วันที่ 12 เมษายน ค.ศ.1961 ยูริ กาการิน (Yuri Gagarin) ลูกของชนชั้นแรงงานในสหภาพโซเวียตได้กลายเป็นวีรบุรุษของชาติและของโลกในบัดดล เมื่อเขาเดินทางไปกับยานอวกาศ ‘วอสตอค 1’ (Vostok 1) ออกไปนอกโลกและกลับมาได้แบบไม่บุบสลาย
108 นาทีสุดมหัศจรรย์ที่ยูริอยู่บนห้วงอวกาศ หาใช่เพียงชัยชนะทางอวกาศของโซเวียตอย่างที่โหมกระแสกันในยุคนั้นไม่ แต่ผ่านไป 59 ปีแห่งการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ กาการินได้เห็นโลกกลมๆ ใบนี้แล้วกลับมาบอกเล่าเรื่องราวที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับคนทั้งโลก
12 เมษายน ค.ศ.2020 ภายใต้สถานการณ์ COVID-19 ระบาดไปทั่วโลก จะมีอะไรดีไปกว่าการชวนผู้อ่านมองย้อนไปในประวัติศาสตร์กับเรื่องราวหนหลังอันเป็นตำนานนี้
1.
ยูริ กาการิน เกิดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ.1934 เป็นลูกคนที่ 3 จากลูกทั้งหมด 4 คนของครอบครัวชนชั้นแรงงานในสหภาพโซเวียต พ่อเป็นช่างไม้ แม่ทำงานรีดนมวัว เขาเกิดในหมู่บ้านเล็กๆ ห่างจากมอสโคว์ไปทางทิศตะวันตกหลายร้อยกิโลเมตร
ครอบครัวของยูริได้รับผลกระทบจากการรุกรานของนาซีเยอรมัน ในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยครอบครัวถูกไล่ออกจากบ้าน และไปอาศัยในกระท่อมที่ทำจากดิน พี่ชายและพี่สาวของยูริถูกส่งไปอยู่ค่ายใช้แรงงานในโปแลนด์ พอสงครามโลกสิ้นสุดลง ยูริเองได้รับผลกระทบจากนโยบายของสตาลิน ทำให้เขาไม่ได้รับอาหารมากพอ จนมีร่างกายที่ตัวเล็ก แต่มันกลับกลายเป็นผลดีต่อการเดินทางไปอวกาศที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้อีกหลายปี
ในวัยเด็กแม้จะชีวิตยากลำบาก แต่ยูริก็เป็นหนุ่มรักสนุก เป็นขวัญใจสาว ชอบเล่นอะไรแผลงๆ แต่เขากลับรักการเรียนมาก วิชาโปรดของยูริคือ เลขกับฟิสิกส์ นอกจากนี้เขายังสนใจในวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ด้วย
“เวลาเขายิ้ม ไม่มีใครต้านทานได้ และสาวๆ ชอบเขามาก”
ครูที่เคยสอนยูริรำลึกความหลัง
เมื่อเรียนจบ เขาไปทำงานในโรงงานเหล็ก ก่อนจะเรียนต่อด้านอาชีวะ โดยช่วงนั้นยูริเรียนขับเครื่องบินด้วย ความที่เป็นลูกชนชั้นแรงงาน เขาไม่มีเงินมากนัก ต้องหารายได้พิเศษ ต้องไปทำงานกรรมกรที่ท่าเรือ เมื่อเรียนจบยูริก็มุ่งหน้าตามความฝัน นั่นก็คือการเข้าร่วมกองทัพอากาศของสหภาพโซเวียต และได้พบรักกับภรรยาซึ่งเรียนจบแพทย์มา ทั้งสองแต่งงานกัน มีลูกสาวด้วยกัน 2 คน ถึงตอนนี้ยูริดำรงตำแหน่งเป็นนักบินขับไล่ของกองทัพแดงแล้ว
ด้วยความโดดเด่น ทำให้ยูริเป็นตัวเลือก 20 คนให้พิจารณาว่าจะเป็นมนุษย์ที่เดินทางไปนอกโลกหรือไม่ โดยต้องเข้าโปรแกรมคัดเลือกทดสอบมากมาย ยูริเป็นคนหนุ่มที่เฉลียวฉลาด โดดเด่นกว่าตัวเลือกคนอื่นๆ เขาเรียนรู้ไว ทำตัวง่ายๆ คนที่รู้จักและได้ทำงานร่วมกับยูริจะชอบเขามาก
