เชื่อว่าสำหรับสายเที่ยวผู้หลงใหลในอารยธรรมดั้งเดิมของพื้นที่ประวัติศาสตร์ต่างๆ ทั่วโลกแล้ว คงไม่มีใครห้ามใจไม่ให้เต้นตึกตักไปกับภาพซากเมืองหินโบราณ ที่มีฉากหลังเป็นธรรมชาติเขียวชอุ่มตรงหน้าได้
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม มาชูปิกชู (Machu Picchu) หรือที่ถูกขนานนามว่าเมืองสาบสูญของชาวอินคา จึงได้รับการยกย่องโดยองค์กร UNESCO ให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกตั้งแต่ปี 1983 รวมถึงยังได้รับเลือกจากประชาชนทั่วโลกให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
แน่นอนว่ามาชูปิกชู ยังเป็นอีกหนึ่งในสถานที่ยอดฮิตที่นักเที่ยวทั่วโลกพากันยัดรายชื่อใส่ไว้ใน Bucket List ที่ใฝ่ฝันอยากจะไปเยือนสักครั้งก่อนตาย แต่แหม ด้วยความที่เจ้าซากอารยธรรมนี้ตั้งอยู่ไกลถึงประเทศเปรู แถมยังถูกยกย่องว่ามีดีกรีเหนือกว่าที่เที่ยวอื่นๆ ทั่วไป (ไม่เหนือได้ไง ก็สูงกว่าระดับน้ำทะเลตั้งเฉียดหมื่นฟุต!) ค่าใช้จ่ายในการไปเยือนสักครั้งหนึ่งย่อมต้องไม่ใช่ไก่กาอาราเล่แน่นอน เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสได้ไปสักครั้งหนึ่งแล้ว ก็ต้องห้ามพลาดฟาดไฮไลท์เด็ดๆ ทั้งที่เที่ยว ที่กิน ที่ถ่ายรูป ให้ครบทุกอย่าง ซึ่งงานนี้เราก็ไม่ได้มาบิ๊วท์เฉยๆ แน่นอน เพราะเราได้รวบรวม 4 ข้อ Must Try มาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว!
อารยธรรมอินคา แต่ถ้า U มาจะอินเลิฟ
แน่นอนว่ามาถึงแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ทั้งที ไฮไลท์แรกเลยเห็นจะหนีไม่พ้นการเดินชมซากประวัติศาสตร์ที่ธรรมชาติหลงเหลือไว้ให้ เล่าโดยคร่าว มีการคาดการณ์ไว้ว่าเมืองขนาดย่อมแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในยุค 1450 เพื่อเป็นสถานที่พักหรือประกอบพิธีกรรมต่างๆ ของจักรพรรดิปาชากูตี ก่อนที่เมืองจะถูกทิ้งร้างไปนานเป็นร้อยๆ ปี และถูกค้นพบอีกครั้งโดยนักโบราณคดีชาวอเมริกา ไฮแรม บิงแฮม
ซึ่งแม้ว่าคุณจะไม่ใช่คนที่อินกับประวัติศาสตร์อะไรขนาดนั้น แต่การได้มาสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรมที่อยู่มานานพอๆ กับคานที่เกาะอยู่ (หัวเราะเสียงเฝื่อน) ก็น่าจะทำให้คุณต้องอุทานด้วยความตื่นตาตื่นใจได้ ไม่มีใครรู้ว่าชาวอินคาในยุคสมัยนั้นสามารถลำเลียงก้อนหินขนาดใหญ่เหล่านี้ขึ้นมายังยอดเขาสูงชันได้อย่างไร ทว่าการวางผังเมืองที่มีการแบ่งโซนต่างๆ มีอุโมงค์ หอคอยสังเกตการณ์ อ่างเก็บน้ำ ตลอดจนระบบชลประทานอย่างเป็นระบบระเบียบ ก็เป็นสิ่งที่สามารถสะท้อนถึงสติปัญญาของชาวอินคาในยุคโบราณได้เป็นอย่างดี แม้ในปัจจุบันจักรวรรดิอินคาจะล่มสลายไปเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว แต่ความสวยงามตลอดจนอารยธรรมที่พวกเขาทิ้งเอาไว้ให้จะทำให้คุณต้องอินเลิฟกับที่นี่แน่นอน
