ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ‘ความไม่เท่าเทียมทางเพศ’ ก็มักจะกลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมเกาหลีใต้อยู่เสมอ โดยเฉพาะเพศ ‘อื่นๆ’ ที่ไม่ใช่เพศชาย ไม่ว่าจะเป็นข่าวคราวเรื่องการเกลียดกลัวเฟมมินิสต์ ไปจนถึงล่าสุดกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายสมรสเท่าเทียมในประเทศไทย เช่น สมรสเท่าเทียมคืออาการเจ็บป่วยทางจิต พวกเขากำลังพังพินาศ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บ้าไปแล้ว.. สิ่งเหล่านี้สามารถสะท้อนอะไรในสังคมเกาหลีใต้ได้บ้าง?
พื้นที่ของชายเป็นใหญ่และเอนไทเฟม
หลายคนน่าจะเคยเห็นหรืออ่านข่าวความไม่เท่าเทียมทางเพศ และเหตุการณ์การต่อต้านเฟมมินิสต์ในเกาหลีใต้มาบ้าง ว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อย หลายครั้งก็มักจบลงด้วยความรุนแรงและความสูญเสีย ยืนยันด้วยอัตราการก่ออาชญากรรมทางร่างกายและดิจิทัลต่อผู้หญิงในระดับสูง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากแรงขับเคลื่อนของผู้ชายมีการศึกษาที่มักกล่าวโทษว่าผู้หญิงและเหล่าเฟมินิสต์เป็นปัญหาสังคม
ในปี 2016 มีแรงงานอย่างน้อย 43 คน ถูกปฏิบัติอย่างโหดร้ายในที่ทำงาน จากการเป็นนักเคลื่อนไหวเฟมินิสต์ และในปีเดียวกันนักพากย์เสียงคนหนึ่งถูกไล่ออกจากงานเนื่องจากอัปโหลดภาพใส่เสื้อยืดที่มีข้อความว่า ‘ผู้หญิงไม่ได้ต้องการเจ้าชาย’ และในปี 2023 บริษัทแห่งหนึ่งไล่พนักงานหญิงรายหนึ่งออก เพราะเธอสนับสนุนการทำแท้งถูกกฎหมายและการจัดการอาชญากรรมกล้องแอบถ่ายที่กำลังเป็นประเด็นในประเทศ
ระบบทหารที่ก่อร่างความเป็นชาย
จีมิน นัม (JiMin Num) นักมานุษยวิทยาสังคมของเกาหลีใต้ กล่าวว่า ผู้ต่อต้านเฟมินิสต์และผู้ชายหลายคนที่มีทัศนะคติกดขี่เพศหญิงและอื่นๆ เกิดขึ้นได้เนื่องจากการทหารและสังคมปิตาธิปไตยที่หล่อหลอมสังคมเกาหลีใต้มาอย่างช้านาน การเข้าร่วมกับกองทัพซึ่งเป็นสถานที่ที่บังคับให้ผู้ชายในเกาหลีใต้เรียนรู้อัตลักษณ์ทางเพศในรูปแบบปิตาธิปไตย ผูกกับวัฒนธรรมสมัยนิยมที่ปลูกฝังศีลธรรมให้เหล่าชายชาติทหารต้องเป็นลูกกตัญญู แฟนหนุ่มที่เป็นลูกผู้ชาย และเป็นผู้พิทักษ์ที่เข้มแข็งของชาติ โดยไม่ได้คำนึงถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการบังคับเกณฑ์ทหาร
อุดมคติแห่งความสุข สู่บรรทัดฐานทางเพศ
เมื่อทหารกลายเป็นแกนหลักความเป็นชายของชาวเกาหลีใต้ การที่ผู้หญิงจะลุกขึ้นมาวิพากษณ์วิจารณ์ระบบเหล่านี้จึงเป็นเรื่องยาก และมักเจอกับกระแสโต้กลับที่รุนแรงตามมา
จีมินกล่าวต่อว่า ปิตาธิปไตยเองก็ได้ก่อให้เกิดบรรทัดฐานทางเพศมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 ที่สมัยนั้นเกาหลีใต้กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาหลังสงคราม และมีการรวมวัฒนธรรมเข้าด้วยกันโดยคนชนชั้นกลาง ทำให้เกิดภาพที่ว่าผู้ชายต้องทำงานหนัก ต้องมีหน้าที่การงานที่มั่นคง ส่วนภรรยาอยู่บ้านเต็มเวลา มีหน้าที่ทำงานบ้าน และเลี้ยงดูลูกๆ 3 คน สิ่งเหล่านี้กลายเป็นอุดมคติแห่ง ‘ความสุข’ ของคนในยุคสมัยนั้น
