ดูจะสวนทางเสียเหลือเกิน เมื่อคนทำอะไรได้หลายอย่าง ออกมาพูดอย่างภาคภูมิใจว่า จริงๆ แล้วผมเป็นคนขี้เกียจ! ชายคนที่ว่านี้ ก็คือ “แชมป์ ทีปกร วุฒิพิทยามงคล” บรรณาธิการบริหาร The MATTER
ที่ใครๆ ต่างรู้ดีว่า เขาทำงานหลายบทบาทมาก ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร นักเขียน พิธีกรรายการ และมากมายบลาบลา แถมงานอดิเรกที่ทำก็ยังกินเวลาและพลังเอาการ ไม่ว่าจะเป็นอ่านหนังสือ เล่นบอร์ดเกม ดูซีรี่ส์ ออกกำลังกาย เลี้ยงแมว
แต่เขาก็ยังเรียกตัวเองว่า “คนขี้เกียจ” ซึ่งผลงานที่ดูจะตรงกับตัวตนข้างในของเขามากที่สุด หนีไม่พ้นการ์ตูน “แมวเย้กับน้องขี้เกียจ” ที่แชมป์บอกว่า มันเป็นพื้นที่ที่เขาใช้ระบายความอัดอั้นที่อยากขี้เกียจออกมา มันเลยน่าสนใจว่า จริงๆ แล้ว แชมป์ ทีปกร ชายผู้ทำสารพัดสิ่ง เขามีมุมมองเรื่องความขี้เกียจ กับความ Productive อย่างไร
ตอนนี้คุณทำงานกี่บทบาท?
ตอนนี้เป็นบรรณาธิการบริหาร The MATTER, เป็นพิธีกรรายการข่าว, นักเขียน, นักวาดการ์ตูน, วิทยากรบรรยาย, แปลหนังสือ, ทำ Podcast (Omnivore) ก็ประมาณนี้ครับ
โอ้โห ทำเยอะมาก, แล้วงานอดิเรก?
งานอดิเรกเยอะมาก เลี้ยงแมว เลี้ยงต้นไม้ เพราะช่วงนี้ผมบ้าต้นไม้ แล้วก็ดู Netflix อ่านหนังสือ เล่มบอร์ดเกม ประมาณนี้ครับ นอกนั้นก็ดูหนัง ฟังเพลงทั่วๆ ไป หรือฟัง Podcast วิ่ง ออกกำลัง ไปยิม เดินตลาดนัด
ถ้าเลือกได้ ชอบทำอะไรมากที่สุด?
ถ้าเลือกได้ ชอบนอนที่สุดครับ คือผมชอบนอนมาก สามารถนอนได้แบบ 10 ชั่วโมง 12 ชั่วโมง มีความสุข ตื่นมาแฮปปี้ สดใส อีกอันหนึ่งคือ ชอบอยู่เฉยๆ ไม่อยากทำอะไรเลย
“การ์ตูนแมวขี้เกียจ” คือคุณใช่ไหม?
แมวขี้เกียจคือผมเลยครับ เป็นการระบายความอัดอั้น สมมติว่าวันไหน งานเยอะเกินไป ไม่มีทางระบายความเครียด ก็จะวาดเป็นการ์ตูนแมวเนี่ยแหละ ให้มันขี้เกียจแทนเราไป เรื่องของเรื่องคือ มันเกิดจากการที่ผมทำงานเยอะ แล้วเห็นว่า แมวที่บ้านมันนอนทั้งวัน เราก็ โอ้โห ทำไมแมวมันถึงขี้เกียจได้ขนาดนี้ อยากเป็นแมวขี้เกียจจัง ก็เลยวาดมันออกมา
“ขี้เกียจ” และ “ทำงานได้หลายอย่าง” มันเป็นไปได้เหรอ?
จริงๆ มันไม่ได้อยู่ตรงข้ามกันนะ ผมว่าคนขี้เกียจจำนวนมาก ทำงานได้หลายอย่างโคตรๆ
อย่างนักคิดหลายคน บอกตรงกันหมดว่า ความขี้เกียจคือหนทางสู่ประสิทธิภาพ เพราะเวลาที่เราขยัน บางทีเราก็จะขยันไปอย่างนั้น คือ ขยันทำสิ่งตรงหน้าไป แต่ไม่ได้ถอยออกมามองว่า ที่ทำอยู่ มันใช้แรงน้อยได้ไหมนะ? หรือมันมีประสิทธิภาพไหมนะ?
