เคยลองจินตนาการเล่นๆ ไหมว่าเมืองในอนาคตจะหน้าตาเป็นยังไง? แล้วสำหรับกรุงเทพฯ ที่ศูนย์การค้าเป็นคอมมูนิตี้สเปซสำคัญกลางเมือง พื้นที่เหล่านั้นในอนาคตควรจะหน้าตาเป็นแบบไหน?
จากคำถามที่หลายคนอาจสงสัยเล่นๆ กลับจุดประกายโปรเจกต์อย่าง “NEXTOPIA” ที่สยามพิวรรธน์ริเริ่มขึ้นเมื่อหลายปีก่อน จนกลายเป็นต้นแบบเมืองแห่งอนาคตที่เกิดขึ้นจริงแล้ววันนี้ โดยเนรมิตพื้นที่กว่า 15,000 ตารางเมตร บนชั้น 5 และ 5A ของศูนย์การค้าสยามพารากอนที่ทุกคนรู้จักดีให้กลายเป็นพื้นที่แห่งอนาคต พร้อมให้ทุกคนเข้าไปลองสัมผัส
โปรเจกต์นี้ไม่ใช่แค่แผนการตลาดชั่วคราว แต่คือภาพสะท้อนวิสัยทัศน์ระยะยาวกว่า 20 ปีของสยามพิวรรธน์ ที่เชื่อมั่นว่าศูนย์การค้าคือพื้นที่กลางเมืองที่ทุกคนในสังคมสามารถร่วมออกแบบอนาคตด้วยกันได้ ส่วนจะทำได้อย่างไรนั้น… วันนี้ The MATTER จะพาทุกคนสำรวจ NEXTOPIA เมืองแห่งอนาคตแห่งนี้ไปพร้อมๆ กัน

ความร่วมมือคือหัวใจของพื้นที่แห่งอนาคต
แน่นอนว่าโปรเจกต์อย่างการสร้างเมืองต้นแบบแห่งโลกอนาคตนั้นไม่ง่าย แต่เกิดขึ้นจริงได้ภายใต้การผนวกกำลังของระดับท็อปจากหลากหลายวงการ ไปจนถึงการจับมือกับองค์กรยักษ์ใหญ่ระดับโลกด้วย
NEXTOPIA สร้างขึ้นโดยยึด 3 แกนหลัก ได้แก่ Co-Creation – Sustainability – Experimental Engagement และเบื้องหลังความสำเร็จของโปรเจกต์นี้ก็คือ ‘การร่วมมือของพันธมิตร’ ทั้ง Founding Partners องค์กรชั้นนำกว่า 50 ราย, Retailers มากกว่า 40 ราย, ผู้ประกอบการ SMEs กว่า 300 แบรนด์ และ Communities อีกกว่า 30 กลุ่มที่เข้ามาอยู่ใน NEXTOPIA
สำหรับสยามพิวรรธน์พาร์ทเนอร์เหล่านี้ไม่ใช่แค่ผู้ประกอบการ แต่คือ ‘ผู้ร่วมสร้างเมือง’ เพื่อสร้าง Ecosystem ของเมืองแห่งอนาคตแห่งนี้ให้ยั่งยืนไปด้วยกัน

เคยได้ยินไหมว่า สังคมที่ดีคือการที่ผู้คนในสังคมล้วนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มความสามารถ เช่นเดียวกับที่เหล่าพาร์ทเนอร์ผู้ร่วมสร้าง NEXTOPIA ก็มีบทบาทของตัวเองในเมืองแห่งอนาคตด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็น นักวิจัยด้านพลังงาน เช่น Bangkok Cable และนักศึกษาจาก มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ที่เข้ามาช่วยสร้างนวัตกรรมภายในเมือง เพื่อให้ทุกก้าวของผู้คนที่นี่สร้างพลังงานหมุนเวียนได้, ผู้เชี่ยวชาญระบบอากาศ อย่าง Daikin ที่ยกระดับคุณภาพอากาศด้วยนวัตกรรม DAS & DOAS (ระบบเติมอากาศมาตรฐานคลีนรูม) ให้เราได้สูดอากาศสะอาด เย็นสบาย ยั่งยืนทั้งกับเราและกับโลก, ผู้ผลิตพลังงานสะอาด อย่าง B.Grimm ที่เข้ามาติดตั้งตั้งโซลาร์รูฟขนาดใหญ่เหนือพื้นที่โครงการ เปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานสะอาด เพื่อใช้งานในเมืองแห่งอนาคตนี้ได้อย่างยั่งยืน
ไปจนถึงการร่วมมือกับ หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งภายในประเทศและระดับโลกอย่าง Local Alike กับ WWF และ นักรณรงค์ ในบทบาทของการเป็น ‘Friends of NEXTOPIA’ อย่าง เชอร์รี่ เข็มอัปสร (Little Big Green), เขื่อน ภัทรดนัย, PEAR is hungry ที่มาร่วมสร้างกิจกรรมเวิร์กช็อป และการขับเคลื่อนเชิงสร้างสรรค์เพื่อให้เรื่องความยั่งยืนเป็นเรื่องใกล้ตัวขึ้นสำหรับทุกคน
เหล่าพันธมิตรที่ร่วมสร้าง Ecosystem ผ่านแต่ละบทบาทของตัวเองเหล่านี้นี่แหละ ที่ทำให้ NEXTOPIA ไม่ใช่แค่ส่วนหนึ่งของศูนย์การค้า แต่คือระบบทดลองต้นแบบของเมืองที่ทำงานด้วยพลังความร่วมมือได้อย่างแท้จริง

