แม้ว่าปี 2020 จะเป็นปีที่เราต้องเผชิญกับโรคระบาดกันอย่างหนักหน่วง จนหลายสิ่งอย่างหยุดชะงักไป แต่ปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ยังคงรุนแรงอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นว่า ปี 2020 นี้กลายเป็นอีกหนึ่งปีที่ได้รับการบันทึกว่า ‘ร้อนที่สุด’ ไปเสียแล้ว
ถึงเราจะได้ยินข่าวคราวกันอยู่บ่อยๆ ว่า ช่วงที่ COVID-19 แพร่ระบาดจนหลายประเทศต้องประกาศล็อกดาวน์ ส่งผลให้การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิลลดลงไปอย่างมาก แต่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่กักเก็บความร้อนก็ยังคงสะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศ และกลายเป็นว่า ปี 2020 ถูกบันทึกว่าเป็นปีที่ร้อนที่สุด ด้วยสถิติเดียวกับเมื่อปี 2016
อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยทั่วโลกในปี 2020 นั้นสูงกว่าอุณหภูมิในยุคก่อนอุตสาหกรรมเมื่อปี 1850-1900 ถึง 1.25 องศาเซลเซียล และเป็นอุณหภูมิที่เกือบจะถึงเกณฑ์ที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกกำหนดเอาไว้ เพื่อป้องกันผลกระทบอันเลวร้ายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วย
แต่ถึงจะบอกว่าปี 2016 ครองแชมป์คู่กับปี 2020 ก็ต้องเสริมว่า เมื่อปี 2016 นั้นเกิดปรากฎการณ์เอลนีโญ (El Niño) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางภูมิอากาศที่ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น แตกต่างจากปี 2020 ที่ไม่ได้มีปรากฎการณ์นี้ และเป็นไปได้ว่า หากปี 2016 ไม่เกิดปรากฎการณ์เอลนีโญขึ้น ปี 2020 ก็คงครองแชมป์ปีที่ร้อนที่สุดเพียงปีเดียวไปแล้ว
อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นสูงนี้ ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนในแถบอาร์กติกและทางตอนเหนือของไซบีเรีย ด้วยอุณหภูมิเฉลี่ยที่มากกว่าปกติ 3 องศาเซลเซียส และในบางพื้นที่ก็อุณหภูมิก็พุ่งสูงกว่าปกติถึง 6 องศาเซลเซียส ส่งผลให้เกิดไฟป่าอย่างกว้างขวางในพื้นที่ดังกล่าว พร้อมกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 244 ล้านตันในพื้นที่อาร์กติกเซอร์เคิล นอกจากนี้ ช่วงเดือนกรกฎาคมและตุลาคมของปีก่อน น้ำแข็งในทะเลอาร์กติกก็ลดลงจนเหลือน้อยสุดเป็นประวัติการณ์ด้วย
คาร์โล บูออนเทมโพ ผู้อำนวยการของหน่วยงานติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหภาพยุโรป (Copernicus Climate Change Service) กล่าวว่า เขาไม่แปลกใจที่ช่วงทศวรรษที่ผ่านมาจะมีอุณหภูมิที่สูงที่สุด และนี่ก็เป็นเครื่องย้ำเตือนว่า เราจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันผลกระทบทางสภาพอากาศที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ขณะที่ ริชาร์ด เบตส์ (Richard Betts) จาก Met Office หน่วยบริการอุตุนิยมวิทยาของสหราชอาณาจักร กล่าวว่า การสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากมนุษย์ในชั้นบรรยากาศกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปกติแล้วต้องใช้เวลาถึง 200 ปีกว่าระดับของก๊าซเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นได้ 25% แต่ตอนนี้เพียงแค่ 30 ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิก็ใกล้จะเพิ่มถึง 50% แล้ว และยังย้ำว่า เพื่อหยุดวิกฤตสภาพภูมิอากาศนี้ การปล่อยมลพิษทั่วโลกจะต้องลดลงเหลือ 0 ให้ได้ ภายใน 30 ปีข้างหน้า
อ้างอิงจาก
https://www.theguardian.com/…/climate-crisis-experts…
https://www.newscientist.com/…/2264355-climate-change…/
https://www.nytimes.com/…/climate/hottest-year-ever.html
#Brief #TheMATTER