เวลาพูดถึงธุรกิจใหญ่ๆ ของโลก เรามักจะสามารถบอกชื่อ CEO ของบริษัทชื่อดังเหล่านั้นได้โดยง่าย แค่หลับตาแป๊บๆ ก็ขึ้นมาหลายชื่อแล้ว ยิ่งหลายคนมีเสน่ห์ส่วนตัว กลายเป็น CEO ที่คนสนใจมากกว่าตัวบริษัทหรือสินค้าและบริการไปซะอีก ตัวอย่างง่ายๆ ก็ สตีฟ จ๊อบส์ (Steve Jobs) ที่กลายเป็นแม่แบบให้หลายต่อหลายคนเอาอย่าง หรือปัจจุบันก็มีพี่ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) คนบ้าแห่งวงการ เอ่อ วงการอะไรดี เพราะพี่แกจับหลายแนวเหลือเกิน แถมมีลูกบ้า เอาฮา หาที่โปรโมตได้เก่ง และบ้าใช้ทวิตเตอร์ (จนกลายมาเป็นโดนทวิตเตอร์พาซวยไปซะด้วย)
แต่ในทางกลับกัน เมื่อกลับมามองกิจการในญี่ปุ่นแล้ว แม้จะมีหลายบริษัทที่เป็นบริษัทระดับโลก อยู่ในชีวิตประจำของเราเสมอ แต่เรากลับไม่ค่อยรู้จักกับตัวผู้กำบังเหียนบริษัทเหล่านั้นเท่าไหร่ ตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ เรานึกหน้าและชื่อของประธานบริษัทอย่าง Toyota หรือ Sony ออกได้ทันทีไหมครับ? ส่วนใหญ่ก็ดูเหมือนจะเก็บตัวเงียบๆ ทำหน้าที่บริหารไป ไม่ได้ออกสื่อเกินความจำเป็น ออกมาทีก็ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกิจการเท่านั้น ขนาดไปดูในลิสต์ 50 คนรวยของญี่ปุ่นที่จัดโดย Forbes หลายต่อหลายคนก็ทำให้ผมงงว่าเป็นใคร แถมบางคนยังไม่มีรูปในเว็บเสียด้วยซ้ำ พอมีคนที่ทำตัวแปลกๆ แหวกแนว กล้าพูด กล้าแสดงออก ชอบออกสื่อ ชอบถูกจับตามอง คนนั้นก็มักจะกลายเป็นเป้าสายตาของชาวญี่ปุ่นที่ชื่นชอบความเป็นหนึ่งเดียวเหลือเกิน และปัจจุบันคงไม่มีใครเหมาะสมกับคำนิยามนี้เท่ากับ ยูซาคุ มาเอซาวะ (Yusaku Maezawa) มหาเศรษฐีรุ่นใหม่ของญี่ปุ่น ที่เปิดปีมาก็เล่นใหญ่ตั้งแต่วันแรก ด้วยการประกาศแจกเงินเป็นของขวัญปีใหม่แบบสุ่มให้คนที่รีทวีตข้อความทวีตของเขา จำนวน 1,000 คน คนละ 1,000,000 เยน!
ถ้าเป็นคนที่อ่านข่าวในญี่ปุ่น ก็อาจจะคุ้นเคยกับพฤติกรรมแบบนี้ของยูซาคุ เพราะเขาคือคนที่ชอบทำอะไรแปลกแหวกแนว และเป็นข่าวได้เสมอ จะเอาไปเทียบกับเฮียอีลอน มัสก์ก็ได้ เพราะคาแร็กเตอร์คล้ายกันเอามากครับ แต่ก่อนอื่นก็ไปดูกันก่อนว่า เขาไปไงมาไง ทำไมถึงได้กลายเป็นคนรวยที่มีลูกบ้าแบบนี้
ยูซาคุจัดว่าเป็นคนรวยที่สร้างตัวเองได้ตั้งแต่อายุยังไม่มากนะครับ เพราะปัจจุบันเขาก็อายุแค่ 40 กลางๆ แต่ก็ดูเหมือนอย่างน้อยเขาจะมาจากครอบครัวที่มีฐานะอยู่ระดับหนึ่ง เพราะตอนวัยรุ่นเขาก็เรียนโรงเรียนชื่อดังอย่าง Waseda Jitsugyou แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าตั้งวงฮาร์ดคอร์พังค์ชื่อ Switch Style กับน้องชายและเพื่อนๆ จนสนุกกับการทำเพลงงอมแงม สุดท้ายแทบไม่ได้ไปเรียน แต่ไปทำงานพิเศษก่อสร้างหาเงินมาจ่ายค่าเช่าห้องซ้อมเอง จะไปเรียนเท่าที่จำเป็นเท่านั้น แถมความแสบของเขาก็ฉายแววตั้งแต่ชื่อที่ใช้ในวงว่า You X Suck ที่ล้อเลียนเสียงชื่อยูซาคุ ของตัวเอง พอเรียนจบก็เอาเงินที่สะสมมาไปเที่ยวหาประสบการณ์ที่อเมริกาแทน ซึ่งก็เป็นการเดินทางครั้งนี้ที่ทำให้เขาเริ่มสะสมแผ่นเสียงและซีดีหอบกลับมาขายที่ญี่ปุ่น กลายเป็นการเริ่มกิจการครั้งแรกของเขา
