หลังจากที่วัคซีนต่างๆ หลายแบรนด์ เริ่มกระจายออกไปทั่วโลก (อาจจะยกเว้นไปไม่ถึงบางประเทศ) รวมถึงญี่ปุ่นที่เพิ่งได้วัคซีนจากไฟเซอร์ลอตแรก ที่จะฉีกให้กับบุคลากรทางการแพทย์ก่อน ความหวังในการจัดโอลิมปิกก็ดูจะเรืองรองขึ้นมาบ้างอีกครั้ง อย่างน้อยๆ ก็ยังน่าจะจัดแบบไม่มีคนดูได้ ถ้าหากนักกีฬาได้วัคซีนก่อน สถานการณ์ต่างๆ ก็ดูจะดีขึ้นมา แม้มหาชนจะเริ่มเอือมๆ เนือยๆ กับโอลิมปิกไปแล้ว (ขนาดสติกเกอร์ไลน์ของโอลิมปิกที่แจกให้ใช้ฟรียังหมดอายุไปแล้ว…)
แต่เหมือนกับโอลิมปิกครั้งนี้จะถูกสาปไว้จริงๆ ครับ พอเห็นแสงสว่างหน่อย ก็โดนฉุดขาไว้อีกรอบ แถมรอบนี้ คนก่อเรื่องก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น โยชิโร่ โมริ (Yoshiro Mori) ประธานคณะกรรมการจัดโอลิมปิกในครั้งนี้เอง
คือปกติเป็นประธานก็คงจะต้องระวังคำพูดคำจาหน่อย ยิ่งกับกิจกรรมระดับโลกแบบนี้ แต่กลายเป็นว่า ในที่ประชุมคณะกรรมการที่หารือกันว่าจะเพิ่มสมาชิกหญิงให้ได้สัดส่วน 40% เพื่อที่จะเพิ่มมุมมองของสตรีเข้ามาให้มากขึ้น โยชิโร่ โมริ กลับโพล่งออกมาว่า
“ถ้าคณะกรรมการมีผู้หญิงมากขึ้น ก็เถียงกันไม่จบพอดี
เพราะผู้หญิงไม่ชอบยอมกัน ถ้ามีคนยกมือ อีกคนก็ยกมือขอพูดบ้าง
ก็กลายเป็นว่าแต่ละคนก็จะพูดกันหมด”
เท่านั้นล่ะครับ เหมือนขับรถมาดีๆ แล้วจู่ๆ ก็หักเลี้ยวลงเหว เพราะในยุคปัจจุบันที่ส่งเสริมค่านิยมความเท่าเทียมความเสมอภาคทางเพศ การพูดเหยียดเพศหญิงแบบนี้ ก็เป็นเรื่องที่รับไม่ได้แน่นอน และเมื่อเป็นเรื่องของกิจกรรมระดับโลกแบบนี้ มันก็ไม่จบแค่ในญี่ปุ่นแน่นอน การพูดแบบไม่คิดแบบนี้ ก็กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก ไม่ได้หยุดแค่ในเกาะญี่ปุ่นอีกแล้ว
สำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามเรื่องญี่ปุ่นมานาน อาจจะสงสัยว่า โยชิโร่ โมริ เป็นใคร ทำไมได้มารับตำแหน่งนี้ แล้วทำไมรับตำแหน่งขนาดนี้แต่กลับพูดอะไรไม่คิด
แต่สำหรับผมแล้ว บอกได้แค่ว่า ก็ไม่มีอะไรให้ตกใจเลย เผลอๆ อาจจะคิดว่า เพิ่งหลุดมาตอนนี้เหรอ เพราะการพูดอะไรพล่อยๆ นี่ เป็นของขึ้นชื่อของโยชิโร่ โมริอยู่แล้ว
และตำแหน่งสูงสุดของโยชิโร่ โมริ ก็ไม่ใช่ไก่กานะครับ แต่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเลยทีเดียว ช่วงที่เขารับตำแหน่งคือช่วงระหว่างเดือนเมษายน ปี ค.ศ.2000 ถึงเดือนเมษายน ปี ค.ศ.2001 แค่ปีเดียวเท่านั้นครับ แต่ก็เป็นนายกฯ ญี่ปุ่นคนที่ติดอยู่ในความทรงจำของผมคนแรกๆ ก็ว่าได้
