เป็นคนเจนวาย ใครๆ ก็บอกว่าต้อง Work Hard, Play Hard มีเท่าไรใส่ให้สุด
ด้วยตารางชีวิตอันแสนแน่นขนัด จันทร์ถึงศุกร์ก็ทำงานอย่างเต็มที่ ทุ่มเท่ให้กับหน้าที่ตรงหน้าเพื่อความสำเร็จชนิดไม่ยอมน้อยหน้าใคร โอเคว่าอาจมีบ่นบ้าง อู้บ้าง แต่ก็ไม่ยอมให้ใครมาดูถูกงานที่ทำแน่ๆ หลังผ่านช่วงเวลาเหนื่อยหนัก สุดสัปดาห์ก็ฉลองสักหน่อย จัดไปทุกศุกร์ถือว่าให้รางวัลกับตัวเองก็คงไม่ผิด ถ้าเสาร์อาทิตย์ไม่อ่อนล้าจนเกินไป ก็ต้องลองไปปลดปล่อย แบกเป้จัดทริปไปลุยต่างจังหวัดหรือประเทศไหนที่เขาว่าชิค ออกไปใช้ชีวิตมันให้คุ้ม
เชื่อว่านี่คือชีวิตของคนเจนวายส่วนใหญ่ ไม่ใครก็ใครต่างใช้ชีวิตราวกับไม่มีวันพรุ่งนี้ จึงไม่แปลกที่ผลสำรวจล่าสุดของ Project: Time Off ที่สำรวจคนทำงานชาวอเมริกันกว่า 5,000 คนพบว่า ชาวเจนวายเป็นกลุ่มที่ทุ่มเทให้กับงานมากที่สุด ภาวะการใช้ชีวิตแบบนี้แหละที่ทำให้คนเจนวายต่างรู้สึก ‘เหนื่อย’ เกินจำเป็น
พอการใช้ชีวิตเป็นแบบนั้นนานเข้า ถามว่าเอาเวลาไหนไปพัก บอกเลยว่าแทบไม่มี ซึ่งการพักที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงพักแค่ใจ แต่หมายถึงพักกายด้วย จนทำให้ใครหลายคนลืมสถานที่ที่ต้องกลับมานอนทุกวันอย่าง ‘บ้าน’ ไปเสียสนิท ลองไปดูว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้การอยู่บ้านเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด
เหนื่อยทุกครั้งต้องนึกถึง
เป็นที่รู้กันดีว่าการเดินทางในกรุงเทพฯ นั้นชวนเหนื่อยหนักขนาดไหน ทั้งรถยนต์และระบบขนส่งมวลชนก็ต่างพาปัญหาหลายรูปแบบมาให้ หรือจะต้องมาเครียดกับเรื่องงานที่แบกไว้อีก บ้านจึงเป็นสถานที่ที่เราจากไปในตอนเช้า และอยากจะรีบกลับมาหาอีกครั้งในตอนเย็น เรียกว่าการจากบ้านไปทำงานทุกวันนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับการไปออกรบนั่นเอง มันช่างโหดร้ายยิ่งนัก
ช่วงเวลาที่อยู่ที่บ้านนี่แหละ คือช่วงเวลาที่ร่างกายและจิตใจไม่ต้องเปิดรับกับอะไรหนักๆ ข้างนอกบ้าน บ้านจึงทำหน้าที่เหมือนเป็นศูนย์กลางบางอย่างที่ทำให้เราต้องจากไปและต้องอยากกลับมาในที่สุด Graham Rowles ศาสตราจารย์จาก University of Kentucky อธิบายไว้ว่าสภาพแวดล้อมที่มนุษย์อาศัยอยู่อย่างบ้าน เป็นอาณาเขตที่ส่งผลต่อความสุขและความรู้สึกผูกพันในระดับที่ลงลึกไปถึงดีเอ็นเอเลยทีเดียว จึงไม่ต้องแปลกหากเมื่อใดที่จิตใจหรือร่างกายอ่อนล้า บ้านจะเป็นสถานที่ที่แรกที่เราต่างนึกถึง
เป็นตัวเองกับพื้นที่ที่คุ้นเคย
เราคงได้ยินสำนวนประมาณว่า “อยู่ที่ไหนก็ไม่สบายเหมือนอยู่บ้าน” หรือจะเป็นสำนวนฝรั่ง “There’s no place like home” เพราะถึงสังคมทุกวันนี้จะเปิดกว้างเสรีขนาดไหน แต่การออกไปนอกบ้านก็ต้องมีกฎเกณฑ์และกาลเทศะของสังคมครอบไว้อยู่ ยกตัวอย่างง่ายที่สุดอย่างเรื่องยูนิฟอร์ม ที่ทุกวันนี้ออฟฟิศหลายแห่งอาจจะอนุโลมให้แต่งตัวแบบ casual สบายๆ ได้ ถึงอย่างนั้นการออกไปพบเจอกับผู้คนนอกบ้านก็ต้องรักษาฟอร์มไว้บ้าง จะลากแตะกางเกงนอนไปทำงานก็ไม่น่าจะเหมาะ หรืออย่างเรื่องพื้นที่ในการทำงาน ออฟฟิศสตาร์ทอัพหลายแห่งก็มีการปรับเปลี่ยนตกแต่งพื้นที่การทำงานให้สบายเหมือนอยู่บ้าน แต่ถึงอย่างไรออฟฟิศก็ยังเป็นออฟฟิศไม่เหมือนที่บ้านอยู่ดี ความกดดันจากการทำงานไม่เคยปราณีใครหรือที่ไหนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเทรนด์ของการทำงานแบบ Teleworking หรือทำงานทางไกลจากที่บ้านจะเป็นที่นิยมทั่วโลกได้อย่างไร
