“อย่าเพิ่งท้อ วันที่รอจะมาถึง” คือคำกล่าวที่อธิบายชีวิตตลอด 37 ปีของ ‘จูดี้ จารุกิตติ์’ ได้เป็นอย่างดี
เพราะกว่าจะได้เป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักในวงกว้าง จูดี้ต้องเผชิญกับความยากลำบากมาตั้งแต่เด็ก เนื่องด้วยข้อจำกัดทางการเงินของครอบครัว จูดี้จึงตัดสินใจย้ายมาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟเพื่อหารายได้และจัดการค่าใช้จ่ายต่างๆ ด้วยตนเอง
กระทั่งวันที่ความสำเร็จมาถึง จูดี้จึงได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่มีคุณค่ากว่าชื่อเสียงเงินทอง คือการได้ทำประโยชน์ให้แก่สังคมและผู้ชม การทำอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ โดยเฉพาะการถ่ายคลิปท่องเที่ยวกับหนุ่มเกาหลีใต้อย่าง ‘คัลแลน’ และ ‘จอง’ ทำให้เขาได้สัมผัสถึงการเป็นผู้ให้ ทั้งในแง่ของการช่วยเหลือชุมชน และการสร้างความสุขให้แก่ผู้ชม สิ่งเหล่านี้คือความภาคภูมิใจที่จูดี้อดทนรออย่างตั้งใจมาตลอด 24 ปี
ครั้งนี้ รายการ 30 ยังจ๋อย อยากพาทุกคนไปรู้จัก ‘จูดี้ จารุกิตติ์’ ให้ลึกซึ้งขึ้นว่า ภายใต้ภาพลักษณ์ที่สนุกสนานนั้น แท้จริงแล้ว จูดี้ต้องผ่านการล้มลุกคลุกคลานมาแค่ไหน และทำไมจูดี้จึงไม่เคยหยุดพยายามทำตามความฝัน แม้จะโดนปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า
01
“เราจะรู้สึกเหมือนเป็นวัยรุ่นได้ตลอดไปหรือเปล่า”
เริ่มต้นแนะนำตัวตามคอนเซปต์รายการ 30 ยังจ๋อย
สวัสดีค่ะ จูดี้ อายุ 37 ปี ยังโสดและสวยค่ะ (หัวเราะ) เมื่อมองจากตาเนื้อเข้ามา ไม่ว่าจะจากองศาไหนก็ยังสวย เพราะถึงไม่สวย เราก็ต้องเชื่อว่าสวย
โสดมานานแล้วเหรอ
ไม่เคยปล่อยให้หัวใจตัวเองว่าง แต่นัยยะของการโสดคือ เวลาชอบใครก็ไม่มีใครชอบกลับไง ถ้ามีคนชอบกลับ เราก็จะไม่โสด แต่นี่ชอบเขาข้างเดียว ก็เลยยังโสดอยู่ (ยิ้ม)
ช่วงอายุ 30 ตอนต้น ชีวิตเป็นยังไงบ้าง
ยังไม่เคยคิดว่าตัวเองอายุ 30 เลย เพราะวิธีคิดของเราไม่เคยเปลี่ยนจากตอนมหาลัย คือรู้สึกตื่นเต้นกับทุกเรื่อง แม้จริงๆ จะอยู่ GEN Y แต่ทำไมล่ะ ฉันจะเป็น GEN Alpha พวกคำศัพท์กะเทยใหม่ๆ ก็ต้องเรียนรู้และนำไปใช้ อาจจะไม่เข้าปากหรอก แต่เราจะไม่ยอม
เริ่มรู้สึกว่าวัย 30 ยากขึ้นเมื่อไร
