‘เวลาเป็นเงินเป็นทอง’ คือประโยคที่คนยุคก่อนมักใช้พูดเพื่อแสดงเจตจำนง ว่าไม่อยากเสียเวลาไปกับสิ่งอื่นๆ ที่ไม่จำเป็น เพราะเวลาเหล่านั้นสามารถแปรผันเป็นเงินและทองได้ ทำให้คนยุคก่อนหน้านี้จึงทุ่มเวลาทุกวินาทีไปกับไขว่คว้าและเก็บหอมรอมริบ
หากคนยุคก่อนมีโอกาสหรือช่องทางที่สามารถทำงานและใช้ชีวิต มีรายได้อย่างที่คาดหวัง และได้ชาร์ตพลังด้วยกิจกรรมที่โปรดปรานไปพร้อมๆ กัน …อย่างที่คน Gen Y ซึ่งปัจจุบันมีอายุอยู่ในช่วง 18 – 38 ปี ได้รับโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงไปของโลก และเป็นจุดเริ่มต้นที่คนส่วนใหญ่พยายามไขว่คว้าหาหนทางที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างสมดุลอย่างใจคิด หรือที่เรียกว่า Work-Life Balance
นัยหนึ่งแนวคิดนี้ก็อาจหมายถึงการมองว่า ‘เวลาเป็นมากกว่าเงินและทอง’ อย่างที่คนในยุคปัจจุบันยอมจ่าย ยอมซื้อ ยอมแลกเงินที่หามาได้ เพื่อเวลาหรือโอกาสที่เพิ่มขึ้น เช่นการเลือกโดยสารเครื่องบินเดินทางภายในประเทศในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ก็ทำให้มีเวลาในการพักผ่อนที่มากขึ้น และไปเที่ยวในจุดหมายปลายทางที่ไกลขึ้นได้ แต่ในความเป็นจริงนั้น ปัจจัยชีวิตของคนเราไม่เท่ากัน จะให้ทุกคนจ่ายเงินไปกับบริการและสินค้าที่ช่วยทำให้เรามีเวลามากขึ้นไปเสียทุกเรื่องนั้นก็คงไม่ใช่เรื่อง
สิ่งที่น่าจะดีและเหมาะสม คือการทำความเข้าใจและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย แล้วมองหาวิธีที่จะทำให้ 24 ชั่วโมงในหนึ่งวันของเราถูกใช้อย่างคุ้มค่าและตอบโจทย์ที่สุด
เวลาเป็นมากกว่าเงินและทอง
จากครั้งที่แล้วที่เราพูดถึง อนาคตที่เกิดขึ้นแล้วในทุกวันของการใช้ชีวิต จะเห็นได้ว่าโลกของเรากำลังพัฒนาไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การใช้เวลาให้คุ้มค่าเพื่อเตรียมรับการเปลี่ยนแปลงที่ค่อยๆเกิดขึ้นในทุกวันจึงสำคัญมาก
‘เวลาเป็นเงินเป็นทอง’ คือประโยคที่คนยุคก่อนมักใช้พูดเพื่อแสดงเจตจำนง ว่าไม่อยากเสียเวลาไปกับสิ่งอื่นๆ ที่ไม่จำเป็น เพราะเวลาเหล่านั้นสามารถแปรผันเป็นเงินและทองได้ ทำให้คนยุคก่อนหน้านี้จึงทุ่มเวลาทุกวินาทีไปกับไขว่คว้าและเก็บหอมรอมริบ
หากคนยุคก่อนมีโอกาสหรือช่องทางที่สามารถทำงานและใช้ชีวิต มีรายได้อย่างที่คาดหวัง และได้ชาร์ตพลังด้วยกิจกรรมที่โปรดปรานไปพร้อมๆ กัน…
…อย่างที่คน Gen Y ซึ่งปัจจุบันมีอายุอยู่ในช่วง 18 – 38 ปี ได้รับโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงไปของโลก และเป็นจุดเริ่มต้นที่คนส่วนใหญ่พยายามไขว่คว้าหาหนทางที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างสมดุลอย่างใจคิด หรือที่เรียกว่า Work-Life Balance
นัยหนึ่งแนวคิดนี้ก็อาจหมายถึงการมองว่า ‘เวลาเป็นมากกว่าเงินและทอง’ อย่างที่คนในยุคปัจจุบันยอมจ่าย ยอมซื้อ ยอมแลกเงินที่หามาได้ เพื่อเวลาหรือโอกาสที่เพิ่มขึ้น เช่นการเลือกโดยสารเครื่องบินเดินทางภายในประเทศในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ก็ทำให้มีเวลาในการพักผ่อนที่มากขึ้น และไปเที่ยวในจุดหมายปลายทางที่ไกลขึ้นได้ แต่ในความเป็นจริงนั้น ปัจจัยชีวิตของคนเราไม่เท่ากัน จะให้ทุกคนจ่ายเงินไปกับบริการและสินค้าที่ช่วยทำให้เรามีเวลามากขึ้นไปเสียทุกเรื่องนั้นก็คงไม่ใช่เรื่อง