แม้จะรู้จักนายกฯ คนก่อนหน้า เช่น เรียวทาโร่ ฮาชิโมโต้ (Ryutarō Hashimoto) หรือเคโซ โอบุจิ (Keizō Obuchi) แต่สองคนนั้นก็ไม่ได้มีผลงานติดตราตรึงใจในความทรงจำของผมเหมือน โยชิโร่ โมริ เพราะว่าตลอดหนึ่งปีของโยชิโร่ โมริ ก็เป็นหนึ่งปีที่เต็มไปด้วยการพูดแบบไม่คิดแบบนี้เต็มไปหมด จนระดับความนิยมตกต่ำอย่างหนักจริงๆ
เส้นทางการเมืองของโยชิโร่ โมริ ก็จัดว่าน่าสนไม่เบา เพราะเขามาจากครอบครัวนักการเมืองท้องถิ่นในจังหวัดอิชิคาวะ ก่อนที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยวาเซดะ และเล่นรักบี้ให้มหาวิทยาลัย แม้จะไม่ได้มีฝีมือโดดเด่นนัก แต่รักบี้ก็กลายเป็นเครื่องหมายประจำตัวของเขาอย่างหนึ่งไปโดยปริยาย
เพราะบางครั้งเขาก็มักจะเทียบเรื่องราวต่างๆ เข้ากับรักบี้ เช่น การทำงานการเมืองกับทีมรักบี้ หลังจากเรียนจบก็เริ่มทำงานกับสื่อสิ่งพิมพ์ก่อนที่จะหันเข้าวงการการเมืองด้วยการเข้าเป็นเลขานักการเมือง ก่อนที่จะลงสมัคร สส. เอง และค่อยๆ ไต่อันดับในพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือ LDP แล้วก็ขึ้นเป็นรัฐมนตรีได้เลยทีเดียว จนกระทั่งเคโซ โอบุจิ นายกฯ ในตอนนั้นเกิดอาการเส้นเลือดในสมองแตก ทำให้โยชิโร่ โมริ ที่ครองตำแหน่งเลขาธิการพรรค ได้รับเลือกจากสมาชิกพรรคให้ขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อแทน
แม้จะรับตำแหน่งแค่ช่วงเวลาไม่นาน
แต่ระหว่างนั้นก็มีการพูดหลุดปากแบบไม่คิดนับครั้งไม่ถ้วน
ไม่ว่าจะเป็นการบอกให้ผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งที่ยังไม่ตัดสินใจ ให้นอนอยู่บ้านในวันเลือกตั้ง พรรคเขาจะได้ชนะสบายๆ หรือระหว่างการมาเยือนของ โทนี่ แบลร์ (Tony Blair) นายกรัฐมนตรีอังกฤษในขณะนั้น เขาก็บอกว่า ในการคืนตัวคนญี่ปุ่นที่ถูกลักพาตัวไปโดยเกาหลีเหนือ ก็ควรจัดให้คนเหล่านั้นถูก ‘พบ’ ในที่อื่น เพื่อจะได้รักษาความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือ ทำให้สมาชิกพรรคโกรธเป็นอย่างมาก รวมไปถึงการถูกแฉว่ามีรูปถ่ายระหว่างนั่งดื่มกับยากูซ่าตำแหน่งสูง
แต่กรณีที่ทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์เขารุนแรงมากขึ้น ก็คือช่วงต้นปี ค.ศ.2001 ที่เรือดำน้ำของสหรัฐอเมริกาลอยขึ้นผิวน้ำฉุกเฉิน แล้วชนเข้ากับเรือประมงญี่ปุ่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย แต่เมื่อเขาได้รับรายงานนี้ระหว่างกำลังตีกอล์ฟอยู่ เขากลับตีกอล์ฟต่อจนจบเกม