ชีวิตเรามันยากมาตั้งแต่ต้น เมื่ออายุ 30 แล้วก็ยังยากอยู่ จนกระทั่งหลังโควิด-19 ถึงไม่ยากแล้ว เพราะช่วงโควิด-19 ทุกคนไม่มีงาน และทำได้แค่อยู่บ้าน ทำให้เราฉุกคิดได้ว่า ชีวิตตอนนี้คือเนื้อแท้ ทุกคนเท่ากันหมด ไม่ว่าจะมีเงินกี่พันล้านหมื่นล้านก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ณ วันนั้น สื่อออนไลน์ไม่มีการอัปเดตใดๆ นอกจากคอนเทนต์คลิปที่บ้าน ทีวีช่องหลักไม่มีการผลิตรายการใหม่ เราจึงคิดเข้าข้างตัวเองว่า งั้นก็เสมอกันแล้ว หลังโควิดเดี๋ยวเจอกู
จูดี้หลังโควิด -19 เป็นยังไง
คนเดียวที่ช่วยเหลือจูดี้ตอนช่วงโควิด-19 คือตัวเราเอง ดังนั้นวันนี้คนที่เราต้องแคร์คือตัวเองและครอบครัว หลังโควิดจึงกล้าปฏิเสธทุกคนที่ไม่โอเค และปฏิเสธทุกสิ่งที่ไม่อยากทำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก ทุกอย่างเบาลง สุขภาพกลับมาดีขึ้น ช่วงนั้นไม่ต้องทำงาน ได้ออกกำลังกายนิดหน่อย มีเวลาอ่านหนังสือที่อยากอ่าน ดูซีรีส์และหนังที่อยากดู เหมือนได้รีเซ็ตร่างกายใหม่หมดเลย
ก่อนหน้านั้น จูดี้เป็นคนที่แคร์ทุกคนเหรอ
เป็นคนขี้เกรงใจ ไม่กล้าปฏิเสธคนอื่น เพราะกลัวถูกมองว่าไม่สำคัญ
แล้วทำไมถึงเปลี่ยนความคิด
เพราะช่วงโควิด-19 ไม่มีใครช่วยเหลือเรา ทุกคนต่างเอาตัวรอด ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดนะ แต่เราก็ต้องเอาตัวรอดเหมือนกัน ตอนนี้เราทำได้แค่พึ่งพาตัวเอง สิ่งที่เราศรัทธาและยึดมั่นคือตัวเราเอง
สิ่งที่เพิ่งค้นพบในวัย 30 คืออะไร
ก่อนหน้านี้เราทำธุรกิจ ถ้าทำอะไรได้ไม่ดี ก็จะโดนคู่แข่งหรือเพื่อนร่วมธุรกิจโพสต์ด่าบ้าง แต่เราไม่เคยยอมแพ้ใครเลย ขณะเดียวกันก็จะพยายามอธิบายการกระทำทุกอย่างของตัวเอง เพราะกลัวคนอื่นจะไม่รัก แต่สุดท้าย หลังอายุ 30 มาแล้ว เราเลิกอธิบาย เลิกตั้งคำถามว่า ทำไมเธอถึงไม่รักฉัน เพราะเราควรให้ค่าแค่คนที่เรารักและรักเรา
“วันนี้เราไม่โกรธ และไม่อยากเอาชนะใครเลย เราไม่แคร์คนที่รู้จักเราเพียงผิวเผินแล้ว
นี่คือนิสัยที่เพิ่งค้นพบในวัย 30”
02
“ถ้าเรารอ สักวันหนึ่งมันต้องได้”
จูดี้เคยเล่าว่าอยากทำงานในวงการบันเทิงตั้งแต่เด็กๆ ทำไมจึงเป็นแบบนั้น