สิ่งที่น่าจะดีและเหมาะสม คือการทำความเข้าใจและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย แล้วมองหาวิธีที่จะทำให้ 24 ชั่วโมงในหนึ่งวันของเราถูกใช้อย่างคุ้มค่าและตอบโจทย์ที่สุด
ใช้เงินทำงานแทน
8 ล้านบาท คือ ตัวเลขประมาณการของเงินที่เราควรมีไว้ใช้ในช่วงชีวิตยี่สิบปีหลังจากเกษียณ ซึ่งหากคำนวณว่าอย่างน้อยคุณจะเก็บเงินได้เดือนละ 2,500 บาท ฝากไว้ในธนาคาร กินดอกเบี้ย (ซึ่งยังไงก็ได้แค่ 2-3%) ไปเรื่อยๆ สัก 30 ปี คุณจะมีเงินเก็บประมาณล้านกว่าบาทเท่านั้นเอง
ถ้าจะไปให้ถึงเป้าหมายที่ฝันหวานไว้ ก็คงต้องมองหารายได้จากหลายๆ ทาง อาจจะรับงานฟรีแลนซ์เพิ่ม หรือหาของไปขายที่ตลาดตอนกลางคืนก็พอได้ แต่นั่นก็จะทำให้คุณแทบไม่เหลือเวลาสำหรับการพักผ่อนเลยหรือใช้ชีวิตเลย
อีกทางหนึ่งที่น่าสนใจก็คือการลงทุน หรือที่คนกลุ่มหนึ่งเรียกว่า ‘ใช้เงินทำงานแทน (Passive Income)’ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหุ้น กองทุน หรืออสังหาริมทรัพย์ก็ไม่เลว เพราะนอกจากจะให้ผลตอบแทนสูงได้ถึง 10% ต่อปีแล้ว ยังสามารถทำควบคู่ไปกับการทำงานประจำได้ด้วย เช่นหากคุณลงทุนในกองทุนที่ให้ผลตอบแทน 10% ต่อปีด้วยจำนวนเงินประมาณ 2,500 บาท คุณก็จะมีเงินเกือบ 8 ล้านในเวลา 30 ปีเศษๆ (แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรลงทุนกับความรู้เรื่องการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงจากการไม่รู้ด้วยนะ)
ยิ่งหากคุณหมั่นหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนเพิ่มเติม มองหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา รู้ตัวอีกทีคุณอาจจะมีเงินมากพอจนคุณสามารถใช้เวลาไปกับการพักผ่อนและใช้ชีวิตอย่างที่ฝันแทนที่จะ Burn out ไปกับการทำงานเก็บเงินไปวันๆ
เผลอๆ คุณอาจจะมีเงินเก็บมากกว่า 8 ล้านบาทก่อนจะอายุ 40 ด้วยซ้ำ
ทำงาน (อย่าง) อิสระ
พอยุคสมัยเปลี่ยนไป เกิดเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารใหม่ๆ ลดระยะทางที่ห่างไกลให้ใกล้เพียงปลายนิ้วซึ่งก็ส่งผลให้รูปแบบการทำงานสามารถยืดหยุ่นมากขึ้น บางอาชีพและหลายบริษัทเริ่มมองเห็นว่า ในเมื่อเราสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ตลอดเวลา ไม่ด่วนมากก็แชท มีรายละเอียดก็โทร. อยากคุยพร้อมกันหลายๆ คนก็ไม่ใช่ปัญหา ไฟล์งานก็อัพโหลดส่งไปมาในก้อนเมฆ การมาออฟฟิศให้ทันเวลาเข้างานทุกวันนั้นคงไม่ใช่เรื่องจำเป็น
ซึ่งหากคิดเร็วๆ ต่อไปอีก ว่าการไม่ต้องพบปะกับปัญหาจราจรยามเช้าและเย็น ซึ่งเคยมีผลวิจัยด้านพฤติกรรมความสุขยกให้เป็นปัจจัยที่ทำให้คนมีความทุกข์อันดับต้นๆ ก็น่าจะทำให้ความสุข ประสิทธิภาพการทำงาน และเวลาชีวิตของเราเพิ่มขึ้น
ทำให้ภาพผู้คนพกแลบท็อปเสียบหูฟังนั่งทำงานอยู่ในร้านกาแฟจึงกลายเป็นภาพที่เห็นจนชินตา รวมถึง Co-Working space พื้นที่ร่วมทำงานอิสระที่มาพร้อมกับอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก และโอกาสพบปะกับผู้คนต่างอาชีพซึ่งต้องการไลฟ์สไตล์ที่มีเวลาให้ใช้ชีวิตเหมือนๆ กัน ก็มีเปิดให้บริการมากขึ้นทั้งในตัวเมืองและชานเมือง
ฉะนั้นหากหน้าที่การงานของคุณพร้อมสำหรับการยืดหยุ่นเช่นนี้ นี่ก็คงเป็นรูปแบบการทำงานหนึ่งที่จะมอบโอกาสให้คุณจัดสรรเวลาได้อย่างอิสระ