จากประสบการณ์ตรงนั้น เขาก็เริ่มตั้งบริษัทของตัวเอง ใช้ชื่อว่า Start Today เพื่อทำการขายแผ่นเสียงและซีดีอย่างจริงจัง ในขณะเดียวกัน วงที่เขาตั้งกับเพื่อนก็ไปได้สวยขนาดที่ได้โอกาสเซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องพักวงเพราะว่าจำเป็นต้องมาบริหารกิจการเต็มตัว เนื่องจากเขาขยายกิจการ แถมหันมาทำเว็บขายเสื้อผ้าออนไลน์อีกด้วย ในชื่อว่า EPROZE ซึ่งก็เป็นช่วงปี ค.ศ.2000 ซึ่งจัดว่าเป็นช่วงที่อินเทอร์เน็ตเริ่มแพร่หลายในวงกว้างมากขึ้น และบริษัทของเขาก็โตขึ้นตามความแพร่หลายของอินเตอร์เน็ต จนการขายแผ่นเสียงและซีดีกลายเป็นว่าต้องแยกไปเป็นอีกบริษัท ให้การขายเสื้อผ้าเป็นกิจการหลักแทน และเปลี่ยนชื่อเป็น ZOZOTOWN ที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน และประสบความสำเร็จทั้งการขายเสื้อผ้าแบรนด์อื่น และผลิตเสื้อผ้าของตัวเอง จนสามารถร่วมงานกับยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นอย่าง Yahoo! Japan ได้ และขยายสาขาไปยังหลายประเทศทั่วโลก ทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีหนุ่มตั้งแต่ช่วงอายุ 30 ปี
เคล็ดลับของความสำเร็จอง ZOZOTOWN ก็คือการพยายามควบคุมขั้นตอนการผลิตให้คุ้มค่าที่สุด คุมสต็อกสินค้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และการขายออนไลน์ ทำให้เขาไม่ต้องแบกรับภาระการลงทุนเปิดสาขาต่างๆ และ ZOZOTOWN ก็ไม่ใช่แค่ผลิตเสื้อผ้าขาย แต่ยังพยายามสร้างนวัตกรรม เช่น ZOZOSUIT หรือเสื้อรัดรูปแบบสวมทั้งตัว ที่มีจุดอยู่ตามตัว เมื่อใส่แล้วใช้แอพของ ZOZOTOWN ถ่ายรูป จะสามารถวัดตัวแบบอัตโนมัติ ทำให้สามารถเลือกเสื้อผ้าที่เข้าทรงได้โดยไม่ต้องมานั่งปวดหัวหรือคอยวัดตัวเอง
ซึ่งเมื่อออกมา ก็เป็นที่ฮือฮาในญี่ปุ่นขนาดมีคนเอาไปใส่
เป็นชุดวันฮัลโลวีนและมียอดจัดส่งถึงประมาณ 3 ล้านตัว
แต่สิ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นมากก็คงเป็นความเข้าใจเล่นกับสื่อ โดยเฉพาะสื่อใหม่ ตัวเขาแทบจะผูกกับ ZOZOTOWN เป็นหนึ่งเดียว ไม่ว่าจะทำอะไรแหวกแนว คนก็สนใจ ข่าวก็ออก เขาก็ได้ PR ให้บริษัท กลายเป็นสิ่งที่บริษัทญี่ปุ่นที่ผ่านมาแทบไม่มีใครกล้าทำ ที่นึกออกได้ก่อนเลยคือ คนที่มาก่อนเขาอย่าง ทาคะฟุมิ โฮริเอะ (Takafumi Horie) ที่เคยโด่งดังจาก Livedoor และสร้างชื่อเสียงให้กับทั้งบริษัทและตัวเองผ่านการวางตัวไม่เหมือนนักธุรกิจญี่ปุ่นทั่วไป แค่การไม่ใส่สูท แต่ใส่เสื้อยืดเป็นประจำก็ถือว่าแหวกแนวแล้ว แต่เขายังทำโน่นทำนี่ กว้านซื้อบริษัทนั่นนี่ จนเหมือนจะเด่นเกินไป สุดท้ายก็โดนสอยด้วยคดี Insider Trading ไปก่อน