ตอนนั้นคิดว่ามันดูเป็นงานที่เท่ ง่าย และห้อมล้อมไปด้วยผู้คน และอาจจะได้เงินเยอะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ติดอยู่ในความฝัน แต่อุปสรรคของเรา ณ วันนั้นคือ ‘หน้าตา’ ที่ไม่ใช่พิมพ์นิยมของคนไทย
แต่ไม่ได้ทิ้งความฝันนี้ไปใช่ไหม
ไม่ได้ทิ้ง ในเมื่อพี่นุ้ย พี่บุ๊คโกะเป็นพิธีกรที่ดีได้ แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้
แล้วจูดี้ต่อสู้เพื่อความฝันอย่างไรบ้าง
ความฝันนี้เกิดขึ้นช่วงมัธยม หลังจากนั้นตัดสินใจมาเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ทั้งที่ครอบครัวไม่มีเงินซัปพอร์ต ต้องเช่าห้องแคมป์คนงานสังกะสีสำหรับพักอาศัย และพยายามเรียนจบให้ไวที่สุด พร้อมทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟเลี้ยงตัวเองไปด้วย เป้าหมายตอนนั้น คือการอยู่รอดในแต่ละเดือน เราต้องผ่านมันไปให้ได้
ความยากลำบาก ณ ช่วงเวลานั้นคืออะไร
ความยากในช่วงแรกคือเรื่องเงิน เราทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารกลางคืน ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จึงหมดไปกับการเดินทางด้วยแท็กซี่ รถไฟฟ้าปิดให้บริการแล้ว เราเหลือเงินสำหรับค่าอาหารไม่มาก เวลาสั่งอาหารจึงต้องขอแม่ค้าเพิ่มน้ำซุป เศษไก่ และฟัก เพื่อกินข้าวให้ได้ 2 จาน จะได้อยู่ท้อง แค่หาเงินเลี้ยงตัวเองไปวันๆ ยังยากเลย จะเอาเวลาที่ไหนไปทำตามความฝันในการเป็นดารา
ในวันที่ท้อ จูดี้เอาชนะมันยังไง
ท้อก็เศร้าไง แต่เราต้องเศร้าไม่นาน เพราะเราไม่มีทางเลือกอื่น หนึ่งสิ่งที่จูดี้มีตลอดคือความหวัง เราเติมไฟให้ตัวเองในวันที่ท้อด้วยความเชื่อที่ว่า วันหนึ่งมันต้องเป็นของเรา วันหนึ่งโอกาสต้องมาหาเรา ถ้าวันนี้ไม่ได้เป็นที่รู้จักจากการไปทำงานกับจองคัลแลน เราคงพูดได้ไม่เต็มปากว่า ฉันรอ และฉันได้ในสิ่งที่รอ ในที่สุดวันที่รอก็มาถึง
ถามจริง จูดี้เติมไฟในวันที่ท้อยังไง
เราสมัครทุกเวทีที่เฟ้นหาพิธีกร นักแสดง หรือนักร้อง ทั้ง The Star, AF, Dutchie Boys & Girls เวทีประกวด MC ของ Grammy แต่โดนปฏิเสธทุกการประกวด แม้แต่ตอนประกวด MC ที่มหาลัย ก็เข้ารอบถึงแค่ 5 คนสุดท้าย ลงจากเวทีมาจึงโทรไปร้องไห้กับแม่ แต่แม่บอกกับเราว่า “ไม่เป็นไรลูก สู้ต่อ!”