ใช้เงินซื้อเวลา (บ้าง)
จากเทรนด์โลกที่ทุกคนพยายามประดิษฐ์นวัตกรรม และคิดค้นหาทางออกที่จะลดการใช้เวลาในกิจกรรมเดิมๆ อย่าง Amazon Go ห้างค้าปลีกที่อาศัยเพียงเทคโนโลยีอย่างเซนเซอร์บวกกับแอพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนซึ่งผูกกับบัญชีหรือบัตรเครดิตของเรา ก็ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลารอเข้าคิวจ่ายเงินซื้อของ เพราะคุณสามารถหยิบของที่ต้องการแล้วกลับบ้านได้เลย เท่านี้ก็คงบ่งบอกได้ว่าเวลามีความหมายสำหรับคนทั้งโลกมากแค่ไหน
บางครั้งการใช้เงินซื้อเวลาก็เป็นทางเลือกที่เข้าท่า เพราะเวลาที่คุณซื้อมานั้นอาจจะมีค่าหรือทำเงินกลับมาได้มากกว่าที่จ่ายไปเสียอีก
แล้วจะซื้อเวลาจากไหน? ก็บริการอย่างพวกแอพฯ เดลิเวอร์รี่อาหารมื้อพิเศษจากอีกฟากของเมือง แอพฯ เรียกรถแท๊กซี่ที่ทำให้เราไม่ต้องออกไปยืนโบกข้างถนนอย่างไร้ความหวัง แอพฯ จองตั๋วภาพยนตร์ จองคิวร้านอาหาร ทำธุรกรรมออนไลน์ ช็อปปิ้งออนไลน์ ไปจนถึงการซื้ออีซี่พาสทางด่วน และที่คุ้นเคยกันดีอย่างรถไฟฟ้า ต่างก็เป็นบริการที่ช่วยให้เราประหยัดเวลาและความยุ่งยาก ทำให้เวลาและพลังงานของเรามีมากขึ้น เปิดโอกาสให้เราทำอย่างอื่นได้อีกมาก แม้จะมีคนมองว่าแอพฯ หรือเทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยซื้อเวลาหรืออำนวยความสะดวกให้ได้ก็เพียงเรื่องเล็กน้อย แต่ก็เรื่องเล็กๆ แบบนี้นั่นแหละที่รวมตัวกันกินเวลาชีวิตของเราไปโดยไม่รู้ตัว
แค่เขยิบเข้าใกล้ ก็ใช้เวลาน้อยลง
ย่านที่อยู่อาศัยก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เวลาชีวิตของคุณถูกใช้อย่างคุ้มค่ากับเรื่องที่จำเป็น คุณอาจจะต้องเลือกเขยิบตัวเองเข้าไปใกล้ๆ กับพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจ ใกล้คอมมูนิตี้ต่างๆ ทั้งสวนสาธารณะและห้างสรรพสินค้า ซึ่งแน่นอนว่าสถานที่เหล่านี้ก็ย่อมมาพร้อมกับสถานีรถไฟฟ้าซึ่งจะช่วยลดเวลาการเดินทางของคุณลงไป ในขณะที่ก็เปิดโอกาสให้คุณได้ทำกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น
ลงทุนเพื่อชีวิตที่ออกแบบได้
หากรู้สึกว่าเวลาของคุณนั้นเป็นมากกว่าเงินและทอง อยากจะเปิดโอกาสให้ทั้งชีวิตส่วนตัวและชีวิตทำงานอยู่ร่วมกันอย่างบาลานซ์ ลองมองหาพื้นที่อาศัยในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจในอนาคต ทำเลใกล้สถานีรถไฟฟ้าและถนนสายสำคัญที่พาให้คุณไปสู่ย่านอื่นๆ อย่างสะดวกสบาย ใกล้ห้างสรรพสินค้า ร้านกาแฟ แกลอรี สวนสาธารณะ เชื่อมต่อทุกกิจกรรมในชีวิตให้ไร้รอยต่อ และยังมี Co-Working Space อยู่ภายในตัวเพื่อลดกรอบข้อจำกัดและเวลาที่มีค่าในชีวิตที่ต้องเสียไปกับการเดินทาง อย่างคอนโด METRIS by Major Development ทั้ง 2 โครงการ ‘ลาดพร้าว’ และ ‘พระราม 9 – รามคำแหง’ ซึ่งจะสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ในปี 2020 คอนโดที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตน์และการลงทุนเพื่อซื้อเวลาในอนาคตกับชีวิตที่ออกแบบได้เอง
ชมห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้
METRIS ลาดพร้าว คลิก https://goo.gl/AC31iC
METRIS พระราม9-รามคำแหง คลิก https://goo.gl/JKEKKG
ที่มา