จาก 20 ตัวเลือก ยูริโดดเด่นเข้าลิสต์ โดยมีคู่แข่งอีกคน ทั้งสองโดดเด่นและตัวเล็กพอๆ กัน 2 ปีหลังการฝึกหนัก ในที่สุดก็มาถึงบทสรุป ต้องมีการตัดสินว่าใครจะได้เป็นนักบินอวกาศคนแรก การตัดสินนี้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนและถูกส่งไปยังผู้นำของสหภาพโซเวียตในตอนนั้นอย่าง นิกิต้า ครุชชอฟ (Nikita Khrushchev) โดยทีแรกนิกิต้าต้องการให้มนุษย์ที่จะเดินทางไปอวกาศคนแรกของโลกมีภูมิหลังเป็นชนชั้นกลาง เพื่อสื่อนัยยะว่า ชนชั้นกลางกระฏุมพีก็สามารถประสบความสำเร็จในโซเวียตได้ ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นชนชั้นแรงงานเท่านั้น
พอเป็นแบบนี้ยูริเกือบจะหลุดจากตัวเลือกแล้ว เพราะครอบครัวมีภูมิหลังเป็นชนชั้นแรงงาน ขณะที่คู่แข่งอีกคนเป็นลูกครู มีฐานะดีกว่าครอบครัวยูริ อย่างไรก็ดีนิกิต้าได้รับคำแนะนำจากหลายๆ คนให้เลือกยูริดีกว่า
ยูริ กาการิน เกือบจะไม่ได้เดินทางไปนอกโลกเสียแล้ว เพียงเพราะภูมิหลังของเขาจนเกินไป
ดีที่คำว่า ‘เกือบ’ ไม่มีที่ว่างในประวัติศาสตร์
2.
เช้าวันพุธที่ 12 เมษายน ค.ศ.1961 ยูริ กาการิน วัย 27 ปี เข้าไปนั่งในกระสวยอวกาศวอสตอค 1 ตามเวลาท้องถิ่นคือ 09.07 น. กระสวยถูกจุดขึ้นพุ่งทะยานฟ้า ขณะนั้นยูริก็ตะโกนออกมาว่า “Poyekhali” แปลเป็นไทยให้ได้รสชาติว่า ได้เวลาลุย
แม้จรวดจะพายูริออกไปนอกโลกแค่ 108 นาทีก็ตาม แต่มันก็กลายเป็น 108 นาทีที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ในทันที
ยูริ กาการินเล่าว่า เมื่อเกิดสภาวะไร้น้ำหนักขึ้น ความรู้สึกตอนแรกไม่น่ายินดีเลย แม้จะเคยฝึกรับมือมาแล้วก็ตาม โดยยูริค้นพบว่าสภาวะไร้น้ำหนักนั้น ไม่ได้ทำลายอวัยวะหรือร่างกายของมนุษย์เลย เขายังบังคับอวัยวะตัวเองได้ตามปกติ
การค้นพบนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะก่อนการเดินทางไปอวกาศ ทีมงานสหภาพโซเวียตกลัวว่า สภาวะไร้น้ำหนักนอกโลกอาจจะส่งผลให้คนเราสูญเสียการควบคุมร่างกาย หรือไม่สามารถบังคับอวัยวะได้ ดังนั้นทีมงานภาคพื้นดินจะเป็นคนควบคุมเครื่องทั้งหมด เพราะหากให้นักบินบังคับเองและเจอสภาวะไร้น้ำหนัก ความหายนะอาจเกิดขึ้นได้ จึงมีการตกลังกันว่า หากสัญญาณจากภาคพื้นดินขัดข้อง ยูริจะต้องเปิดซองเอกสารที่ใส่รหัสถึงจะสามารถควบคุมเครื่องได้
ไม่กี่นาทีหลังจากขึ้นไปกับกระสวยอวกาศ ยูริ กาการินก็มีโอกาสได้เห็นโลกกลมๆ ที่เขาใช้ชีวิตอยู่เป็นครั้งแรก
เขาบอกทีมงานภาคพื้นดินว่า
มันสวยงามมาก
บนห้วงอวกาศนั้น ยูริ กาการินได้เห็นความแตกต่างของทิวทัศน์ในโลก เขาเห็นหิมะ เห็นป่า เห็นภูเขา และตอนนี้สภาวะไร้น้ำหนักที่ไม่น่ายินดีในตอนแรก กลับกลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจเสียแล้ว เพราะของทุกสิ่งในยาน ลอยละล่องไปหมด