เรารอมาเป็นสิบปี แต่ไฟยังไม่หมด ถ้าไฟมอดเมื่อไร เราก็จะเติมมันด้วยการฟังพอดแคสต์ อ่านหนังสือ ดูคลิปแรงบันดาลใจของคนที่ประสบความสำเร็จ การอดทนรอคือสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าเราทิ้งความฝันไป โดยไม่หือไม่อือกับคำเชิญของคัลแลน วันนี้เราคงไม่ได้มานั่งสัมภาษณ์ตรงนี้หรอก
คิดว่าประสบความสำเร็จช้าไปไหม
เราถามทุกคนในวงการว่า “หนูช้าไปไหม” เพราะเราอายุมากกว่าอินฟลูฯ ส่วนใหญ่ แต่อาม่าในภาพยนตร์เรื่องหลานม่า อายุ 78 ปี ก็ยังเดินสายลุ้นรางวัลอยู่นะ (ยิ้ม)
การเป็นอินฟลูฯ ทำคอนเทนต์ต้องเจอความยากอะไรบ้าง
ไม่มีเลย เพราะเราผ่านความยากมาตั้งแต่ตอนเด็กหมดแล้ว สิ่งที่ยากที่สุด คือการเกิดเป็นมนุษย์ เราซ้อมเป็นดาราและพิธีกร ซ้อมตอบคำถามคนเดียวมาตลอด
จากคอนเทนต์ใหม่ของ ‘มาม่า’ ที่เล่าถึงการอดทนรอ จูดี้รับชมแล้วรู้สึกยังไง
เราก็เป็นคนนั้นที่เจอเหตุการณ์ไม่ต่างจากในคอนเทนต์ของมาม่า อย่างคนแรกที่สมัครงานแล้วแม่โทรมาถามว่าเป็นไงบ้าง เราดูซีนนั้นแล้วร้องไห้เลย เพราะเราก็เคยถูกปฏิเสธจากการประกวดต่างๆ
ในคอนเทนต์ของมาม่ามีคำกล่าวที่ว่า ‘อย่าเพิ่งท้อ วันที่รอจะมาถึง’ จูดี้คิดยังไงกับประโยคนี้
เราชอบคำนี้นะ ‘อย่าเพิ่งท้อ’ เป็นคำที่เราบอกกับตัวเองและคนที่รัก เราโคตรมั่นใจว่า เดี๋ยววันของเราก็มาถึง เพราะระหว่างทาง เรารอมาด้วยความยาก เมื่อวันที่รอมาถึง จึงมีแต่ความสุข ไม่มีอะไรที่ยากและน่ากลัวอีกต่อไป
พอวันที่รอมาถึง จูดี้รู้สึกยังไง
เราอยากทํางานในวงการบันเทิง อยากมีซีนมีแสง อยากเป็นที่รู้จักมาโดยตลอด ซึ่งที่ผ่านมา เราไม่เคยท้อ แล้วสุดท้าย วันที่รอก็มาถึงจริงๆ นั่นคือวันที่ชื่อของเราติดเทรนด์อันดับ 1 บนแพลตฟอร์ม X มีทั้งผู้ชมในยูทูบ ทั้งคนแชร์และตัดต่อคลิปไปเผยแพร่ทาง TikTok ทําให้มีคนรู้จักเราเพิ่มมากขึ้น เราโคตรมีความสุขเลย สิ่งเดียวที่อยากทำ คือนั่งเสพความสุขตรงนี้ ทําไมมันหอมหวานจัง
เงินก้อนแรกที่ได้จากวงการบันเทิง เราเอาไปจ่ายหนี้ให้แม่ เขาถามกลับว่า ทำไมไม่เอาไปใช้ เราก็บอกว่า เราได้ชื่อเสียงมาแล้ว ไม่ได้อยากได้เงิน และอยากให้รู้ว่า ความสำเร็จที่ได้มาเป็นของแม่ด้วย เพราะแม่ก็ร่วมอดทนรอมาด้วยกัน
03
“สิ่งเดียวที่สําคัญที่สุดคือแม่”
ทำไมจึงเปรียบเทียบชีวิตตัวเองเป็นเพลง Live and Learn ของกมลา สุโกศล
