คำเตือน : ข้อเขียนชิ้นนี้ประกอบไปด้วยคำว่า ‘หี’ อยู่หลายแห่ง ทั้งที่มีความหมายถึงอวัยวะเพศของผู้หญิงอย่างตรงตัว และที่มีความหมายเป็นคำด่า คำส่อเสียด คำหยาบโลน ไม่ว่าจะโดยตั้งใจ หรือว่าจะโดยอาการดัดจริต
เมื่ออะไรก็ตามที่เรียกว่า ‘กวี’ (ไม่ว่าจะเป็นการเรียกตัวเอง หรือคนอื่นเรียก) โดยเฉพาะกวีระดับเจ้าของรางวัลซีไรต์ ควบตำแหน่งศิลปินแห่งชาติ ออกมาเขียนร้อยกรอง, บทกวี (หรือจะเป็นอะไรก็ช่าง) ให้ใครต่อใครได้อ่านกัน มันก็คงจะเป็นบทร้อยกรองที่มีคนสนใจกันยิ่งกว่า กลอนที่ติดอยู่ตามวัด ซึ่งจะตาสีตาสา หรือหลวงตารูปไหน มาแต่งเอาไว้ก็ไม่มีใครรู้ เพราะไม่ได้มีคนสนใจเท่าไหร่นักนะครับ
และยิ่งเมื่อไม่ได้มีเฉพาะตัวของกวีซีไรต์เองเท่านั้นที่ได้มาแต่งร้อยกรองอะไรให้เราได้อ่านกัน แต่ยังมีเพื่อนฝูงของกวีมาร่วมด้วยช่วยแต่ง ซึ่งก็เป็นกวีอีกเหมือนกัน แถมยังเป็นกวีนักเคลื่อนไหว (ดังนั้นถึงจะไม่ได้เป็นกวีซีไรต์ หรือกวีศิลปินแห่งชาติ แต่ก็ไม่ใช่กวีไก่กาแหละเนอะ) มันก็ยิ่งเป็นอะไรที่ใครคาดหวังถึงรสนิยมแบบกวี ซึ่งมันก็ควรจะเต็มไปด้วยสุนทรียรสอันวิเศษ โดยเฉพาะเมื่อกวีจะเขียนอะไรถึงเหตุบ้านการเมืองครั้งสำคัญ
อาการน้ำในหูไม่เท่ากันไม่เพียงแต่พาคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนเดียวโด่เด่ของประเทศไทย (นี่ก็ควบตำแหน่ง ‘อีปูว์’ ของใครอีกหลายคน ไม่น้อยหน้ากวีที่ควบตำแหน่งเยอะๆ :P) หลุดออกนอกประเทศไป (สมใจใครๆ ที่ชอบไล่ใครต่อใครออกนอกประเทศ) แต่ยังทำให้พี่ๆ กวีคนดีกลุ่มนั้นพากันออกมาใช้คำว่า ‘หู’ แต่พาดพิงไปถึง ‘หี’ ด้วยเทคนิควิธีแบบเวรี่เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะภาษาไทยสไตล์ที่เรียกว่า ‘คำผวน’ ทั้งๆ ที่คดีความ และเหตุการณ์มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับอวัยวะเพศของใครเลยซักกะนิด
ดังนั้นที่บรรดาพี่ๆ กวีแอนด์เธอะแก๊งได้กระทำความ ‘โชว์ของ’ ออกมานั้น จึงไม่ใช่เฉพาะความสามารถทางภาษา และเทคนิคในการเขียน หรือประพันธ์บทร้อยกรองเท่านั้น เพราะที่มันทั้งทิ่มตา และแทงใจยิ่งกว่ากลวิธีการเขียนของพี่ๆ เขาก็คือ รสนิยม และอาการเหยียดในเหยียด โดยเฉพาะการเอาอวัยวะที่ใครที่มีอำนาจในสังคม กำชับอยู่บ่อยว่าให้สงวนเอาไว้ในที่ลับนี่แหละ
