โพสต์อิท คัทเตอร์ สก็อตเทป สก็อตไบรต์ กรรไกร ผ้าเช็ดฝุ่น หรือแม้แต่แผ่นแปะสิว มองไปรอบๆ ตัวสิ มั่นใจได้เลยว่า ในระยะไม่เกิน 3 เมตร จะต้องเจออะไรสักอย่างที่เป็นของ 3M แน่นอน
นี่ไม่ใช่โฆษณา! แต่อยากชวนกวาดสายตาให้สังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัว ว่าสิ่งของแต่ละชิ้นที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาและอำนวยความสะดวกให้ชีวิตเรา มีของของ 3M เต็มไปหมด
จริงๆ ก็ไม่เคยสังเกตการมี 3M อยู่รอบๆ ตัวมาก่อน จนวันที่มีโอกาสไปเยี่ยมศูนย์วิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของ 3M และได้มีโอกาสพบกับ Mr. Paul Acito รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาดที่มาเยี่ยมเมืองไทยพอดี Mr. Paul จึงให้เกียรติพาไปเดินดูสถานที่ พร้อมชี้ให้เห็นเลยว่า โอ้โห ชีวิตเรานั้นเกี่ยวข้องกับสินค้าของ 3M ตั้งแต่ตื่นยันหลับเลยล่ะ
เราเอ่ยถามคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในใจออกไปว่า “3M มีสินค้าทั้งหมดเท่าไหร่?” Mr. Paul หันมายิ้มให้ แล้วตอบว่า “Who knows?”
The MATTER : สินค้าชิ้นแรกของ 3M คืออะไร
Mr. Paul : กระดาษทรายครับ ตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อน จริงๆ มันเป็นความผิดพลาดด้วยนะ เพราะเราตั้งใจลงทุนขุดสินแร่ Corundum แต่ปรากฏว่ามีไม่มากพอ และไปเจอแร่อย่างอื่น จึงนำเอาแร่ที่ขุดได้มาทำกระดาษทรายแทน แล้วระหว่างการขนส่งไปยุโรปทางเรือ ก็ได้ค้นพบว่าแม้กระดาษทรายจะเปียก มันก็ยังใช้งานได้ และนั่นก็เป็นที่มาของสินค้าชิ้นแรกของ 3M คือ ‘กระดาษทรายน้ำ’ และเป็นนวัตกรรมใหม่ของโลก ซึ่งตอนนั้นสำคัญมากสำหรับอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์
The MATTER : จากสินค้าเพื่อการผลิตรถยนต์ 3M เข้ามาอยู่ในชีวิตทั่วๆ ไปของคนได้ยังไง
Mr. Paul : พอเจอกระดาษทราย เราก็ตั้งคำถามตลอดเลยว่า ‘คนเขามีปัญหาอะไรกันอีก?’ เพราะนั่นหมายถึงว่าเรามีโอกาสอะไรอีก แล้วเราก็ไปเจออีกปัญหาในอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์เนี่ยแหละ เวลาที่เขาจะทำสีรถเป็นสองสี เขาต้องทากาวที่ตัวถังก่อน แล้วติดกระดาษลงไป เพื่อที่จะทำสีได้ ทีนี้บริษัทก็เลยปิ๊งไอเดียว่า ถ้าทำกระดาษให้ติดกาวได้เลยล่ะ แล้วนั่นก็เป็นที่มาของ Masking Tape
จริงๆ เราใช้วิธีนี้กับการคิดสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา เราดูก่อนว่าคนมีปัญหาอะไร และเราจะสร้างอะไรขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานั้นได้บ้าง อีกวิธีที่เราใช้ก็คือ คิดต่อจากสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาแล้ว ว่าเอาไปทำอะไรอีกได้บ้าง อย่างเช่นไมโครไฟเบอร์ที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อใช้กับหน้ากากกรองอากาศ เราก็เอามาพัฒนาต่อเป็นผ้าเช็ดฝุ่นหรือผ้าเช็ดเลนส์ สำหรับใช้ในบ้านหรือในออฟฟิศได้
เราไม่หยุดแค่หนึ่ง เมื่อเราสร้างอะไรเจ๋งๆ ขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง มันก็สามารถพาไปสู่สิ่งอื่นได้เสมอ
The MATTER : Post-it® ดูจะเป็นหนึ่งในสินค้าที่ทำให้คนรู้จัก 3M มีการต่อยอดจากการสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาไหม
Mr. Paul : แน่นอนครับ Adhesive Technology ที่ทำให้เกิด Post-it® นี้เอาไปใช้ต่อยอดได้หลายผลิตภัณฑ์ อย่างเช่น ScotchBlue™ มาส์กิ้งเทป ซึ่งติดสำหรับช่วยทาสีเป็นลวดลาย หรือ Post-it® Super Sticky Notes ที่คิดมาให้ติดได้บนทุกพื้นผิว (Post-it รุ่นแรกๆ จะติดได้เฉพาะบนกระดาษ) หรือแม้แต่คิดแบบย้อนกลับ เราสร้างกระดานที่เอากระดาษธรรมดาติดลงไปแล้วลอกออกได้ก็มี จริงๆ เดี๋ยวปีนี้ก็จะมีสินค้าออกมาใหม่ที่น่าตื่นเต้นออกมาอีก แต่ขออุบเอาไว้ก่อน