แต่ยูซาคุที่ค่อยๆ สั่งสมชื่อเสียงมา ดูเหมือนจะได้เห็นบทเรียนจากรุ่นพี่ก่อน ทำให้ถึงแม้จะพยายามสร้างความโดดเด่น แต่เขาก็ไม่ได้พยายามทำลายโครงสร้างของวงการธุรกิจญี่ปุ่นอะไร (ตัวอย่างเช่นการร่วมงานกับ Yahoo!) ทำให้เขากลายเป็นคนดังที่เป็นที่สนใจของผู้คนและสร้างสีสันให้กับแวดวงธุรกิจญี่ปุ่น มากกว่าจะถูกมองว่าเป็นตัวอันตรายของวงการธุรกิจ
นอกจากการไม่ได้สนใจที่จะแต่งตัวเหมือนนักธุรกิจญี่ปุ่นทั่วไปแล้ว (ก็ขายเสื้อผ้าจะให้แต่งแต่สูทได้เหรอครับ) การที่เขาสามารถเขียนใน CV ของตัวเองว่าเคยเป็นนักดนตรีที่ได้เซ็นสัญญากับค่ายใหญ่มาแล้วก็จัดว่าแปลกกว่าคนอื่นไม่เบา แถมเขายังรักงานศิลปะเป็นอย่างมาก ขนาดที่จัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาเพื่อปั้นศิลปินหน้าใหม่ และเขายังทำสถิติในการประมูลงานศิลปะของ ฌอง-มิเชล บาสเกีย (Jean-Michel Basquiat) ไปด้วยราคาสูงถึง 110.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พอดูจากงานที่เขาสะสมแล้ว ก็ดูเหมือนเขาจะไม่ได้หลใหลกับงานศิลปะรุ่นคลาสสิก แต่คลั่งไคล้งานป๊อบอาร์ตเป็นอย่างมาก
และก็เป็นความคลั่งไคล้ในศิลปะ บวกความแปลกแหวกแนวของเขานี่ล่ะครับ ที่ทำให้เขากลายเป็นข่าวใหญ่ ซึ่งไม่ใช่แค่ในญี่ปุ่น แต่เป็นระดับโลก เมื่อเดือนกันยายน ปี ค.ศ.2018 เมื่อเขาได้กลายเป็นผู้โดยสารคนแรกในโครงการ SpaceX ของอีลอน มัสก์ เรียกได้ว่า ซื้อตั๋วครั้งเดียวได้ออกสื่อทั่วโลก แถมงานนี้เขายังไม่ได้คิดจะไปคนเดียว แต่วางแผนจะพาศิลปินซัก 6-8 คนไปในปี ค.ศ.2023 ด้วย เพื่อที่ว่าเมื่อศิลปินเหล่านั้นได้เห็นดวงจันทร์ใกล้ๆ แล้ว พวกเขาจะสร้างผลงานอย่างไรออกมา จนกลายเป็นโปรเจ็คต์ #DearMoon ที่เป็นการเฟ้นหาศิลปินชั้นแนวหน้าเพื่อร่วมเดินทางไป ‘เที่ยว’ ดวงจันทร์กับเขานั่นเอง แค่งานนี้งานเดียวเขาก็กลายเป็นที่จับตามองของชาวโลกล่ะครับ และเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เขาก็ได้ขายหุ้นส่วนใหญ่ใน ZOZOTOWN ให้กับ Yahoo! Japan ซึ่งก็ช่วยให้เขามีเวลามากขึ้นในการเตรียมพร้อมเพื่อเดินทางดวงจันทร์ เรียกได้ว่า ทุ่มเต็มที่เพื่องานนี้จริงๆ
และในญี่ปุ่น เขาก็ไม่เคยห่างหายจากข่าวฮือฮา ตั้งแต่ต้นปีก่อน
ที่เขาประกาศจะแจกเงิน 1,000,000 เยนให้คน 100 คนที่มาฟอลโลว์ทวิตเตอร์
ของเขา ทำให้มียอดคนติดตามเพิ่มอย่างเร็วทันใจ (ผมก็ตาม…) ซึ่งครั้งนั้นก็สร้างความอือฮาในสังคมญี่ปุ่นไปแล้ว ซึ่งเขาก็ไม่ได้อธิบายอะไรมาก แค่แจกเงินเฉยๆ แต่ในวันปีใหม่ปีนี้ เขาก็กลับมาพร้อมกับการประกาศแจกเงินล้านอีกครั้ง เพียงแต่รอบนี้ เขาประกาศแจกให้ 1,000 คนเลยทีเดียว โดยเขาก็อธิบายว่า นี่คือการทดลองทางสังคมที่เขาอยากทำ เพราะเขาอยากทดลองเรื่อง Basic Income