คำว่า ‘หี’ ที่แปลว่า ‘จิ๊มิของผู้หญิง’ เป็นคำเก่าแก่ในตระกูลภาษาไท-ลาว แต่ไม่ได้หมายความว่า คำคำนี้จะใช้ในพื้นที่จำกัดอยู่แค่อาณาบริเวณของประเทศไทย และลาวเท่านั้น เพราะยังพออยู่ในกลุ่มคนที่พูดภาษาเดียวกับเรานี้ในดินแดนทางตอนเหนือของเวียดนาม และบริเวณพื้นที่ทางตอนใต้ของประเทศจีนในปัจจุบันด้วย
ผลจากการสำรวจของนักภาษาศาสตร์ชื่อดังอย่าง วิลเลียม เจ. เก็ดนีย์ (William J. Gedney, คนนี้ก็ควบตำแหน่งไอดอล และครูตัวจริงของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า จิตร ภูมิศักดิ์) ได้พบว่า พวกไทสยาม, ไทขาว และไทดำทางตอนเหนือของเวียดนาม, ไทใหญ่ในรัฐฉาน, ไทเชียงใหม่ (ซึ่งเคยเรียกตัวเองว่า ลาว), ไทหนองคาย (ที่ใกล้ชิดกับศูนย์กลางของลาวอย่างเวียงจันทน์ ระดับแค่นั่งเรือข้ามฟากน้ำของก็ปะหน้ากันได้แล้ว) และไทเมืองอีกสารพัดกลุ่มในมณฑลกว่างซี ประเทศจีน ต่างเรียกอวัยวะเพศของผู้หญิงว่า ‘หี’ เหมือนๆ กันไปหมด
จะมีที่สำเนียงแตกต่างกันไปบ้างก็แค่ พวกไทนุง ซึ่งกระจายตัวอยู่แถบทางตอนเหนือของเวียดนาม ไปยันมณฑลกว่างซี ในจีน ที่เก็ดนีย์จดมาว่าออกเสียงคล้ายๆ กันว่า ‘ชี้’ ส่วนพวกไทเมืองหนิงหมิง (ปัจจุบันเมืองหนิงหมิงถือเป็นเมืองหลวงของมณฑลกว่างซี) จะออกเสียงว่า ‘หี’ หรือ ‘เห’ (ทำนองเดียวกับที่พวกเขาออกเสียงคำว่า ดี ว่า ‘ดี’ หรือ ‘เด’)
ผมไม่แน่ใจนักว่า เมื่อช่วงทศวรรษของ พ.ศ. 2490 ที่เก็ดนีย์ทำการสำรวจกลุ่มภาษาเหล่านี้ ผู้คนต่างๆ จะพูดคำว่า ‘หี’ ออกมาโดยรู้สึกตะขิดตะขวงใจ ปนผิดบาปราวกับไปฆ่าใครตาย เหมือนกับคนไทยในประเทศกรุงเทพในปัจจุบันนี้หรือเปล่า? แต่อย่างน้อย ในบันทึกของเก็ดนีย์ก็ไม่ได้ที่มีความหมายถึงอวัยวะเพศผู้หญิงคำอื่นอยู่เลย มีแต่คำว่าหีเพียวๆ นี่แหละ และเมื่อใครจะพูดถึงอวัยวะอะไรสักอย่างที่ผู้หญิงคนไหนๆ ก็มีเหมือนกันหมดอยู่แล้ว เขาจะมาเสียเวลาขวยเขินทำไมล่ะครับ?
