเข้ามาแบ่งเกาหลีออกเป็นฝั่งเหนือและใต้ ตามมาด้วยสงครามเกาหลี (1950-1953) ที่คนเกาหลีเหนือใต้ต้องฆ่ากันเอง นี่อาจเป็นเหตุผลที่ Exhuma จงใจให้พวกเศรษฐีอพยพไปอยู่อเมริกา แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นความแค้นของผีบรรพบุรุษที่ถูกลูกหลานทอดทิ้ง (ผีวาร์ปจากเกาหลีไปอเมริกาได้ ความอาฆาตนี่มันทรงพลังของแทร่)
ประเด็นที่น่าสนใจของ Exhuma คือการที่ผีสามารถวิวัฒนาการตัวเองให้อยู่รอดมาถึงยุคปัจจุบัน ราวกับเป็นอุปมาว่าอิทธิพลของการกดทับจากยุคอาณานิคมยังไม่จางหายไปไหน อันนี้อาจจะคล้ายกับหนังเรื่อง The Wailing (2016) ที่บรรยากาศคล้ายกันและหลายคนยกมาเปรียบเทียบ เรื่องหลังนั้นเล่าถึงหมู่บ้านที่คนพาล้มตายหลังจากคนญี่ปุ่นย้ายเข้ามาอยู่ ซึ่งอาจมีนัยถึงญี่ปุ่นบุกรุกเกาหลี ยิ่งไปกว่า The Wailing ยังบอกใบ้ว่าชายญี่ปุ่นนี้อาจร่วมมือกับคนเกาหลีบางคนด้วย ก็เป็นประเด็นการทรยศต่อชาติคล้ายกับ Exhuma
หลายคนอาจนึกสงสัยว่าดราม่าระหว่างเกาหลี-ญี่ปุ่นผ่านมาหลายสิบปีแล้ว ทำไมยังต้องพูดเรื่องนี้กันอยู่อีก หรือถ้าลองไล่เรียงดูจะพบว่าภาพยนตร์หรือซีรีส์ของเกาหลีบอกเล่าถึงยุคสมัยที่เกาหลีถูกญี่ปุ่นปกครองออกมาอยู่เรื่อยๆ อาทิ The Handmaiden (2016), The Age of Shadows (2016) หรือซีรีส์ Gyeongseong Creature (2023) ผู้เขียนคิดว่าหนึ่งในสาเหตุหลักคือญี่ปุ่นไม่เคยออกมาขอโทษเกาหลีอย่างเป็นทางการจากสิ่งที่กระทำลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งเรื่องการใช้แรงงานหนักหรือ Comfort women
แตกต่างจากการจัดการของเยอรมนีต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว อย่างน้อยที่สุดทั้งโลกก็จำได้ว่า วิลลี บรันดท์ (Willy Brandt) นายกรัฐมนตรีเยอรมนีตะวันตก เคยคุกเข่าขอโทษตรงหน้าอนุสาวรีย์วีรชนชาวโปแลนด์ต่อต้านนาซี ณ กรุงวอร์ซอ เมื่อปี 1970 หรือในแง่การศึกษา เด็กๆ ชาวเยอรมันจะเรียนเรื่องความเลวร้ายของนาซี (ซึ่งอาจเป็นบรรพบุรุษพวกเขา) ตั้งแต่ชั้นประถม (ดูประเด็นนี้ได้ในสารคดี Where to Invade Next (2015)) ส่วนตำราเรียนของญี่ปุ่นกลับไม่มีพูดถึงความโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อีกทั้งคนญี่ปุ่นยังขึ้นชื่อเรื่องความเฉื่อยทางการเมือง ไม่ค่อยสนใจทั้งการเมืองภายในและภายนอกประเทศ เช่นว่า คนญี่ปุ่นออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งกันค่อนข้างน้อย