แต่สุดท้ายก็เป็นได้เพียงภาพในอุดมคติ เพราะในปี 1960 – 1980 ผู้หญิงจำนวนมากถูกผลักดันให้มาเป็นแรงงานในโรงงานต่างๆ จนกระทั่งเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชียปี 1997 ที่แม้ว่าจะมีการเลิกจ้างพนักงานหญิงจำนวนมาก แต่สังคมกลับให้ความสนใจเพียงแรงงานชายที่เหลือ ซึ่งต้องทำงานหนัก และถูกยกย่องให้เป็นวีระบุรุษ
รายงานของ Global Gender Gap ปี 2018 แสดงให้เห็นความแตกต่างอย่างมากในความเท่าเทียมของค่าจ้างและรายได้ของผู้หญิงและผู้ชายในประเทศ ขณะที่การสำรวจของ Realmeter ในปีเดียวกัน ของผู้ใหญ่มากกว่า 1,000 คน พบว่า 76% ของผู้ชายช่วงอายุ 20 ปี และ 66% ของผู้ชายอายุ 30 ปี ต่อต้านเฟมินิสต์ อีกทั้งเกือบ 60% ของผู้เข้าร่วมการสำรวจช่วงอายุ 20 ปี คิดว่าปัญหาทางเพศเป็นสาเหตุของความขัดแย้งที่ร้ายแรงที่สุดในประเทศอีกด้วย
แม้ปัจจุบันเกาหลีใต้จะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจในด้านวัฒนธรรมและเทคโนโลยี แต่ปัญหาการคุกคามทางเพศก็ยังคงมีให้พบเห็นอย่างแพร่หลาย ทว่ารัฐบาลเกาหลีใต้ที่นำโดย ยุน ซ็อกยอล (Yoon Suk Yeol) กลับบอกว่า ‘ปัญหาการเหยียดเพศที่ฝังรากลึกในระบบต่างๆ ของเกาหลีใต้นั้นเป็นเพียงเรื่องในอดีต’
ระบบชายเป็นใหญ่สู่กำแพงอคติทางเพศของคนในสังคม
ล่าสุดกรณีที่เว็บไซต์ Naver สื่อสังคมออนไลน์ใหญ่ของเกาหลีใต้ โพสต์ข่าวเกี่ยวกับการประชุมสภาของประเทศไทยที่มีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่…) พ.ศ. …. หรือร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม วาระที่ 2-3 ข่าวดังกล่าวเต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกือบ 500 คอมเม้นท์ ที่แสดงความไม่เห็นด้วยต่อกรณีสมรสเท่าเทียม มากไปจนถึงไม่อยากให้เกิดในประเทศตัวเอง
บนเว็บไซต์ดังกล่าวได้มีการจัดทำสถิติผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น โดยพบว่าผู้ที่มาแสดงความคิดเห็นกว่า 77% เป็นผู้ชาย และ 23% เป็นผู้หญิง ขณะที่ส่วนใหญ่กว่า 37% อยู่ในช่วงวัยประมาณ 40 ปี ซึ่งคอมเมนท์ส่วนใหญ่ไปในทางเชิงลบ โดยมองว่าเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ และไม่ต้องการเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นในบ้านของตัวเอง
ขณะที่รายงานของ Human Rights Watch ที่เผยแพร่เมื่อปี 2021 ระบุว่ากลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQIA+) ในเกาหลีใต้ต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยว และการปฏิบัติอย่างโหดร้ายในโรงเรียน โดยต้องประสบกับการกลั่นแกล้งและคุกคาม รวมถึงขาดการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตด้วย
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า เกาหลีใต้ ยังไม่สามารถก้าวออกจากระบบที่ฝังลากลึกมาอย่างยาวนานได้อย่างสมบูรณ์ ผู้คนจำนวนมากยังคงถกเถียงกันเรื่องความเท่าเทียมทางเพศจนแล้วจนเล่าก็ยังคงไม่มีข้อสรุป คงต้องรอดูกันต่อไปว่าอะไรจะเข้ามาทลายกำแพงทัศนคติ อคติทางเพศเหล่านี้ของเกาหลีใต้ได้
อ้างอิงจาก