เราโดนบีบให้โตตั้งแต่เด็ก อย่างที่เล่าไปตอนต้นว่า เราเป็นผู้บริหารตอนอายุ 24 พนักงานจำนวน 200-300 คน ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเรามีอายุตั้งแต่ 30-60 ปี เราอยู่กับวัฒนธรรมแบบนี้มานาน สิ่งแวดล้อมและบริบทการทํางานบีบให้เราต้องเป็นคนแบบนี้ เราจึงอินกับเพลงนี้
สิ่งที่ทําให้ร้องไห้ได้ง่ายในวัยนี้คืออะไร
แม่ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองมา 2 ปีแล้ว เป็นอัมพาตครึ่งซีก ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยลง ตอนนี้แม่ก็ทำกายภาพบําบัดเรื่อยๆ จนอาการเริ่มดีขึ้น แต่ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ จริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นสิ่งที่คาดไว้ตั้งแต่ต้น เพราะพฤติกรรมการกิน น้ําหนักและส่วนสูงของแม่ในวัยนี้ มีโอกาสเป็นสูงมาก เราขอให้แม่ไปรับยาไขมันในเลือดและเบาหวาน แม่ยอมไปรับ แต่ไม่ได้สนใจขนาดนั้น เพราะไม่ได้เชื่อและไม่ได้กลัว
ทำไมเรื่องนี้ถึงทำให้ร้องไห้ง่าย
ตอนนี้มีเงิน มีชื่อเสียง แต่พาแม่ไปเที่ยวต่างประเทศไม่ได้แล้ว เพราะแม่เดินทางลําบากแล้ว ต้องใช้รถเข็น หรือพยุงเดินได้นิดหน่อย นี่คือสิ่งที่เสียไปแล้ว ทั้งที่แม่ควรจะได้เห็นความสําเร็จที่รอมานาน วันที่แม่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง คือวันที่เรานัดไปถ่ายคลิปเที่ยวเชียงใหม่กับคัลแลน ซึ่งเป็นคลิปแรกๆ เลย แต่สุดท้ายไม่ได้ไป เพราะต้องไปหาแม่ที่โรงพยาบาล คัลแลนพูดกับเราว่า “จูดี้ลืมไปได้เลยว่าจ่ายค่าเครื่องบินค่าที่พักแล้ว คุณแม่สําคัญที่สุด”
สิ่งที่ไม่เคยพูดกับแม่คือ “หนูรักแม่มาก” แต่หลังจากแม่ป่วย เรารู้แล้วว่าต้องแสดงออก เพราะจูดี้ไม่อยากไปพูดคำนี้ในห้องไอซียูเหมือนวันนั้นแล้ว ซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่า แม่ได้ยินหรือเปล่า
ช่วง 6 เดือนก่อนแม่ป่วย เราเคยถ่ายคลิปยูทูบกับแม่ เพราะอยากเก็บภาพความทรงจำไว้ ถ้าวันหนึ่งแม่เป็นอะไรไป เราจะมีวิดีโอที่แม่ยังแข็งแรงครบ 32 และยังยิ้มอยู่กับเรา
อยากไปเที่ยวกับแม่ที่ไหนบ้าง
ก่อนหน้านี้ เราได้พาแม่ไปเที่ยวญี่ปุ่น แม่ได้กินอาหารที่ชอบ ได้สัมผัสหิมะจริงๆ ที่ภูเขาไฟฟูจิ ส่วนเมษานี้ แม่อยากไปนอนพูลวิลล่าที่หัวหิน อยากเดินเหยียบทราย และสัมผัสน้ำทะเล เดี๋ยวเราจะอัปโหลดคลิปเที่ยวให้ทุกคนได้ชมด้วย เพราะไม่รู้ว่าจะเป็นวิดีโอสุดท้ายหรือเปล่า (ร้องไห้)
“ในวันที่แม่ป่วย เราไม่รู้ว่าจะทํางานหาเงินเยอะๆ ไปเพื่ออะไร ทองที่สะสมไว้ก็ไม่ได้ช่วยให้แม่ดีขึ้น