The MATTER : ทำยังไงถึงทำให้บริษัทคิดและสร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาได้ตลอดเวลา
Mr. Paul : อย่างแรกคือเราให้ความสำคัญกับ R&D มากๆ เราลงทุนถึง 6% ของรายได้ (ประมาณ 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ต่อปี วางศูนย์วิจัยฯ ไว้ตามประเทศใหญ่ๆ ทั่วโลก ไม่ใช่เพื่อกระจายความรู้อย่างเดียว แต่เพราะเราอยากจะได้ไอเดียใหม่ๆ จากทั่วทุกมุมโลก ทำให้เราได้สินค้าที่ทำขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของท้องที่ (Local Product) และเอาเข้ามาในไลน์ผลิต รวมถึงแชร์องค์ความรู้เพื่อไปปรับใช้ที่ประเทศอื่นๆ ด้วย
อีกอย่างก็คือความคิดสร้างสรรค์ เราสนับสนุนให้คนของเรากล้าเสี่ยง ไม่ต้องกลัวที่จะลองที่จะผิด แล้วเราก็วัฒนธรรมของการร่วมมือและเชื่อใจกัน เมื่อคุณมีไอเดีย คุณสามารถแชร์ให้เพื่อนในทีมหรือแม้แต่ทีมในต่างประเทศช่วยออกความเห็นได้ แล้วเราก็มี “15 percent time” คือให้พนักงานสามารถใช้เวลา 15 เปอร์เซ็นต์ของเวลางานไปทดลองทำสิ่งที่พวกเขาคิดได้
จริงๆ แล้ว อย่างศูนย์วิจัยฯ ที่เราสร้างไว้ในหลายๆ ประเทศ เราก็ได้ไอเดียจากตรงนี้ เพราะคนที่มาเยี่ยมมาดูงาน บางทีก็ผุดไอเดียใหม่ๆ ขึ้นมา แล้วเอามาให้เราช่วยทำต่อ
เราเป็นบริษัทข้ามชาติ มีการแลกเปลี่ยนทรัพยากรคน พร้อมความรู้ ข้ามประเทศอยู่ตลอดเวลา มันทำให้เรากลายเป็นพลเมืองของโลก (Global Citizen) เคารพซึ่งกันและกัน เชื่อใจกัน พร้อมจะร่วมมือและแบ่งปันความรู้ความเห็นกัน นั่นเป็นตัวช่วยผลักดันให้สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะจะเกิดไอเดียต่างๆ ขึ้น
The MATTER : สภาพแวดล้อมในการคิดค้นนวัตกรรมและทำธุรกิจของประเทศไทยเป็นยังไงบ้าง
Mr. Paul : ในแง่ธุรกิจ นโยบายประเทศไทย 4.0 ก็ดูจะเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แล้วผมก็ชื่นชมคนไทย ระดับหัวหน้าของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เป็นคนไทย คนไทยที่ทำงานให้เราส่วนมากคืออายุน้อยแต่มีไฟ เก่งเรื่องเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต แล้วก็พัฒนาด้านภาษาได้เร็วมาก
The MATTER : มีธุรกิจด้านไหนไหมที่ 3M ยังไม่ได้เข้าไปทำ แต่วางแผนไว้สำหรับอนาคต
Mr. Paul : เรากำลังสนใจเรื่อง Internet of Things ว่าจะเอามาเชื่อมโยงกับสินค้าที่เรามียังไงได้บ้าง อย่างสินค้าที่เกี่ยวกับด้านความปลอดภัย (Personal Safety) เราก็อยากเปลี่ยนมันให้เป็น Connected Safety คือมีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต แล้วช่วยให้ผู้ใช้เลือกใช้อุปกรณ์ให้เหมาะสม หรือมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ อย่าง AI หรือ Machine Learning เราก็ใช้ในธุรกิจของเรามานานแล้ว ทั้งในสายการผลิตและการตลาด ล่าสุด เราก็ใช้ในการทำความรู้จักและตอบสนองกับลูกค้าให้มากขึ้น
The MATTER : คุณคิดว่าสินค้า 3 อย่างที่คนทั่วไปจะไม่คิดว่าเป็นสินค้าของ 3M คืออะไร
Mr. Paul : ลองก้มดูมือถือคุณสิ ผมว่าในนั้นน่าจะมีสินค้าของ 3M อยู่สักสองสามอย่าง เราทำฟิล์มเพิ่มความสว่าง (Brightness Enhancement Film) ที่ช่วยเพิ่มความสว่างของหน้าจอมือถือขึ้น 20% ซึ่งแน่นอนว่าช่วยประหยัดแบตเตอรี่มือถือได้ อย่างที่สองที่คนไม่ค่อยรู้ว่าเราทำ คือเป็นศูนย์ข้อมูล Big Data ด้านสุขภาพของคนในสหรัฐฯ เก็บบันทึกการเจ็บป่วยของคน และให้บริการด้านข้อมูลสุขภาพต่างๆ ส่วนอย่างที่สามที่คนอาจจะสังเกตน้อยหน่อย ก็คือพวกผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับฟัน ประมาณนี้ครับ
เรามักจะหยอกกันเล่นๆ ว่าคุณไม่สามารถหนีจาก 3M ได้พ้นหรอก เพราะ 3M จะอยู่รอบตัวคุณไม่ไกลเกิน 3 เมตรแน่นอน