ยูริได้เห็นว่าโลกรายล้อมไปด้วยสีน้ำเงิน เขาเห็นท้องฟ้าที่มีสีน้ำเงินอ่อน ค่อยๆ กลายเป็นสีน้ำเงินที่เข้ม และยังเข้มขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะกลายเป็นสีม่วงและสุดท้ายกลายเป็นสีดำ มืดจนมองไม่เห็นอะไรอีก ตอนนั้นยานอวกาศกำลังเคลื่อนผ่านมหาสมุทร ถ้ามันผ่านเมือง กาการินบอกว่าน่าจะเห็นแสงไฟจากเมืองเหล่านั้นด้วย
ตอนที่เขากระโดดร่มออกจากแคปซูลหลังกลับมาจากอวกาศ เมื่อเท้าแตะแผ่นดินสหภาพโซเวียตอีกครั้งในชุดนักบินอวกาศ ขณะกำลังถอดหมวก เขาเจอกับหญิงชรากับเด็กคนหนึ่งกำลังปลูกมันฝรั่งอยู่ ยูริพูดออกไปว่า “ไม่ต้องกลัวสหาย ผมมาดี”
หญิงชราถึงกับตกตะลึงตาค้าง
เธอถามกลับไปว่า “นี่…คุณมาจากอวกาศเหรอ”
“บอกไป…คุณคงไม่เชื่อแน่”
3.
การเดินทางสุดมหัศจรรย์ในวันที่ 12 เมษายน ค.ศ.1961 กลายเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของสหภาพโซเวียต สร้างความพ่ายแพ้ให้กับสหรัฐอเมริกาอย่างยับเยิน ทีแรกอเมริกาเตรียมการจะส่งนักบินไปนอกโลกในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ต้องรอจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ปีถัดมาจึงทำได้สำเร็จ
ตัวยูริ กาการินเองกลายเป็นคนดัง เป็นตำนาน ได้รับรางวัลเกียรติยศมากมาย เดินทางไปทั่วโลกยกเว้นสหรัฐอเมริกา อนุสาวรีย์เขาปรากฏขึ้นทุกแห่งหน บ้านเกิดถูกเปลี่ยนชื่อ ถนนถูกตั้งชื่อตามเขา นิกิต้าถึงขั้นเปรียบยูริเป็นคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) ผู้เดินทางค้นพบทวีปอเมริกาเลย ซึ่งก็เป็นการเปรียบเปรยเย้ยสหรัฐอเมริกาผู้พ่ายแพ้ในการแข่งขันครั้งนี้
เดิมทียูริ กาการินตั้งใจว่าจะเดินทางในฐานะนักบินอวกาศไปเรื่อยๆ เขาฝันจะได้เดินทางไปดาวศุกร์ ดาวอังคาร แต่สหภาพโซเวียตกลับกลัวว่าในเมื่อการเดินทางไปอวกาศยังไม่ปลอดภัย ดังนั้นอย่าเสี่ยงเอาวีรบุรุษคนนี้ขึ้นไปนอกโลกอีก พูดง่ายๆ ว่ากลัวยูริ กาการินตายนั่นเอง
ดังนั้นแทนที่จะได้ไปนอกโลก ยูริกลับต้องเดินทางไปทั่วโลกแทน เพื่อบอกเล่าเรื่องราวความสำเร็จของตัวเอง เขาบอกเรื่องราวการเดินทางสุดมหัศจรรย์ครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งเหล่านี้เองทำให้ยูริ กาการินประสบปัญหาติดเหล้า ยิ่งมีชื่อเสียงมากขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งมีปัญหากับการดื่ม ยิ่งเข้าสังคมมากขึ้น ยูริก็กลายเป็นสภาพเป็นขี้เมามากตามไปด้วย
จวบจนหลายปีต่อมา เมื่อการแข่งขันทางอวกาศดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ จนยูริ กาการินถูกลดความสนใจไปบ้าง ในปี ค.ศ.1967 เขาจึงมีโอกาสกลับมาฝึกบินอีกครั้งหนึ่ง ในที่สุดความฝันของเขาก็ได้ต่อเติม โดยมาเป็นครูฝึกให้กับนักบินอวกาศรุ่นหลัง และได้กลับไปขับเครื่องบินอีกครา