สร้างสรรค์เมืองใหม่ ภายใต้เป้าหมายความยั่งยื่น
ทุกวันนี้ ‘ความยั่งยืน’ กลายเป็นหมุดหมายหลักของการพัฒนาทั่วทุกมุมโลกไปแล้ว
เช่นเดียวกับแนวทางพัฒนาของสยามพิวรรธน์ ที่จุดประสงค์ของการสร้าง NEXTOPIA ไม่ใช่แค่การเพิ่มพื้นที่ช็อปปิ้งใหม่ๆ แต่คือการแก้โจทย์ใหญ่ระดับโลก อย่างเรื่องความยั่งยืน ทั้งในแง่ของปัญหาสภาพแวดล้อม ภูมิอากาศ ปัญหาสภาพความเป็นอยู่ในเมืองที่คุณภาพลดลง หรือแม้แต่ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม
คำตอบของสยามพิวรรธน์จึงเป็นการสร้าง ‘พื้นที่ทดลอง’ (Living Lab) ที่รวมโครงสร้างพื้นฐานและนวัตกรรมแห่งอนาคตไว้ในที่เดียว และสิ่งนี้เองที่กลายเป็นจุดเด่นของ NEXTOPIA ที่เป็นได้มากกว่านิทรรศการอนาคตในฝัน แต่คือโปรเจกต์ที่สร้างพื้นที่ที่ทุกอย่างใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน

ภายใน NEXTOPIA เต็มไปด้วยนวัตกรรมแห่งอนาคตจากการร่วมมือกับพันธมิตรมากมาย เช่น
Floor Radiant Cooling ระบบทำความเย็นจากพื้นแบบเดียวกับที่ใช้ในสนามบินนานาชาติ และถูกปรับมาใช้กับพื้นที่ของศูนย์การค้าเป็นครั้งแรกใน NEXTOPIA โดยอาศัยกลไกการถ่ายเทความร้อน ที่ท่อน้ำเย็นใต้พื้นจะช่วยดูดซับความร้อนจากร่างกายและแผ่ความเย็นกลับคืนโดยตรง ทำให้สามารถลดภาระหนักของเครื่องปรับอากาศ ประหยัดได้ทั้งพลังงานไฟฟ้า น้ำ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
The Energy Playground สนามเด็กเล่นที่ทุกการเหวี่ยง การปั่น การหมุน สามารถแปลงเป็นพลังงานสะอาดที่ใช้งานได้จริง นอกจากครอบครัวจะสามารถใช้เวลาร่วมกันได้แล้ว ยังช่วยปลูกฝั่งแนวคิดแห่งความยั่งยืนที่ไม่ได้ลงมือทำยากอย่างที่คิดให้ต้นกล้าต้นน้อยของบ้านได้ด้วย
The Kinetic Floor พื้นที่ที่ทุก ‘ก้าวเดิน’ จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงาน ด้วยนวัตกรรมพื้นอัจฉริยะฝีมือนักศึกษาไทยที่เก่งไม่แพ้ชาติไหนในโลก ด้วยการออกแบบพื้นที่เก็บเกี่ยวพลังงานจลน์จากแรงการเคลื่อนไหวของมนุษย์ แล้วแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าเก็บไว้ในแบตเตอรี่สำหรับใช้งาน เปลี่ยนให้ทุกก้าวของผู้คนใน NEXTOPIA สร้างพลังงานสะอาดให้โลกใบนี้ได้จริง
Vertical Farm & Intelligent Greenhouse พื้นที่ปลูกผักแบบสะอาดปลอดภัยในสวนแนวตั้งใจกลางเมือง โดยเป็นการทำเกษตรระบบปิดที่ทั้งประหยัดพื้นที่และป้องกันผลผลิตจากสารเคมีได้ ที่นี่ไม่ได้เป็นแค่พื่นที่โชว์เคสแต่ยังเปิดเวิร์กช็อปให้คนที่สนใจมาลงมือลองปลูกผัก-สมุนไพรแบบยั่งยืนได้เองด้วย
นอกจากนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว NEXTOPIA ยังเป็นพื้นที่กิจกรรมรักษ์โลกตลอด 365 วัน ด้วยการรวบรวมนักคิด-นักลงมือทำด้านความยั่งยืนในหลากมิติ ตั้งแต่ผู้ประกอบการ SMEs ร้านค้ารักษ์โลก และร้านอาหารที่ยึดความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญ เช่น GROW by getfresh, %Arabica หรือ Dots Coffee ที่สนับสนุนกลุ่มผู้พิการทางสายตา ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ต่างๆ ที่ช่วยร่วมคิด ร่วมพัฒนา และร่วมออกแบบวิถีใหม่ในการใช้ชีวิตอย่างใส่ใจโลก หรือโซนช้อปปิ้งอย่าง ECOTOPIA ที่รวมแบรนด์รักษ์โลกอย่าง ดอยตุง, Sudtana, Somuti, Soap Opera เอาไว้ให้เลือกสรร
เรียกได้ว่า NEXTOPIA คือการผสานความยั่งยืนเข้ากับชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง

นอกจากนวัตกรรมใหม่ๆ ที่นำมาใช้ใน NEXTOPIA กับพันธมิตรที่ร่วมสร้างคอมมูนิตี้แห่งความยั่งยืนแล้ว อีกหนึ่งจุดเด่นของที่นี่คือการดีไซน์อันโดดเด่น
เมื่อเข้ามาใน NEXTOPIA เชื่อว่าทุกคนน่าจะถูกดึงดูดด้วย The Ocean Canopy โครงสร้างศิลปะที่ผ่านกระบวนการรีไซเคิลเชิงอุตสาหกรรม จนกลายเป็นปะติมากรรมถ่ายทอดความงดงามของธรรมชาติออกมาได้อย่างน่าทึ่ง จนลืมไปเลยว่าครั้งหนึ่งสิ่งเหล่านี้เคยเป็นขยะทางทะเลของไทย นี่แหละคือการถ่ายทอดความสวยงามแต่ยั่งยืนที่แฝงไว้ในการประดับตกแต่งพื่นที่ของ NEXTOPIA
นอกจากจะเพลิดเพลินไปกับความสวยงามของผลงานศิลปะที่ประดับตกแต่งภายในเมืองแล้ว อีกอีสเตอร์เอ้กที่ต้องมองหาคือประชากรเมืองแห่งอนาคตอย่างเหล่า NEXTOPIA Mascot Nextsi, Tobi, และ PYE ผลงานการออกแบบของศิลปินระดับโลกอย่าง Ken Kelleher ที่ตั้งทักทายผู้มาเยือนในจุดต่างๆ ด้วย
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดคืออีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่สะกดสายตาผู้คน อย่าง The Globe ดิจิทัลแลนด์มาร์กที่นอกจากจะสวยสะดุดตาแล้ว ยังทำหน้าที่เป็นเหมือนสถานีข่าวภูมิอากาศของโลก เชื่อมข้อมูลจาก NASA และ GISTDA เพื่อนำเสนอข้อมูลสภาพแวดล้อมแบบเรียลไทม์
และยังทำหน้าที่เป็น Eco Impact Dashboard ที่สะท้อนว่าพลังงานที่ผู้คนสร้างขึ้นจากการเล่น การเดิน หรือการใช้ชีวิตใน NEXTOPIA สามารถเปลี่ยนเป็นผลลัพธ์เชิงบวกต่อโลกได้มากน้อยแค่ไหนไปพร้อมๆ กันด้วย

Join us in the Making of a Better World
สุดท้ายแล้วแนวคิดสำคัญที่สุดที่แฝงไว้ใน NEXTOPIA คือการที่ความยั่งยืนไม่ใช่ภาระของใคร แต่สามารถเป็นประสบการณ์ที่ดีของทุกคนได้ผ่านการออกแบบที่ใส่ใจ ให้ทุกพื่นที่สามารถหายใจได้สะดวกขึ้น ให้ความเย็นและแสงสว่างที่ได้ช่วยประหยัดพลังงาน ให้ได้กินอาหารในร้านที่ใส่ใจที่มาของวัตถุดิบ ให้ได้ช้อปผลิตภัณฑ์ที่รักษ์โลก ให้ทุกกิจกรรมที่ทำสนุกจนลืมภาพเก่าๆ ของการพยายามลดขยะ ประหยัดพลังงาน ที่ยุ่งยากจนกลายเป็นเรื่องที่ไม่อยากทำ
นี่แหละคือ NEXTOPIA เมืองแห่งอนาคต และมาตรฐานใหม่ของรีเทลที่ทำให้ความยั่งยืนฝังอยู่ในทุกจุดสัมผัสแบบไร้รอยต่อได้อย่างแท้จริง