แต่ถ้าเป็นคนขี้เกียจ ก่อนที่จะเข้าไปทำงาน จะคิดแล้วว่า จะทำยังไงที่จะใช้แรงน้อยที่สุด แต่มีประสิทธิภาพสูงสุด หรือใช้แรงน้อยที่สุด แต่ได้งานที่ดีที่สุด ดังนั้น คนขี้เกียจก็จะมีหนทางในการต่อสู้ในการทำงานเป็นของตัวเอง
แล้วถ้าอยาก “ขี้เกียจให้ได้ดี” ต้องทำยังไง?
ผมรู้สึกว่า ยิ่งขี้เกียจ ยิ่งต้องใช้ชีวิตให้มีระบบ อย่างตัวผม ผมเซ็ทระบบที่กำหนดเวลาเป็น Slot ให้เราแบบเป๊ะๆ ซึ่งทำให้เราสามารถขี้เกียจได้ เช่น ถ้าอยากขี้เกียจตรงไหน ก็ขี้เกียจได้เลย เอาให้เต็มที่
แต่ถ้าใช้ชีวิตไม่มีระบบ เคยเป็นไหม? มันจะมีวันที่อยู่กึ่งกลางระหว่างเราก็อยากทำงานนะ แต่เราก็ขี้เกียจด้วย ดังนั้นเราจะนั่งหน้าคอมพ์ แล้วเปิดโปรแกรม Word ขึ้นมา แล้วก็นั่งไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะพิมพ์อะไร แล้วตอนนั้นจิตใจก็เครียด งานก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ ดังนั้นผมเลยรู้สึกว่า การกำหนดเวลาที่มันเป็น Slot มันเอาความขี้เกียจของเราได้อยู่หมัด
นอกจากนี้ คนขี้เกียจต้องหาเครื่องมือที่มาช่วยกรอบตัวเอง แต่การกรอบตัวเองไม่ใช่การทำให้เรามีข้อจำกัดนะ แต่มันคือเครื่องมือบางอย่างที่ทำให้ชีวิตของเรามันสมูทยิ่งขึ้น เช่น ผมใช้นาฬิกาตั้งเตือนตัวเองตาม Slot การทำงาน มันก็ช่วยกันผมลืมงานที่ต้องเคลียร์ได้เหมือนกัน
คุณได้วิธีคิดเรื่องการจัดการที่มาจากความขี้เกียจจากไหน?
คิดว่าวิธีคิดเรื่องนี้มาจากตอนที่เรียนวิศวะฯ คือมันสอนให้เรามองอะไรเป็นระบบ เช่น จริงๆ สิ่งนี้ต้องการ Output ประมาณนี้ แต่เราไม่จำเป็นต้องทำตามกระบวนการนี้ก็ได้ เราสามารถลองหาวิธีใหม่อะไรก็ได้นะ ที่เร่งกระบวนการนี้ขึ้น หรือว่ากระบวนการนี้ มันมีวิธีการอื่นไหม? ทำแบบอัตโนมัติได้ไหม? หรือมีคนอื่นเข้ามาช่วยได้ไหม? ที่ทำให้ Output มันออกมาเหมือนกัน คือวิศวะฯ สอนให้ผมคิดแบบนี้
นอกจากนี้ ก็มาจากวิธีคิดที่ผมศึกษาของผมเอง เช่น ผมจะชอบอ่านหนังสือพวกวิธีการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ผมจะชอบอ่านมาก เพราะผมเป็นคนขี้เกียจใช่ไหมฮะ ผมก็จะหาวิธียังไงก็ได้ที่ทำให้ฉันลงแรงน้อยที่สุด
อย่าง To do list ของผมน่าเกลียดมากเลยนะฮะ ผมจะทำโน้ตเตือนว่า “คิดงานชิ้นนี้ 5 นาที” ซึ่งการแค่คิดงานนี้ 5 นาที มันใช้แรงน้อยมาก แค่คิดไป 5 นาทีก็เสร็จแล้ว มันทำให้เวลาทำงาน เป็นการทำงานที่สบายกว่า คือทนทำไปตามเวลาที่กำหนดไว้ หมดเวลาก็จบ ฉะนั้นเราจะจบงานได้เร็วและเยอะขึ้น แถมรู้สึกว่ามันไม่ได้มีแรงเสียดทานในการที่จะเริ่มงานใหม่
ในฐานะ Tech Geek คุณหาอุปกรณ์ตัวช่วยมาใช้บ้างไหม?
