ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา หลายๆ คนคงตื่นตาตื่นใจกับการทำงานโดยฝ่ายสภา ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐ อย่างแข็งขัน
ซึ่งเป็นสิ่งที่เรา ‘แทบไม่เห็น’ ตลอดห้าปีของยุค คสช. (ปี 2557-2561) ที่ฝ่ายสภาถูกแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร
หนึ่งในกลไกของฝ่ายสภา ที่ทำหน้าที่ ‘ตรวจสอบ’ ผู้มีอำนาจ ก็คือคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญและวิสามัญชุดต่างๆ ของสภา โดยเฉพาะ ส.ส. ที่มาจากการเลือกโดยประชาชนจริงๆ (ส่วน ส.ว. ถ้าไม่ใช่ ผบ.เหล่าทัพเป็นโดยตำแหน่ง ก็ถูก คสช.แต่งตั้งเข้ามา และอย่างที่เรารู้กันว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันสืบทอดอำนาจจากยุค คสช.)
แต่จู่ๆ ก็มีฟ้าผ่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ว่า พ.ร.บ.คำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการและสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ.2554 มาตรา 5, 8 และ 13 ขัดรัฐธรรมนูญ?
อธิบายก่อนว่า ในอดีต เวลา กมธ.ชุดต่างๆ ‘เชิญ’ ผู้มีอำนาจหรือผู้เกี่ยวข้อง ให้เดินทางมาชี้แจง ก็มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมมือ ทั้งไม่มาเลยหรือส่งตัวแทนที่ชี้แจงไม่ได้มาแทน หรือ ‘ขอ’ ข้อมูลหรือเอกสารต่างๆ จากหน่วยงานราชการ ก็มักจะไม่ได้ หรือได้รับช้ามาก
รัฐสภายุคปี พ.ศ.2554 จึงช่วยกันผลักดันกฎหมายฉบับหนึ่ง ที่เรียกว่า พ.ร.บ.คำสั่งเรียกฯ เพื่อให้ ‘ติดอาวุธ’ ให้ กมธ.ชุดต่างๆ ทั้งของ ส.ส. และ ส.ว. ในการทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานรัฐแทนประชาชน
โดยกำหนดอำนาจไว้ใน มาตรา 5, 8 และ 13 (สังเกตเลขมาตราดีๆ คือมาตราที่ศาลรัฐธรรมนูญเพิ่งชี้ว่าขัดรัฐธรรมนูญนั่นเอง) ว่า ให้ กมธ.มีอำนาจในการออก ‘คำสั่งเรียก’ เอกสาร หรือให้บุคคลใดมาชี้แจง ใครฝ่าฝืนมีโทษอาญา จำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงอาจมีโทษทางวินัยด้วย
ถามว่า การใช้อำนาจนี้โดย กมธ. จะมีการคานอำนาจกันอย่างไร จะมั่นใจได้อย่างไรว่า ไม่ใช้ไปกลั่นแกล้งกันทางการเมือง?
ต้องอธิบายโครงสร้างกมธ. โดยเฉพาะ ส.ส.ก่อนว่า ตามปกติแล้วสัดส่วน กมธ.แต่ละชุดจะแบ่งโควต้า ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ดังนั้น จะมีการทำงานแบบคานกันเองโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
นอกจากนี้ กว่าจะออก ‘คำสั่งเรียก’ บุคคลหรือเอกสารใดได้ จะต้องเชิญมาชี้แจงแล้วไม่มาอย่างน้อย 2 ครั้ง ในครั้งที่สาม ถึงจะออกคำสั่งเรียกได้ และต้องมีมติด้วยเสียง ‘ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง’
( ตามข้อเท็จจริง กมธ.ของสภา ไม่ค่อยจะได้ออกคำสั่งเรียกเท่าไร เพราะขั้นตอนที่จะใช้ก็ไม่ง่ายนักอย่างที่ไล่มาข้างต้น แต่ใช้ในการขู่เพื่อเชิญผู้เกี่ยวข้องหรือเพื่อเรียกเอกสารที่เกี่ยวข้องมากกว่า )
แต่ถึงตอนนี้ อำนาจในการออกคำสั่งเรียกของ กมธ. ของฝ่ายสภา ก็หายไปแล้ว
โดยชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ในฐานะประธานรัฐสภา ก็ออกมายอมรับว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว “ผูกพันรัฐสภา”
เหตุผลที่ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้ พ.ร.บ.คำสั่งเรียกฯ ขัดรัฐธรรมนูญ ก็เนื่องจากเนื้อหาในรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ.2560 มาตรา 129 มีเนื้อหาต่างจากรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ.2550 มาตรา 135 (ซึ่งใช้บังคับอยู่ตอนที่ออก พ.ร.บ.คำสั่งเรียกฯ) โดยเปลี่ยนถ้อยคำ จากให้ กมธ.ของสภา มีอำนาจในการออก “คำสั่งเรียก” มาเป็น “เรียก” เฉยๆ
ดังนั้น ถ้าจะนำอำนาจนี้กลับคืนมา ที่สุดแล้วก็ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ถึงตอนนี้ อำนาจตรวจสอบโดยฝ่ายสภา ก็ย้อนกลับไปก่อนปี 2554 น่าสนใจว่า จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของ กมธ.อย่างไรบ้าง ในอนาคต หากเชิญผู้มีอำนาจจะมาชี้แจงกันไหม หรือเรียกข้อมูลเอกสารใดๆ แล้วจะได้รับหรือเปล่า
คำนูณ สิทธิสมาน ตอนเป็น ส.ว.สรรหา (ตอนนี้ก็เป็น ส.ว.แต่งตั้ง) เคยเขียนถึง พ.ร.บ.คำสั่งเรียกฯ ไว้เมื่อปี พ.ศ.2554 ว่า
“นักการเมืองที่เป็นรัฐบาลกลัวกฎหมายฉบับนี้กันทั้งนั้น!”
“คนเป็นนายกรัฐมนตรีหรือเป็นรัฐมนตรีทุกคนเกรงกรรมาธิการกันทั้งนั้น”
“โดยเฉพาะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรที่มีลักษณะทางการเมืองสูงอาจถูกใช้เป็นเวทีเชือดรัฐมนตรีที่เตรียมงานไม่ดีได้ไม่ยากนัก”
ใครจะได้ประโยชน์-เสียประโยชน์ จากการที่ พ.ร.บ.คำสั่งเรียกฯ ใช้งานไม่ได้แล้ว ให้ตอบตอนนี้คงลำบาก
แต่เชื่อว่าในอนาคต คำตอบจะคลี่คลายออกมาเอง
[ หมายเหตุ: คำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย พ.ร.บ.คำสั่งเรียกฯ ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ เกิดจากไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ที่ยื่นผ่านผู้ตรวจการแผ่นดิน หลังจาก กมธ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบของสภา พยายามเรียก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาชี้แจง กรณีกล่าวคำถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ ]
อ้างอิงข้อมูลจาก
http://www.constitutionalcourt.or.th/…/article…
https://www.parliament.go.th/…/parliam…/more_news.php…
https://mgronline.com/daily/detail/9540000101396
#Brief #TheMATTER