กลายเป็นพฤติกรรมไม่รู้ร้อนรู้หนาวที่ทำให้ประชาชนโกรธ และสุดท้ายเขาก็ต้องลาออกจากตำแหน่ง เพราะคะแนนความนิยมต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แล้วยังมาเจอคดีที่คนที่ตัวเองแต่งตั้งให้ดูแลเรื่องการเงิน กลับรับเงินทุนหาเสียงนอกบัญชี เป็นเวลาหนึ่งปีในตำแหน่งสูงสุดที่ลืมได้ยากจริงๆ (ก่อนที่ โคอิซุมิ จุนอิจิโร่ (Ko’izumi Jun’ichirō) จะเข้ามาปลุกญี่ปุ่นให้มีความหวังอีกครั้ง)
แต่ก็ตามสไตล์ครับ เมื่อเคยมีตำแหน่งสูง แม้จะวางมือแล้ว ก็ได้รับคำเชิญไปเป็นที่ปรึกษานั่นนี่ เป็นทูตนั่นนี่ สานสันพันธ์ต่อไป และการผ่านการต่อสู้กับมะเร็งจนชนะ อาจจะช่วยให้ภาพลักษณ์ของเขาดีขึ้นบ้าง บวกกับความเป็นนักกีฬาเก่า อาจจะกลายมาเป็นปัจจัยบวกส่งให้เขาได้กลับมารับตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการจัดการแข่งขันโอลิมปิก ในครั้งนี้ ซึ่งเขาก็ได้พูดได้อย่างดีว่า เป็นโอกาสรับใช้ชาติอีกครั้งและเป็นเหตุผลที่ดีให้อยากอยู่ในโลกนี้ต่อจนทำให้หน้าที่นี้จบสิ้น
แต่ ไม้แก่ดัดยาก
หลังรับตำแหน่งเขาก็กลับมาพูดอะไรไม่คิดเหมือนเดิม
กรณีดังๆ ก็คงเป็นการวิจารณ์ มาโอะ อาซาดะ (Mao Asada) นักสเก็ตลีลาหญิงชื่อดังของญี่ปุ่น เมื่อเธอเลือกใช้ท่า Triple Axle แล้วพลาด ทำให้แพ้ไป ซึ่งเขาก็บอกว่า ทำไม่ได้ก็ไม่รู้จะใช้ท่านั้นไปทำไม (จริงๆ เธอทำได้ครับ แต่ก็มีพลาด) ก็ทำให้โดนเสียงวิพากย์วิจารณ์เข้าไป
พอมาเกิดเรื่องปากพล่อยรอบนี้อีก จะเหลือเหรอครับ ถ้าเป็นแต่ก่อนอาจจะพอถูๆ ไถๆ ลากไปได้ แต่นี่มันปี ค.ศ.2021 แล้ว พอหลุดอะไรแบบนี้ออกมา ก็มีสื่อญี่ปุ่นเล่นข่าวนี้ และแน่นอนว่า สื่อต่างชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศพัฒนา ก็พร้อมรายงานข่าวเรื่องนี้เต็มที่
เรื่องนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องของโยชิโร่ โมริแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังสะท้อนถึงค่านิยมล้าหลังที่ยังฉุดรั้งประเทศญี่ปุ่นไว้อยู่ ความจริงก็คือความเสมอภาคทางเพศ และโอกาสในการก้าวหน้าในการทำงานของสตรีในประเทศญี่ปุ่น จัดอยู่อันดับรั้งท้ายอยู่แล้ว การออกมาพูดครั้งนี้ก็ทำให้ภาพลักษณ์แย่ลงไปอีก ระดับสูงยังพูดไม่คิดแบบนี้ แล้วในสังคมการทำงานจะแย่แค่ไหน
ในทีแรก ดูเหมือนว่าโยชิโร่ โมริ ก็จะไม่ยอมลงจากตำแหน่ง แต่ออกมาแถลงข่าวสไตล์เสียใจแต่ไม่ขอโทษ แล้วก็กลายเป็นประเด็นสำคัญในสังคมญี่ปุ่น เพราะขนาดนี้ยังไม่ลงจากตำแหน่ง