แต่คำว่า ‘หี’ ในภาษาตระกูลไท-ลาว ยังไปพ้องเสียงกันกับคำว่า ‘หีน-’ (อ่านว่า หี-นะ) ในภาษาบาลี และสันสกฤต ที่พี่ไทยยืมเอามาใช้ในภาษาของตัวเองด้วย ที่ได้ยินกันบ่อยๆ ก็คือ คำว่า ‘หีนยาน’ ซึ่งก็คือชื่อนิกายในพระพุทธศาสนา ที่นิยมนับถืออยู่ในประเทศไทยนี่แหละ
คำว่า ‘หีน-’ ในภาษาบาลี และสันสกฤต แปลตรงตัวตามพจนานุกรมว่า “…บกพร่อง, วิกล…ถ่อย, ทรามหรือชั่ว; อันทิ้งแล้ว, อันเริดร้างหรือละทิ้งแล้ว…” (คำแปลจาก สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน โดยร้อยเอกหลวงบวรบรรณรักษ์ พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2507) ดังนั้นคำว่า ‘หีนยาน’ จึงหมายถึง ยานพาหนะที่ไม่ค่อยจะดีนัก ไม่ใช่ยานพาหนะแคบๆ อย่างที่คนไทยมักจะเข้าใจกันนะครับ
ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า คำว่า ‘หีนยาน’ นั้นถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยพวก ‘มหายาน’ เพื่อเรียกในเชิงดูแคลน โดยคำว่า มหายาน นั้นหมายถึงยานที่ยิ่งใหญ่ (ไม่ใช่ยานขนาดใหญ่ เหมือนที่ใครหลายคนในบ้านนี้ เมืองนี้ ชอบอธิบาย) เพื่อเป็นการเอาคืนฝ่ายหีนยาน ที่ชวนตีก่อนด้วยการเรียกพวกเขาว่า ‘อาจริยวาท’ หรือพวกที่เชื่อคำสอนของอาจารย์ ในขณะที่เรียกพวกตนเองว่า ‘เถรวาท’ คือเชื่อตามคำสั่งสอนของพระเถระ
หลักฐานง่ายๆ ที่แสดงให้เห็นว่า คนไทยรู้ความหมาย และไม่ค่อยชอบคำนี้นักก็คือการบิดเอาคำว่า ‘หีน-’ มาสะกดและออกเสียงเป็น ‘หิน-’ แล้วเรียกนิกายในศาสนาที่ตนเองอยากเอามาเป็นศาสนาประจำชาติเสียใหม่ว่า ‘หินยาน’ นั่นเอง
แต่ที่ไม่ชอบ ส่วนหนึ่งคงเพราะมันไปพ้องเสียงกับคำว่า ‘หี’ ที่หมายถึงอวัยวะเพศหญิงอีกด้วย แต่อวัยวะเพศทำไมมันกลายเป็นสิ่งไม่ดีไปได้ล่ะครับ เพราะในสมัยหนึ่งคนเกือบจะแทบทั้งโลกยังเคยนับถือเครื่องเพศไม่ว่าจะชาย หรือหญิง เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ต้องกราบไหว้บูชาเลยเสียด้วยซ้ำ (ที่จริงแล้วการบูชาเครื่องเพศก็ยังมีมาจนถึงปัจจุบัน เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในชุดความเชื่อกระแสหลักนัก ยกเว้น ศิวลึงค์ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู)
การพูดถึงอะไรที่มันส่อไปถึงเรื่องเพศ โดยเฉพาะอวัยวะต่างๆ ที่ชวนในระทึกในฤทัยพลันไปด้วยความรู้สึกเชิงเพศรส ถูกทำให้กลายเป็นสิ่งหยาบคาย ในวัฒนธรรมแบบวิคตอเรียน ที่มีศูนย์กลางอยู่ในราชสำนักของสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย ในประเทศอังกฤษ ซึ่งครองราชย์อยู่ระหว่าง พ.ศ. 2380-2444 ที่ยกย่องเจ้านายให้เป็น ‘ผู้ดี’ และเหยียดหยามสามัญชนว่าเป็น ‘คนเลว’ หรือ ‘คนบาป’
ในสมัยของพระนางนั้น ถ้าริจะเป็นผู้ดีแล้ว คำอย่าง ‘หน้าอก’ (breast) หรือ ‘สะโพก’ (hip) ยังถูกห้ามไม่ให้พูดเลยนะครับ จนถึงขนาดที่ว่า ถ้าใครอยากจะสั่งอกไก่ หรือสะโพกไก่มากินสักจาน ยังต้องเลี่ยงไปใช้คำว่า ‘white meat’ กับ ‘black meat’ ไปตามลำดับกันเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่ก็เป็นวัฒนธรรมแบบวิคตอเรียนนี่เอง ที่ผู้หญิงนิยมยัดอะไรเสริมอะไรเข้าไว้ในหน้าอก และสะโพก เสียจนพิลึกผิดธรรมชาติ