แต่แล้วในวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ.1968 เครื่องบินของกาการินก็ตก ตัวเขาและเพื่อนนักบินเสียชีวิต
เหตุการณ์นี้นำไปสู่เรื่องทฤษฎีสมคบคิดกันมากมาย ผ่านมาเกือบครึ่งศตวรรษ จึงมีข้อสันนิษฐานว่า สหภาพโซเวียตได้ทำการสอบสวนสาเหตุแล้วพบว่า มีเครื่องบินอีกลำทำการบินผิดพลาดเข้าใกล้เครื่องบินของกาการินมากเกินไป จนทำให้เกิดการหักหลบ เครื่องสูญเสียการควบคุมจนร่วงกระแทกพื้น
ทั้งนี้ถ้าหากยูริ กาการินอายุยืนอีกนิด สักปีเดียว เขาก็จะได้เห็นนีล อาร์มสตรอง (Neil Armstrong) และเพื่อนเดินลงบนดวงจันทร์ในปี ค.ศ.1969 แล้ว และถ้ากาการินยังมีชีวิตอยู่ในเหตุการณ์นั้น เขาจะดีใจ จะเสียใจ จะแสดงความรู้สึกอย่างไร เราได้แต่คาดการณ์ไปด้วยความเสียดายหัวใจเศร้า!
เพราะประวัติศาสตร์
นอกจากไม่มีคำว่า ‘เกือบ’ แล้ว
ยังไม่มีที่ว่างสำหรับคำว่า ‘ถ้า’ อีกด้วย
4.
ครอบครัวของยูริ กาการิน ค่อนข้างเก็บตัว ภรรยาใช้ชีวิตสันโดษไม่ค่อยให้สัมภาษณ์สื่อ แต่เคยตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับเรื่องราวของสามีผู้จากไป ด้านลูกสาว 2 คนนั้นยังเด็กอยู่ ตอนยูริ กาการินเดินทางไปนอกโลก แม้ครอบครัวจะไม่ได้อยู่ด้วยกันมากนักหลังเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ เพราะกาการินเองต้องเดินทางเสมอ
แต่เมื่อเขามีโอกาสอยู่กับครอบครัว น่าแปลกที่ยูริไม่เคยเปิดปากเล่าความสำเร็จของเขาเลย แต่ชอบเล่าเรื่องราววัยเด็ก ความยากลำบากในอดีตมากกว่า บางครั้งก็ออกไปเล่นกีฬากับเพื่อน บางคราก็ดูลูกอ่านหนังสือ และหลายครั้งเขาชอบท่องบทกวีให้ลูกฟัง และยังสอนให้ลูกแต่งกลอนอีกด้วย
สำหรับยูริ กาการินแล้ว เขามองการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์นี้ว่า ยังไม่ค่อยอิ่มแถมไวไปแต่ก็ชอบมันมาก
และเขาหวังจะบินแบบนี้อีกหลายครั้ง
เพราะมันเป็นความฝันของเขา
ลูกสาวของยูริ กาการินจำกัดตัวตนของพ่อไว้สั้นๆ ว่า “พ่อคิดว่าตัวเองเป็นนักบินอยู่ตลอด หนังสือเล่มโปรดของเขาไม่ใช่เรื่องเจ้าชายน้อยแน่ แต่เป็นเรื่องเที่ยวบินกลางคืนมากกว่า”
ยูริ กาการิน ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าชายมากเสน่ห์นักผจญภัย แต่เขาคิดว่าตัวเองเป็นนักบินผู้เดินทางบนฟากฟ้าต่อสู้กับอุปสรรคและความยากลำบากท่ามกลางความมืดมิด
ดังนั้น ทุกวันที่ 12 เมษายน ครบรอบ 59 ปีแห่งการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ของยูริ กาการิน มันจึงไม่ใช่การเฉลิมฉลองความสำเร็จของชาติไหน แต่คือการบอกเล่าเรื่องราวของมนุษย์คนหนึ่งผู้กล้าหาญ ท้าทาย เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นและความฝัน
นั่นจึงทำให้เรื่องราวของยูริ กาการิน เป็นการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ที่จะได้รับการเล่าขานไปตลอดกาล