เยอะมาก อุปกรณ์แรกที่ขาดไม่ได้คือ มือถือ ในมือถือผมจะมีโปรแกรมพวก To do list เช่น จดไอเดียไว้ว่า สิ่งที่เราจะต้องไป Present ลูกค้าว่ามีอะไรบ้าง หรือสิ่งที่เราต้องคิดมันมีอะไรบ้าง แล้วก็มีนาฬิกา ตอนนี้ผมใช้ Samsung Galaxy Watch ซึ่งมัน Sync กับตัวมือถือ จะมี feature หนึ่งที่ผมใช้คือ My day ที่หน้าปัดจะโชว์ให้เห็นเลยครับว่าในวันหนึ่ง ผมจะต้องทำอะไรบ้าง พอถึงเวลาที่ต้องทำอะไรก็ตาม มันก็จะแจ้งเตือนผม เช่น ถ้าผมตั้งไว้ว่าตอนบ่ายสองสิบห้า ผมต้องคิดงานชิ้นนี้ภายใน 5 นาที มันก็จะเตือนขึ้น ซึ่งช่วยให้ผมบริหารเวลาตัวเองได้ดีขึ้น
ทำไมคนเราควรบริหารจัดการตัวเอง?
คนเราควรจัดการบริหารเวลาอยู่แล้ว อย่างน้อยสักอาทิตย์หนึ่ง เราควรแบ่งเวลาสัก 15 นาที 20 นาที เพื่อคิดถึงอาทิตย์หน้า คิดถึงเดือนหน้า คิดถึงปีหน้า ว่าจะทำอะไร? แล้วตรวจสอบตัวเองว่า สิ่งที่เรากำลังทำ มันนำไปสู่อาทิตย์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า อย่างที่เราคิดไว้จริงหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่จะได้ปรับได้ทัน
คือถ้าไม่มีการบริหารจัดการ มันจะมีความเสี่ยงที่เราจะติดอยู่ในวังวนของงาน Routine ที่เราทำไปเรื่อยๆ โดยที่เราก็ไม่รู้ว่า มันพาเราไปสู่อะไร แล้ววันหนึ่งเราก็พบว่า เราไม่มีความสุขกับชีวิต ไม่มีความสุขกับการทำงาน ไม่มีความสุขกับอะไรเลย เป็นเพราะว่า เราไม่ได้เผื่อเวลาไปคิดว่า เราจะไปตรงไหนกันแน่
สุดท้าย อยากฝากอะไรถึงคนขี้เกียจ
ผมว่าขี้เกียจนะ ขี้เกียจไปเลย ขี้เกียจหนะดีแล้วฮะ เพราะความขี้เกียจคือธรรมชาติของมนุษย์ แต่ว่าขี้เกียจ ก็ต้องรู้ทันมันด้วย แล้วก็พยายามหาเครื่องมือที่จะมากรอบความขี้เกียจของเราให้มันอยู่กับร่องกับรอย
เพราะโดยมากแล้ว คนเราไม่ค่อยอยากใช้แรงกันทั้งนั้นแหละ แต่ว่าทุกคนก็อยากที่จะมีผลงานออกมา หรืออยากที่จะแสดงออกความเป็นตัวเองออกมา ดังนั้น คือเราจะขี้เกียจยังไง ในขณะที่เราก็ผลิตอะไรออกมาให้โลกรู้ด้วย ซึ่งเครื่องมือบางอย่างมันก็ช่วยเราตรงนี้ได้