ประเทศไทยเองก็รับอารมณ์ความรู้สึก และอีกหลายๆ อย่างมากจากวัฒนธรรมแบบวิคตอเรียน พร้อมๆ กับการเข้ามาของกระแสล่าอาณานิคม ตั้งแต่ในช่วงรัชกาลที่ 3 แล้วเลยทีเดียว
ผลพวงของความคิดแบบวิคตอเรียนทำให้เกิดหนังสืออย่าง ‘นางนพมาศ’ ซึ่งคงเป็นพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 3 เอง ‘สุภาษิตสอนหญิง’ ที่เชื่อกันว่าเป็นผลงานของสุนทรภู่ หรือแม้กระทั่ง ‘กฤษณาสอนน้องคำฉันท์’ ของสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส
แต่เอาเข้าจริงแล้วหนังสือเหล่านี้ล้วนแต่เป็น ‘ตำราปฏิบัติผัว’ และสอนการวางตัวให้เป็นหญิงสูงศักดิ์ เป็นเบญจกัลยาณี (แม้จะเป็นแค่เมียน้อยก็ตาม) ซึ่งคงใช้ได้เฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงเท่านั้น (เอาแค่ว่าไพร่ทาสที่ไหนในสมัยนั้นจะสามารถไปเลือกหาเอาตำราพวกนี้มาอ่านได้? และถึงจะหยิบอ่านได้ก็ไม่น่าจะอ่านกันออกอยู่ดี) แต่วัฒนธรรมหลวงเหล่านี้ก็ทำให้บรรดานางไพร่ และนางขี้ข้าพลอยต้องปฏิบัติตามไปด้วย
การห้ามไม่ให้พูดถึงอะไรๆ ที่ส่อเสียดไปในทางเพศรส โดยเฉพาะอวัยวะส่วนต่างๆ ทั้ง หน้าอก และสะโพก ก็คงจะกลายเป็นมารยาทสำหรับดงผู้ดีสยามที่ไม่ควรเอ่ยถึงในพื้นที่สาธารณะไปด้วย ซึ่งก็แน่นอนว่า แม้แต่ ‘นม’ กับ ‘ตูด’ ยังพูดออกมาตรงๆ ไม่ได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับอวัยวะเพศไม่ว่าจะชาย หรือว่าหญิง?
หลักฐานชัดๆ อยู่ในพระราชประกาศในรัชกาลที่ 4 มีให้เพียบฉบับ เพราะพระองค์ทรงออกประกาศไม่ให้ใครต่อใครใช้คำศัพท์หลายคำ ด้วยพ้องเสียงบ้าง ผวนได้บ้าง จนมีความหมายสองแง่แต่สามง่ามอยู่บ่อยๆ ตัวอย่างเช่น ห้ามใช้คำว่า ‘ผักบุ้ง’ แต่ให้เรียกว่า ‘ผักทอดยอด’ แทน เพราะคำว่า ผักบุ้ง สามารถผวนกลายเป็นคำว่า ‘พุ่งบัก’ ซึ่งคำว่า ‘บัก’ ในภาษาอีสานหมายถึง ‘อวัยวะเพศชาย’ ได้ เป็นต้น
พูดง่ายๆ อีกทีก็ได้ว่า คำว่า ‘หี’ จึงกลายเป็นคำที่ไม่ควรพูดออกมาในที่สาธารณะมาตั้งแต่มารยาทแบบวิคตอเรียน เข้ามามีอิทธิพลกับดงผู้ดีของสยามนี่แหละนะครับ คำธรรมดาๆ ในสมัยหนึ่งเมื่อผ่านการผสมผสานและความซับซ้อนในทางวัฒนธรรมก็ทำให้มันกลายเป็นคำต้องห้ามสำหรับบางสถานที่ และบางสถานการณ์ไป
และเราก็ควรต้องยอมรับด้วยว่า ในสังคมปัจจุบันนี้การใช้คำๆ นี้ มีความหมายในการดูถูก เหยียดเพศ ในหลายๆ สถานการณ์ การเอาคำๆ นี้มาใช้ในการประณามผู้หญิงคนหนึ่ง ในสถานการณ์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศเลย ก็ยิ่งเป็นเหมือนการจับเธอคนนั้นออกมาข่มขืน และเมื่อพูดกันสนุกปากหลายๆ คนเข้า ก็ไม่ต่างอะไรไปจากการรุมโทรมเธอคนนั้นด้วยตัวอักษรเลยสักนิด โดยเฉพาะเมื่อออกมาจากสิ่งมีชีวิตที่เรียกตนเองว่า ‘กวี’