เดินลุยเส้นทาง Inca Trail ขึ้นสู่ Huayna Picchu ส่องดูพื้นโลกจากสวรรค์
ถ้าคุณไม่ได้มีปัญหาข้อเข่า หรือโดนเก๊าประกาศสงครามเต็มรูปแบบ และจิตใจที่พร้อมลุย 4 วัน 3 คืน อุตส่าห์มีโอกาสได้มาถึงมาชูปิกชูทั้งทีงานนี้จะพลาดการเดินขึ้นยอดเขา Huayna Picchu (หรืออีกชื่อว่า Wayna Picchu) ได้อย่างไร แม้ทางเดินขึ้นจะค่อนข้างสูงชัน และหวาดเสียว ตลอดจนมีการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเทรคกิ้งเพียงแค่วันละ 400 คนเท่านั้น แต่บอกเลยว่าการได้ไปยืนเซลฟี่ริมยอดผา (พร้อมขาที่สั่นพั่บๆ) แล้วทอดสายตาเหมือนนางเอกมิวสิคลงมาดูมาชูปิกชูทั้งเมืองเบื้องล่างนั้นเป็นอะไรที่สุดยอดแล้ว
ในวันที่อากาศดีๆ นอกจากจะมีแบ็กกราวด์เบื้องหลังเป็นแผนผังเมืองมาชูปิกชู ต้นไม้เขียวชอุ่ม และถนนทางขึ้นที่คดเคี้ยวแล้ว คุณยังจะได้ของแถมสุดเอ็กซ์คลูซีฟเป็นเมฆขาวก้อนโต และหมอกจางๆ ที่ลอยเอื่อยอยู่ล้อมรอบ ตลอดจนอากาศแสนบริสุทธิ์บนความสูง 8,800 กว่าฟุตเหนือระดับน้ำทะเลอีกด้วย (ดมยาดมแป๊ป) เรียกว่างานนี้ถึงจะปีนขึ้นมาคนเดียวเหงาๆ แต่แค่ได้มาเจอเขาก็รับรองว่าคุ้มค่าเดินเหนื่อยแน่นอน
หมายเหตุ – แต่ถ้าการปีนแค่เขาเดียวยังไม่สะใจ คุณอาจจะลองท้าทายตัวเองเพิ่มด้วยการซื้อทัวร์ One Day Trip ไปยังเทือกเขาสีรุ้ง Rainbow mountain ดูก็ได้ แต่ขอเตือนไว้ก่อนเล็กน้อย ว่านอกจากความสวยงามแปลกตาสุดอเมซซิ่งจิงเกอเบลแล้ว เจ้าทริปไปเทือกเขาหลากสีที่มีภูมิประเทศแสนทรหดนี้ ยังโหด มันส์ ฮา ไม่ใช่เล่นเลยอีกด้วย
ส่องอัลปาก้า และเจ้าลามาสุดตะมุตะมิ
งานนี้สายรักสัตว์ต้องร้องงุ้ยยย เพราะนอกจากธรรมชาติแสนมหัศจรรย์ และสถาปัตยกรรมแสนตื่นตาตื่นใจแล้ว อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของที่นี่ ก็เห็นจะเป็นสองสัตว์พื้นถิ่นขนปุยสี่ขาอย่างเจ้าอัลปาก้า และลามา นี่แหละ ซึ่งเราจะสามารถมองเห็นพวกมันเดินนวยนาดไปมา ให้นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ กดชัตเตอร์รัวๆ โดยมีวิวเบื้องหลังเป็นธรรมชาติสีเขียวชอุ่มสดสวย (เรียกว่างานนี้มีลืมฟาร์มอัลปาก้าปลอมๆ ไปเลย)