ขณะเดียวกัน สำหรับคนที่ไม่มีทางเลือกในการต้องออกไปเผชิญกับโลกการทำงานข้างนอกแล้ว ลองเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อบ้าน อย่างที่ Habib Chaudhury ผู้เชี่ยวชาญด้านชราภาพวิทยา จาก Simon Fraser University แคนาดา ให้นิยามไว้ว่าบ้านเป็นเป็นหลุมหลบภัยทางความรู้สึกที่เราสามารถควบคุมทุกอย่างได้เอง เพราะบ้านคือพื้นที่ปิด แต่เปิดโอกาสให้เราได้เป็นตัวเองมากที่สุด ชีวิตการทำงานยังมี Comfort Zone ทำไมการพักผ่อนจะมี Comfort Zone บ้างไม่ได้ เพราะบ้านนี่แหละคือ Comfort Zone ที่แท้จริง
ไม่ต้องไปไหนก็ชาร์ตพลังชีวิตได้
เป็นค่านิยมของชาวเจนวายในยุคนี้ ว่าการใช้ชีวิตหมายถึงการออกเดินทาง แม้กระทั่งการพักผ่อนในวันหยุดยังต้องขวนขวายเพื่อออกเดินทางไปยังสถานที่ใหม่ๆ อีกต่างหาก ยิ่งถ้าเป็นการหยุดยาวๆ แล้วไปไหนไกลๆ ก็ทำให้เกิดภาวะ Post-Vacation Blues หรืออาการเฉาทางอารมณ์หลังวันหยุดยาว ระดับความสุขจะลดลงทันทีที่กลับมาถึงบ้าน และจะหมดไปในเวลาอันรวดเร็วหลังจากที่กลับไปเริ่มทำงาน ก็ต้องอาศัยการเยียวยาด้วยการรักษาบรรยากาศความสนุกนั้นไว้หลังจากที่กลับมากันไป
แม้การออกเดินทางอาจเป็นหมุดหมายหนึ่งในชีวิตของชาวเจนวาย แต่การได้พักผ่อนอย่างพอเหมาะอยู่ที่บ้านก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน วันหยุดยาวๆ ลองใช้ความสงบอยู่บ้านนอนอ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม หรือนอนดูหนังโปรดสักเรื่อง ใช้ชีวิตกับคนในครอบครัวทำกิจกรรมที่ไม่เคยทำมาก่อนที่บ้าน ไม่แน่ว่าอาจให้ความรู้สึกเหมือนได้ออกไปท่องเที่ยวไกลๆ แถมยังไม่เหนื่อยอีกด้วย เพราะบางทีการพักผ่อนอยู่บ้านก็เป็นการชาร์ตพลังชีวิตให้กับตัวเอง ก่อนจะกลับไปทำงานให้เต็มที่อีกครั้ง
ในเมื่อการอยู่บ้านเป็นหนึ่งในการพักผ่อนที่ดีที่สุด การอยู่บ้านจะมีความหมายมากขึ้น ส่วนสำคัญก็คือตัวบ้านที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดี เช่นเดียวกับ บ้านกลางเมือง วัชรพล ทาวน์โฮมดีไซน์ใหม่ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่บ้านได้อย่างลงตัว ด้วยแบบบ้าน Terraria ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะปรับเป็นห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือห้องเพื่อกิจกรรมต่างๆได้ ทั้งยังมี Double Green Space ที่เชื่อมต่อพื้นที่สีเขียวจากภายนอกสู่ภายในได้อย่างลง ให้พื้นที่ภายในบ้านเป็นพื้นที่ส่วนตัวเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง นอกจากนั้นยังมีคลับเฮ้าส์สไตล์รีสอร์ทที่ออกแบบมาให้มีพื้นที่สีเขียว ให้ใกล้ชิดธรรมชาติโดยที่ไม่ต้องออกไปต่างจังหวัดให้เหนื่อย ตัวโครงการยังสามารถเดินทางสะดวกสบายติดถนนใหญ่ ใกล้ทางด่วน ใกล้คอมมูนิตี้มอลล์อีกมากมาย สามารถเชื่อมสู่พระราม 9 ได้เพียง 15 นาที ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่บ้านได้อย่างลงตัว
พบบ้านกลางเมือง วัชรพล เริ่ม 4.69 ล้าน* เร็วๆนี้ ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์จองแปลงพิเศษ VVIP พร้อมรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 50,000 บาท* เพียงคลิก https://goo.gl/uJpNNR
อ้างอิง
https://hbr.org/2016/08/millennials-are-actually-workaholics-according-to-research
https://money.usnews.com/money/personal-finance/articles/2012/04/05/why-our-homes-make-us-happy
https://www.psychologytoday.com/intl/blog/mind-tapas/201003/post-vacation-blues