เงินในบัญชีที่มีมากมายก็ไม่สามารถรักษาแม่ให้หายจากโรคนี้ได้”
04
“ภาคภูมิใจที่ได้ทําประโยชน์ให้สังคม”
เรื่องที่ชุบชูใจมากที่สุดในวัยนี้คืออะไร
การได้รับคำชื่นชมว่า ‘เราถ่ายทอดสิ่งที่คนหลงลืมให้กลับมามีชีวิต’ ตอนที่เราไปถ่ายคลิปกับจองคัลแลน เราได้ลองทำอะไรมากมาย ลองเผาข้าวหลาม ทำให้ข้าวหลามกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ขายดิบขายดี และสร้างรายได้ให้กับทุกชุมชน ทั้งขนม อาหาร และสถานที่หลายแห่งกลับมาถูกพูดถึงอีกครั้ง เพราะความไม่รู้ของพวกเขาที่เป็นชาวต่างชาติ
ผู้ชมบางคนกำลังทำคีโมอยู่ และรู้สึกชีวิตมืดมน แต่พอได้ดูคลิปจองคัลแลน เขาสดใสขึ้น มีกำลังใจทำคีโมต่อ บางคนหายเป็นปกติ อย่างน้อยคลิปของเราก็เป็นเพื่อนสำหรับผู้ชม ทำให้เขามีความสุขและอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป แค่เราได้เป็นส่วนหนึ่งในเรื่องนี้ก็ทำให้รู้สึกภาคภูมิใจมาก และอดคิดไม่ได้ว่า ‘ทำไมเราถึงมีคุณค่าในชีวิตขนาดนี้’ วันที่รอมาถึงแล้ว และเรายังได้ทำประโยชน์กลับคืนสู่สังคมและผู้ชมด้วย
การทำงานกับจอง คัลแลน และแดน ทำให้จูดี้ได้เรียนรู้อะไรบ้าง
เราเป็นคนใจร้อน แต่น้องทั้งสามคนกลับใจเย็นและมองโลกในแง่บวก นั่นทำให้เราค่อยๆ เปลี่ยนมุมมองคิดบวกมากขึ้น ใจเย็นลง บางครั้งเราหงุดหงิดที่รออาหารนาน แต่คัลแลนบอกว่า “ไม่เป็นไร รอได้ เราจะได้นั่งคุยกันไง” ส่วนพี่จองจะบอกว่า “หิวเหรอ ดื่มน้ำก่อนไหม เดี๋ยวผมไปเอาน้ำให้”
สิ่งที่อยากเลิกให้ได้ก่อนพ้นวัย 30 คืออะไร
อยากเลิกอ้วนและมีสุขภาพที่ดีก่อนอายุ 40 ปี เราจะใช้ชีวิตอยู่ทําไมอะ แล้วใครจะใช้เงินล่ะ ถ้าเราเป็นโรคหลอดเลือดเหมือนแม่ เพราะเราก็มีโอกาสเป็นสูง
จูดี้อยากบอกอะไรกับคนที่กำลังท้อและยังรออยู่
จริงๆ ความอดทนไม่เคยทรยศใคร ในทุกสายอาชีพและทุกเรื่องของชีวิต ถ้าคุณฝึกฝนตลอดเวลา วันหนึ่งคุณจะถูกมองเห็น วันหนึ่งการอดทนรอนั้นจะตอบแทนคุณ ถ้ายังไม่ท้อ เราเชื่อว่าวันนั้นจะมาถึง จูดี้รอมายี่สิบกว่าปี แล้ววันที่จูดี้รอก็มาถึงอย่างเต็มภาคภูมิ
อยากให้ทุกคนซื่อสัตย์กับความตั้งใจและความฝันตัวเอง ระหว่างทางอาจจะมีท้อบ้าง แต่อย่าปล่อยให้ความฝันเลือนหายไป ถ้าไฟมอดก็เติมไฟใหม่ ถ้าสังคมไม่ดีก็เปลี่ยนสังคมใหม่ พาตัวเองไปอยู่ในที่ที่ดีต่อวิธีคิดและทัศนคติของเรา แล้วเราจะอดทนรอได้นานขึ้น
ขอเป็นกําลังใจให้ทุกคนที่ท้อและอดทนรอ ขอให้วันที่รอมาถึง และเป็นวันที่มีความสุขเหมือนจูดี้