และแม้หน้าตาของพวกมันจะคล้ายคลึงกันราวกับแกะ (โอเค หมายถึงคล้ายกันและคล้ายแกะด้วย) แต่ก็ขอแอบกระซิบเป็นความรู้นิดนึงว่า ขณะที่ตัวลามาซึ่งมีขนาดตัวใหญ่กว่า (บางตัวสูงได้ถึง 6 ฟุต หรือราว 1.8 เมตร อุแม่เจ้า) มักจะถูกนำไปใช้งานในแง่การแบกหามสัมภาระ เจ้าอัลปาก้าหน้าแน่นที่ดูตัวเล็กตะมุตะมิกว่า กลับถูกเลี้ยงเพื่อนำขนไปทำเป็นเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม (ว่ากันว่าขนอัลปาก้าเป็นขนสัตว์ที่นุ่มที่สุดในโลกด้วยนะ) ซึ่งแม้จะถูกเลี้ยงไว้ด้วยจุดประสงค์ที่ต่างกัน แต่สิ่งที่เจ้าสองตัวนี้มีเหมือนกันนั่นก็คือความเฉลียวฉลาดและเป็นมิตร ได้ยินขนาดนี้แล้วจะอดใจไม่ให้รีบจองตั๋วบินไปเซย์ไฮพวกมันได้เหรอ
ดื่มด่ำรสช็อคโกแลต ลองแซ่บจานเด็ดเปรู
แน่นอนว่าสุดท้ายนอกจากการเดินทางไปสัมผัสกับวิถีชีวิตท้องถิ่นและสถานที่แสนสวยงามแล้ว อีกหนึ่งประสบการณ์ที่จะเป็นความประทับใจติดตัวเราไปไม่รู้ลืม ก็คือการได้ลิ้มลองอาหารพื้นถิ่น (โอเค อนุโลมให้แอบจกน้ำพริกนรกปลาร้า มาม่า ปลากระป๋อง ในบางมื้อเพื่อคลายความคิดถึงบ้านได้บ้าง) โดยพื้นฐานแล้วอาหารเปรูมีที่มาจากชนพื้นเมืองในอดีต ซึ่งรวมถึงชาวอินคาด้วย ก่อนจะถูกผสมผสานเข้ากับอาหารของชนชาติอื่นๆ ทั้งยุโรป เอเชีย และแอฟริกาตะวันตก ที่อพยพย้ายถิ่นเข้ามาตั้งรกรากยังประเทศนี้ จานเด็ดจานเด่นที่เราอยากจะแนะนำเป็นอันดับแรกก็คือ เซบิเช่ (Ceviche) อาหารจานซีฟู้ดที่มีลักษณะคล้ายกับยำปลาดิบ คลุกกับหอมใหญ่ ผักชี แนมด้วยเครื่องเคียงอย่างมันฝรั่ง อโวคาโด หรือข้าวโพด ให้รสชาติเปรี้ยวเผ็ดหอมกลิ่นมะนาวหรือเลมอน
ส่วนเมนูในรูปคือ โลโม ซัลตาโด (Lomo Saltado) เนื้อวัวผัดกับเฟรนช์ฟราย มะเขือเทศ หอมใหญ่ ผีดกับน้ำส้มสายชู ซีอิ๋ว(อ่านไม่ผิดหรอก) กินกับข้าว ซึงเมนูก็เกิดจากการผสมผสานวัฒนธรรมเอเชียกับเปรู รับรองว่าถูกปากคนไทยเหมือนกินผัดผักรวมเนื้อบ้านเรา แต่แค่เพิ่มเฟรนช์ฟรายเข้าไปอ้วนอีก
นอกจากนั้นอีกหนึ่งซิกเนเจอร์ที่จะพลาดไม่ได้เลย ก็คือการลองจิบช็อคโกแลตร้อนรสชาติดีงามจากคาเฟ่ท้องถิ่น ซึ่งให้รสชาติหอมมันเข้มข้น ชนิดที่ว่าไฝว้กับช็อคโกแลตยี่ห้อดังจากฝั่งยุโรปได้สบายๆ เลย เรียกว่าใครที่เป็นสาวกช็อคโกแลตต้องฟินสลบศพสีชมพูกันไปข้าง!
ไปเที่ยวทั้งที ไปฟรีกับกิจกรรมจาก Machu Picchu Ultimate Peru กัน!
การจะไปเที่ยวให้สนุกที่สุด
ในกติกาที่ง่ายแสนง่าย เพียงแค่คุณถ่ายรูปสุดสร้าง
นอกจากนี้ ใครที่ร่วมกิจกรรมแล้วพลาดรอบแรกไปก็ไม่ต้องเสียใจขนาดนั้น เพียงแค่คุณตั้งค่ารูปที่ถ่ายเป็นรูป Profile Picture ก็ได้ลุ้นสิทธิ์เป็นผู้โชคดีในรอบต่อไปได้เลย งานนี้ใครที่อยากไปสัมผัสประสบการณ์แสนดีต่อใจสักครั้งในชีวิต สามารถติดตามรายละเอียดและเงื่อนไขการร่วมกิจกรรม พร้อมการประกาศผล ได้ที่ machUcan.com
มาชูปิกชู มรดกโลกแสนยิ่งใหญ่และท้าทายกำลังตั้งตระหง่านรอคุณอยู่ มีแต่คนที่พร้อมจะสัมผัสกับประสบการณ์สุดท้าทายเท่านั้นที่ควรค่าแก่การไปถึง เพราะฉะนั้นบอกเลยว่างานนี้ “อย่าไป! ถ้าไม่ใจพอ”