เช่นนั้นแล้วดราม่าระหว่างเกาหลีและญี่ปุ่นจึงลากยาวมาถึงปัจจุบัน ถ้าให้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ไม่ว่าจะเป็น
- ในปี 2018 ศาลเกาหลีใต้ตัดสินบริษัทใหญ่ญี่ปุ่นต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับชายเกาหลีที่ถูกใช้เป็นแรงงานทาสในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่บริษัทเหล่านี้ปฏิเสธที่จะจ่าย อ้างว่ารัฐบาลญี่ปุ่นเคยให้เงินเยียวยาไปแล้วตั้งแต่ปี 1965 ต่อมาญี่ปุ่นตอบโต้เชิงเศรษฐกิจด้วยการลดการส่งออกสารเคมีที่ใช้ผลิตชิปแก่เกาหลี ฝั่งคนเกาหลีเลยออกแคมเปญงดซื้อสินค้าญี่ปุ่น ยอดขาย Uniqlo, Honda และ Toyota พากันตกฮวบ
- โอลิมปิก 2020 (ที่จัดปี 2021) มีภาพแผนที่วิ่งคบเพลิงทั่วประเทศญี่ปุ่น แต่ในแผนที่มีเกาะทาเคชิมะด้วย ซึ่งเกาะนี้เป็นพื้นที่พิพาทแย่งความเป็นเจ้าของกันระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลี (คนเกาหลีเรียกว่าเกาะด็อกโด) นอกจากนั้นหนังสือเรียนหลายเล่มของญี่ปุ่นยังระบุว่าเกาะทาเคชิมะเป็นของญี่ปุ่น
- คนเกาหลีใต้เรียกร้องให้งดใช้ธงชาติอาทิตย์อุทัย (Rising sun) ในโอลิมปิก 2020 เพราะเป็นธงที่ใช้ในช่วงล่าอาณานิคม แต่สุดท้ายก็มีคนญี่ปุ่นบางคนชูธงนี้อยู่ดี
- ทุกปีจะต้องมีดราม่าผู้นำญี่ปุ่นไปสักการะศาลเจ้ายาสุคุนิ ซึ่งมีป้ายสถิตวิญญาณของเหล่าทหารที่มีบทบาทในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง (ซึ่งเกาหลีมองว่าคืออาชญากรสงคราม) หรือฝั่งเกาหลี คุณย่าคุณยายที่ถูกจับไปเป็น Comfort women ก็ไปยืนประท้วงหน้าสถานทูตญี่ปุ่นในกรุงโซลอยู่เนืองๆ
สิ่งผู้เขียนคิดเล่นๆ ขึ้นมาและพบว่าน่าสนใจมากคือ Exhuma จะเข้าฉายในญี่ปุ่นหรือไม่ หรือถ้าได้ฉาย ค่ายหนังจะทำการโปรโมตอย่างไร เพราะนี่คือประเทศที่หนังเรื่อง Oppenheimer เพิ่งจะได้ฉายเมื่อ 29 มีนาคม 2024 พร้อมแถลงการณ์ยืดยาวจากค่ายหนัง ด้วยความละเอียดอ่อนเกี่ยวกับเหตุทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมะและนางาซากิ ทั้งที่ในหนัง Oppenheimer ไม่ได้มีภาพการทิ้งระเบิดที่ญี่ปุ่นเลยสักนิด และตัวหนังก็ไม่ได้เชิดชูว่านั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม
ขนาดรับมือกับ Oppenheimer ภาพยนตร์ที่ตัวเองเป็น ‘เหยื่อ’ ญี่ปุ่นยังวุ่นวายขนาดนี้ น่าคิดว่าใน Exhuma ที่ญี่ปุ่นเป็น ‘ผู้กระทำ’ พวกเขาจะรับมืออย่างไร? อาจจะไม่ฉาย หรือฉายแบบเงียบๆ แล้วก็ปล่อยเบลอไป เหมือนที่เคยทำมาตลอดหลายปี