แน่นอนว่าปัจจุบันก็มีการพูดถึงเรื่อง Basic Income เยอะมากขึ้น ไม่ว่าในสวิตเซอร์แลนด์ที่มีการทดลองแจกเงินให้ประชาชน หรือการที่ แอนดรูว หยาง (Andrew Yang) เอามาเป็นประเด็นหาเสียงในการลงสมัครประธานาธิบดีสหรัฐ ในญี่ปุ่นก็เริ่มมีการพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาบ้าง แต่การที่ยูซาคุเอาเงินมาแจกโดยบอกว่าเป็นการทดลองเรื่อง Basic Income ก็ทำให้ประเด็นนี้เป็นที่ถกเถียงในสังคมญี่ปุ่นมากขึ้น โดยยูซาคุก็บอกว่า ที่เขาทำแบบนี้เพราะว่าเขามีเงินและเวลาพอที่จะทดลองอะไรแบบนี้ได้ ซึ่งก็น่าสนใจว่าสิ่งที่เขาทำ ถ้าหากต้องการทดลองโดยรัฐบาล ก็อาจจะต้องใช้งบประมาณมากกว่านี้และต้องผ่านการตรวจสอบอะไรหลายต่อหลายอย่าง เอกชนอย่างเขาสามารถทดลองตรงนี้ได้อย่างคล่องตัวมากกว่า โดยที่เขาตั้งค่าเงิน ‘ล้านเยน’ เพราะประเมินว่า เฉลี่ยแล้ว แต่ละเดือนจะมีรายรับประมาณ 8 หมื่นกว่าเยน ซึ่งก็เป็นเงินพื้นฐานพอที่จะเช่าที่พักและใช้จ่ายซื้อของจำเป็นได้
ซี่งก็เป็นไอเดียที่ทำให้คนญี่ปุ่นสนใจไม่น้อย และเป็นที่ฮือฮาในสังคมญี่ปุ่นอีกครั้งหนึ่ง จนมีการถกกันว่า แนวทางที่เขาทำ มันใช่ Basic Income หรือไม่ หรือเป็นแค่การแจกเงินเฉยๆ เพราะเขาก็เองก็ไม่ได้ระบุเงื่อนไข หรือรายละเอียดอะไรในการแจกเงินครั้งนี้เท่าไหร่ นอกไปจากบอกว่านี่คือเงินโอโทชิดามะ หรือเงินที่ให้เด็กเป็นของขวัญปีใหม่ แต่ไม่มีรายละเอียดว่าจะจ่ายเงินแบบไหน คนแบบไหนถึงมีสิทธิ์จะได้รับเงิน จะใช้เกณฑ์อะไรในการแจก ก็ชวนให้คิดว่านี่ตกลงเป็นการทดลองทางสังคม หรือเป็นแค่การประชาสัมพันธ์ตัวเองอีกครั้ง เพราะช่วงนี้เขาก็ดูเหมือนจะขยันประชาสัมพันธ์ตัวเองเหลือเกิน (หลังจากขายหุ้น ZOZOTOWN) ตั้งแต่การประกาศว่าจะตั้งกิจการใหม่ เปิดช่อง YouTube ของตัวเองทำคลิปวิดีโอต่างๆ รวมไปถึงการประกาศว่า ต้องการหาผู้หญิงมาเป็นคู่ชีวิตอย่างจริงจัง (หลังจากเพิ่งเลิกกับดาราสาว อายาเมะ โกริกิ (Ayame Gouriki) ไปได้ไม่นาน) ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นรายการ Reality ทาง Abema TV อีกด้วย
ก็เรียกได้ว่าเป็นคนที่สร้างสีสันให้กับวงการธุรกิจของญี่ปุ่นได้เสมอ แม้อาจจะเป็นที่หมั่นไส้ของคนหลายคนที่ไม่ชอบเห็นใครทำตัวโดดเด่นเกินหน้าเกินตา แต่บางทีมีคนแบบนี้ก็ทำให้อะไรต่อมิอะไรมันสนุกขึ้นบ้างล่ะครับ แน่นอนว่าถึงจะขายหุ้น ZOZOTOWN ที่เป็นเหมือนลูกรักของตัวเองไป แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนมีของแบบนี้แล้ว เส้นทางในวงการธุรกิจของเขาก็คงยังอีกยาวววววล่ะครับ
อ้างอิงข้อมูลจาก