เสียงกดดันก็เลยเทไปทางนายกรัฐมนตรีสุกะแทน ซึ่งสุกะก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่ก็มีรายงานว่า เพราะอิทธิพลของโมริสูงมาก จนเรียกได้ว่า ไม่มีโมริก็ไม่มีโอลิมปิก จะมาถอดจากตำแหน่งตอนนี้ ก็ยิ่งทำให้อะไรต่อมิอะไรลำบากมากยิ่งขึ้น สุกะเองก็เลี่ยงจะตอบคำถามฝ่ายค้านเรื่องนี้ไปมาแบบหลังพิงเชือก
แต่ก็อย่างที่บอกครับว่า ประเด็นนี้มันไม่ใช่เรื่องในญี่ปุ่นแล้ว แต่เป็นเรื่องระดับโลก เพราะตำแหน่งของเขาคือผู้ดูแลกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ ทำให้คณะกรรมการโอลิมปิกสากลออกมาแถลงว่าไม่พอใจกับสิ่งที่เขาพูด กลายเป็นแรงกดดันจากนอกประเทศ
ส่งผลให้สุดท้ายเขาก็ต้องยอมลาออกจากตำแหน่ง เรื่องนี้จะเรียกได้ว่าเป็นการทิ่มเข้าใจกลางสังคมชายเป็นใหญ่ของญี่ปุ่นอย่างเต็มตัว ซึ่งก็ดีว่าทำให้คนในสังคมที่ไม่ได้ปรับตัวได้รู้ว่า โลกนี้เขาหมุนไปทางไหนแล้ว
ที่น่าสนใจมากคือ ในขณะที่ผมเขียนนี้ ก็ได้มีการประกาศผู้มารับตำแหน่งนี้ต่อ นั่นก็คือ เซโกะ ฮาชิโมโตะ (Seiko Hashimoto) อดีตนักแข่งสปีดสเก็ตทีมชาติญี่ปุ่นที่เคยคว้าเหรียญทองโอลิมปิกฤดูหนาวที่อัลเบอร์ตามาแล้ว ซึ่งก่อนรับตำแหน่ง เธอก็ทำหน้าที่รัฐมนตรีดูแลการจัดโอลิมปิก เรียกได้ว่าไม่มีใครเหมาะสมกว่านี้อีกแล้ว
แถมเมื่อชายแก่เหยียดผู้หญิงหลุดจากตำแหน่ง แล้วถูกแทนตำแหน่งด้วยผู้หญิง ก็ดูเป็นเรื่องน่ายินดีไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมคิดว่าเธอได้ตำแหน่งมาเพราะเป็นผู้หญิงนะครับ เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่า เธอเหมาะกับตำแหน่งนี้จริงๆ (และคนที่มารับตำแหน่งรัฐมนตรีต่อจากเธอก็เป็นผู้หญิงเช่นกัน นั่นคือ ทามาโยะ มารุคาวะ อดีตผู้ประกาศข่าวหญิง)
เรียกได้ว่าแทนที่จะได้ล้างมือจากวงการการเมืองอย่างสวยๆ สุดท้ายแล้ว การพูดไม่คิดของโยชิโร่ โมริ ก็กลับมาทำให้เขาต้องเจ็บตัวตอนแก่อีกครั้ง แต่ก็ช่วยไม่ได้ครับ จะเรียกว่าทำตัวเองก็ว่าได้ แต่ก็ยังดีนะครับ ที่พูดอะไรไม่คิดแบบนี้แล้วก็ต้องรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองพูด ที่น่ากลัวกว่าคือ อาจจะพูดอะไรก็พูด แถมไม่ต้องรับผิดชอบอะไร แล้วยังมีลูกไล่คอยเห็นดีเห็นงาม บางคนก็สอพลอ ต่อให้โดนด่า ล้อเลียน กระทั่งปากล้วยใส่ ก็ยิ้มแหะๆ บอกว่าน่ารักเป็นกันเองดี แบบนี้ผมก็ได้แต่ถอนหายใจครับ
อ้างอิงข้อมูลจาก
japantimes #2